คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ผู้ตาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 150 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1575/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมฆ่าโดยมีเจตนาและร่วมค้นทรัพย์สินผู้ตาย
จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิง ป. ส. และ ก. เป็นเหตุให้ ส. และ ก. ถึงแก่ความตาย ป. ได้รับอันตรายแก่กายโดยก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 2 เป็นผู้ว่าจ้างรถของ ส. ให้ไปส่งจำเลยทั้งสอง เมื่อเกิดเหตุแล้ว จำเลยที่ 2 พูดกับจำเลยที่ 1 ว่า"ศพนี้จะเผาไหม" และร่วมกับจำเลยที่ 1 ตรวจค้นหาทรัพย์สินจากตัวผู้ตายทั้งสองและผู้เสียหายแล้วหลบหนีไปด้วยกัน ดังนี้แสดงว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมรู้เห็นและอยู่ในลักษณะพร้อมที่จะช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายทั้งสองและผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 2จึงเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้ตายทั้งสองและพยายามฆ่าผู้เสียหาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6007/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สินสมรส: ภาระการพิสูจน์อยู่ที่ผู้อ้างว่าเป็นสินส่วนตัวของผู้ตาย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 บัญญัติให้ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสเป็นสินสมรส ถ้ากรณีเป็นที่สงสัยว่าทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นสินสมรสหรือมิใช่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส ผู้ร้องซึ่งอ้างว่าทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดเป็นสินส่วนตัวของผู้ตาย ผู้ร้องจึงมีภาระการพิสูจน์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5929/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าแยกกรรม: การยิงผู้ตายหลายราย
ขณะที่จำเลยยิงผู้ตายทั้งสอง ผู้ตายทั้งสองอยู่ด้วยกันในห้องนอน จำเลยยิงนาย ล.ก่อนแล้วจึงยิงนาง น. จำเลยยอมรับว่าจำเลยยิงนาย ล. 2 นัด แล้วจึงยิงนาง น.1 นัด แสดงว่าในการยิงปืนแต่ละนัดความประสงค์และจุดมุ่งหมายของจำเลยได้แยกออกจากกันว่ากระสุนนัดใดจำเลยยิงผู้ตายคนใด เจตนาฆ่าผู้ตายทั้งสองในขณะจำเลยลงมือกระทำความผิดจึงแยกออกจากกันได้ ความต้องการให้ผู้ตายทั้งสองถึงแก่ความตายแม้จะเกิดขึ้นในใจของจำเลยพร้อม ๆ กัน และต่อเนื่องกับการลงมือกระทำความผิดก็มิใช่เจตนาในขณะที่จำเลยลงมือกระทำความผิด การกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4613/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สำคัญผิด + การป้องกันเกินกว่าเหตุ: การยิงผู้ตายผ่านประตูห้องพัก
