พบผลลัพธ์ทั้งหมด 56 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3479/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม แม้ลูกจ้างทำผิดระเบียบ แต่ผู้บังคับบัญชามีส่วนทำให้เกิดเหตุการณ์
หัวหน้าคนงานสั่งให้โจทก์ซึ่งเป็นคนงานกลับไปทำงานโจทก์ไม่ไป หัวหน้าคนงานจึงผลักอกโจทก์เบา ๆ 2 ครั้งอันเป็นการละเมิดสิทธิในร่างกายของโจทก์ โจทก์จึงต่อยหัวหน้าคนงาน 1 ครั้งถูกที่ซอกคอ หัวหน้าคนงานจึงต่อยตอบแล้วกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน เมื่อมีผู้มาห้ามจึงเลิกรากันหัวหน้าคนงานไม่ได้รับบาดเจ็บ ดังนี้ แม้การกระทำของโจทก์จะเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทำงานของจำเลย แต่หัวหน้าคนงานก็มีส่วนทำให้โจทก์กระทำความผิดขึ้นด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะถือเป็นกรณีร้ายแรงถึงขนาดที่นายจ้างจะมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ โดยไม่จ่ายค่าชดเชย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1751/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของกรรมการและผู้บังคับบัญชาต่อเงินฝากในสวัสดิการเงินกู้ที่ไม่จดทะเบียน
สโมสรนายทหารกองรบพิเศษ (พลร่ม) ที่ 1 ตั้งสวัสดิการเงินกู้ขึ้น ดำเนินงานโดยคณะกรรมการซึ่งผู้บังคับการเป็นผู้แต่งตั้งตามตำแหน่งของหน่วย ผลัดเปลี่ยนกันไปโดยอยู่ในความควบคุมดูแลของผู้บังคับการ ทุนของสวัสดิการเงินกู้ได้มาจากเงินของหน่วยงานกับเงินของข้าราชการที่เป็นสมาชิกสโมสรนำมาฝาก ปี พ.ศ. 2514 จำเลยที่ 1 มาดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองรบพิเศษฯ แห่งนี้ ได้เป็นประธาน กรรมการสวัสดิการ เงินกู้โดยรองผู้บังคับการเป็นประธานกรรมการ จำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นกรรมการ และจำเลยที่ 4 คงเป็นกรรมการและผู้จัดการตามเดิมต่อไป โจทก์นำเงินเข้าฝากไว้ในสวัสดิการเงินกู้เป็นจำนวน 230,000 บาท สวัสดิการเงินกู้ไม่จ่ายเงินปันผลให้โจทก์ โจทก์จึงเรียกเงินฝากคืนพร้อมทั้งเงินปันผล เช่นนี้ สวัสดิการเงินกู้มิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล การดำเนินงานทั้งหลายจึงอยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการผู้ได้แต่งตั้งดังปรากฏตามระเบียบว่าด้วยเงินกู้ แม้คณะกรรมการนี้จะมีการแต่งตั้งเปลี่ยนกันไปหลายครั้งตามตำแหน่งนับแต่เริ่มตั้งสวัสดิการเงินกู้จนถึงปัจจุบัน ก็ต้องถือว่าคณะกรรมการใหม่ยอมรับมาซึ่งสิทธิและหน้าที่ตลอดจนความรับผิดจากคณะกรรมการชุดเดิมที่ดำเนินการสวัสดิการเงินกู้ไว้ จะยกข้ออ้างว่าตนเป็นกรรมการโดยตำแหน่งและไม่ได้รับมอบหมายการงานหาได้ไม่ จำเลยที่ 5 รับเงินจากโจทก์ไว้ในนามของคณะกรรมการ ซึ่งกรรมการอื่นต้องร่วมรับผิดในเงินฝากของโจทก์ด้วย และเป็นนิติสัมพันธ์ ทางสัญญาตามกฎหมาย ที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 พ้นจากตำแหน่งกรรมการสวัสดิการ เงินกู้ระหว่างการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น ไม่เป็นผลลบล้างอำนาจฟ้องของโจทก์ที่มีอยู่เดิม ให้หมดไป สำหรับจำเลยที่ 1 นั้น เมื่อจำเลยที่ 1 เข้ารับตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชาการ จำเลยที่ 1 ก็เข้าเป็นประธานกรรมการดำเนินการสวัสดิการเงินกู้ต่อมา แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 จะไปราชการและแต่งตั้งคณะกรรมการสวัสดิการเงินกู้ขึ้นใหม่คือ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 แต่คณะกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งยังคงอยู่ในความควบคุมดูแลรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 เช่นเดิม จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ต่อบุคคลภายนอก เช่นโจทก์ ผู้ได้รับความเสียหายด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1751/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของกรรมการและผู้บังคับบัญชาในสวัสดิการเงินกู้ที่ไม่ได้จดทะเบียน