จำเลยสำคัญผิดว่าคนที่มาเคาะประตูห้องพักเป็นสามีเก่าของผู้ตายจะมาทำร้ายจำเลย แต่กลับเป็นผู้ตาย ข้อเท็จจริงนั้นก็ไม่มีอยู่จริง ตาม ป.อ. มาตรา 62 วรรคแรก ซึ่งตามกฎหมายกรณีดังกล่าวจำเลยมีสิทธิป้องกันได้ แต่สำหรับคดีนี้ปรากฏว่าประตูห้องเกิดเหตุมีโซ่ คล้อง อยู่ สามารถเปิดได้ประมาณ 1 คืบ การที่จำเลยใช้ปืนยิงออกไปจึงเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องทำเพื่อป้องกัน ตามมาตรา 69 เหตุเกิดในแฟลต ซึ่งมีคนเช่าอยู่จำนวนมาก และผู้ตายซึ่งมาเคาะ ประตูก็อยู่บนทางเดินระหว่างกลางห้องพัก ทั้งขณะเกิดเหตุไฟฟ้าระหว่างทางเดินก็เปิดแล้วจำเลยซึ่งอยู่ในห้องสามารถมองออกไปทางหน้าห้องได้ชัดเจน ประตูห้องเกิดเหตุมีโซ่ คล้อง อยู่ การที่ จำเลยยิงผู้ตายจึงเกิดขึ้นด้วยความประมาทตาม มาตรา 62 วรรค 2 ด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3374/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ จำเลยใช้อาวุธมีดทำร้ายผู้ตายที่อยู่ในอาการเมาและไม่มีอาวุธ
ก่อนเกิดเหตุผู้ตายกับเพื่อคนหนึ่งได้พากันดื่มสุราจนเมาจากนั้นได้ไปเล่นไฮโลซึ่งจำเลยเป็นเจ้ามือ ผู้ตายยักเงินผู้อื่นจึงเกิดทะเลาะกับจำเลย ผู้ตายชกจำเลยก่อนหนึ่งถูกที่หัวไหล่เมื่อมีผู้เข้ารัดคอผู้ตายไว้จำเลยก็เดินหนีไป แต่พอผู้ตายดิ้นหลุดได้วิ่งเข้าไปหาจำเลยเพื่อจะทำร้าย จำเลยจึงใช้มีดซึ่งยาวทั้งตัวและด้ามประมาณ 1 ฟุต แทงผู้ตายหนึ่งทีแล้วหนีไป ผู้ตายถึงแก่ความตายการที่ผู้ตายอยู่ในลักษณะเมาสุรามากประกอบกับทั้งไม่มีอาวุธแทบจะช่วยตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว ตามไปทำร้ายจำเลยก็เพียงทำไปตามประสาคนเมา มิใช่ภัยร้ายแรงแต่อย่างใด เพียงจำเลยใช้เท้าเตะหรือใช้มือผลักผู้ตายก็สู้จำเลยไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่จำเลยใช้มีดยาว 1 ฟุต แทงอวัยวะที่สำคัญย่อมถือว่าเป็นการป้องกันสิทธิของจำเลยเกินสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2604/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการถอยรถ - ผู้ขับต้องระมัดระวังแม้ได้รับคำสั่งจากผู้อื่น - ผู้ตายมีส่วนประมาท
แม้ว่าผู้ตายเป็นผู้ออกคำสั่งให้จำเลยถอนรถ จำเลยจะต้องพิจารณาว่าการถอยรถในลักษณะเช่นนั้นปลอดภัยหรือไม่ การนำขดลวดสายไฟฟ้าลงจากรถยนต์บรรทุกคันหนึ่งโดยวิธีใช้เหล็กท่อน้ำให้ปลายข้างหนึ่งยันขดลวดสายไฟฟ้า และปลายอีกข้างหนึ่งยันที่กระบะท้ายรถยนต์บรรทุกอีกคันหนึ่งที่จำเลยขับ ผู้ตายจับเหล็กท่อน้ำไว้ระหว่างกระบะท้าย รถยนต์บรรทุกทั้งสองคัน แล้วให้จำเลยเดินเครื่องยนต์ถอยรถเพื่อให้แรงของรถยนต์บรรทุกที่จำเลยขับถอยหลังนี้ดันเหล็กท่อน้ำ เพื่อเหล็กท่อน้ำจะได้ดันให้ขดลวดสายไฟฟ้าเคลื่อนที่จากแนวขวางเป็นแนวตรงนั้น เป็นวิธีที่ไม่ปลอดภัย เพราะถ้าเหล็กท่อน้ำหลุดจากขดลวดสายไฟฟ้าหรือจากกระบะท้ายรถยนต์บรรทุกที่ยันหรือจากมือผู้ตาย กระบะท้ายรถยนต์บรรทุกที่จำเลยขับก็จะอัดผู้ตายเข้ากับกระบะท้ายรถยนต์บรรทุกอีกคันหนึ่ง การถอยรถของจำเลยจึงเป็นความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจำเลยจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
ตามพฤติการณ์แห่งคดี เป็นการทำงานร่วมกันของผู้ตายกับจำเลยและผู้ตายมีส่วนประมาทด้วย ประกอบกับมีการชดใช้ค่าเสียหายให้แก่มารดาของผู้ตายจนเป็นที่พอใจ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน สมควรให้จำเลยกลับตัวโดยให้รอการลงโทษจำคุก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 574/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำโดยบันดาลโทสะหลังถูกทำร้ายร่างกาย
ผู้ตายเข้ามาถาม จำเลยถึง เรื่องที่จำเลยตี บุตรสาวของผู้ตายแล้วผู้ตายได้ ชกต่อย เตะ ทำร้ายร่างกายจำเลยทันที โดย จำเลยมิได้ต่อสู้ ซึ่ง ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วย เหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยเข้าไปนำเอาอาวุธปืนออกมายิงผู้ตายในขณะนั้นจึงเป็นการกระทำโดย บันดาลโทสะ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3187/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิยึดหน่วงและการบังคับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินหลังผู้ขายเสียชีวิต แม้ฟ้องเกิน 1 ปี
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับผู้ตายและได้ชำระเงินให้ผู้ตายครบถ้วนแล้วผู้ตายมอบโฉนดที่ดินพิพาททั้งหมดและหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินการโอนที่ดินทั้งหมดให้โจทก์ ทั้งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิยึดหน่วงในที่ดินพิพาทไว้จนกว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ได้ แม้ผู้ตายจะตายเกิน 1 ปีเมื่อโจทก์ฟ้องคดี ก็ไม่ห้ามโจทก์ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงจะใช้สิทธิบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 189 และ 241 ให้จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายโอนที่ดินพิพาทให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2704-2705/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายคดีเนื่องจากผู้ตายไม่มีผู้แทน และการละเมิดสิทธิครอบครองที่ดิน
โจทก์ที่ 3 และจำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาว่า หลังจากศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาแล้ว โจทก์ที่ 4 ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนหลังด้วยถึงแก่กรรม ไม่ปรากฏว่าทายาทหรือผู้จัดการทรัพย์มรดกของโจทก์ที่ 4 หรือบุคคลอื่นใดที่ปกครองทรัพย์มรดกไว้ได้ยื่นคำขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 4 และจำเลยทั้งสี่ก็มิได้มีคำขอให้ศาลมีหมายเรียกบุคคลดังกล่าวเข้ามาเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 4 ภายในเวลากำหนดหนึ่งปีนับแต่ความปรากฏแก่ศาล จึงต้องจำหน่ายคดีสำนวนหลังออกจากสารบบความศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2611/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำบอกเล่าของผู้ตายก่อนตายต้องแสดงถึงความรู้สึกว่าใกล้ตาย จึงรับฟังได้
คำบอกเล่าของผู้ตายที่ผู้ตายพูดโดยรู้สึกตัวว่าตนเองจะถึงแก่ความตายในระยะใกล้กันนั้น สามารถรับฟังได้ แต่คำพูดของผู้ตายที่บอกกับ ล. ขณะที่ผู้ตายกำลังถูกนำเข้าห้องผ่าตัดว่า พ.และจำเลยเป็นผู้ยิงผู้ตายและสงสัยว่าตนเองจะถึงแก่ความตายแน่ ๆแต่ผู้ตายพูดด้วยน้ำเสียง ปกติแสดงว่ายังมีกำลังใจดีอยู่ และเชื่อว่าตนเองจะไม่ถึงแก่ความตาย จึงเป็นคำบอกเล่าที่ผู้ตายพูดโดยผู้ตายเพียงสงสัยว่าตนเองจะตาย ไม่ใช่คำพูดที่ผู้ตายพูดโดยรู้สึกว่าตนเองจะถึงแก่ความตายในระยะเวลาใกล้กันนั้นจึงรับฟังไม่ได้
of 15