สโมสรนายทหารกองรบพิเศษ (พลร่ม) ที่ 1 ตั้งสวัสดิการเงินกู้ขึ้น ดำเนินงานโดยคณะกรรมการซึ่งผู้บังคับการเป็นผู้แต่งตั้งตามตำแหน่งงานของหน่วย ผลัดเปลี่ยนกันไปโดยอยู่ในความควบคุมดูแลของผู้บังคับการ ทุนของสวัสดิการเงินกู้ได้มาจากเงินของหน่วยงานกับเงินของข้าราชการที่เป็นสมาชิกสโมสรนำมาฝาก ปี พ.ศ.2514 จำเลยที่ 1 มาดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองรบพิเศษฯ แห่งนี้ ได้เป็นประธานกรรมการสวัสดิการเงินกู้โดยตำแหน่ง ครั้นปี พ.ศ.2516 จำเลยที่ 1 ไปราชการ ได้แต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นรองผู้บังคับการเป็นประธานกรรมการ จำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นกรรมการ และจำเลยที่ 5 คงเป็นกรรมการและผู้จัดการตาม เดิมต่อไป โจทก์นำเงินเข้าฝากไว้ในสวัสดิการเงินกู้เป็นจำนวน 230,000 บาทสวัสดิการเงินกู้ไม่จ่ายเงินปันผลให้โจทก์ โจทก์จึงเรียกเงินฝากคืนพร้อมทั้งเงินปันผล เช่นนี้ สวัสดิการเงินกู้นี้มิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล การดำเนินงานทั้งหลายจึงอยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการผู้ได้รับแต่งตั้งดังปรากฏตามระเบียบว่าด้วยเงินกู้ แม้คณะกรรมการนี้จะมีการแต่งตั้งเปลี่ยนกันไปหลายครั้งตามตำแหน่งนับแต่เริ่มตั้งสวัสดิการเงินกู้จนปัจจุบัน ก็ต้องถือว่าคณะกรรมการใหม่ยอมรับมาซึ่งสิทธิและหน้าที่ตลอดจนความรับผิดจากคณะกรรมการชุดเดิมที่ดำเนินการสวัสดิการเงินกู้ไว้ จะยกข้ออ้างว่าตนเป็นกรรมการโดยตำแหน่งและไม่ได้รับมอบหมายการงานหาได้ไม่ จำเลยที่ 5 รับเงินจากโจทก์ไว้ในนามของคณะกรรมการซึ่งกรรมการอื่นต้องร่วมรับผิดในเงินฝากของโจทก์ด้วยและเป็นนิติสัมพันธ์ทางสัญญาตามกฎหมาย ที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 พ้นจากตำแหน่งกรรมการสวัสดิการเงินกู้ระหว่างการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น ไม่เป็นผลลบล้างอำนาจฟ้องของโจทก์ที่มีอยู่เดิมให้หมดไป สำหรับจำเลยที่ 1 นั้นเมื่อจำเลยที่ 1 เข้ารับตำแหน่งเป็นผู้บังคับการ จำเลยที่ 1 ก็เข้าเป็นประธานกรรมการดำเนินการสวัสดิการเงินกู้ต่อมา แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 จะไปราชการและแต่งตั้งคณะกรรมการสวัสดิการเงินกู้ขึ้นใหม่คือ จำเลยที่ 2 ถึงที่5แต่คณะกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งนี้ยังคงอยู่ในความควบคุมดูแลรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 เช่นเดิม จำเลยที่1 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ต่อบุคคลภายนอกเช่นโจทก์ผู้ได้รับความเสียหายด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 910/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ยืมเงินทดรอง และผู้บังคับบัญชาต่อการทุจริตของลูกน้อง
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ผู้ยืมเงินทดรองจากโจทก์ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบข้อบังคับขององค์การโจทก์ การที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ยืมเงินทดรองแล้วมอบฉันทะให้จำเลยที่ 1 รับแทน แล้วจำเลยที่ 1 ทุจริตยักยอกไปโดยไม่ได้ติดตามควบคุมให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับให้มีการหักล้างเงินยืมภายใน 7 วัน หรือ 30 วัน นับแต่วันจ่ายเงินของแต่ละประเภทตามระเบียบข้อบังคับนั้น ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ได้ปฏิบัติราชการโดยประมาทเลินเล่อต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1
การที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ได้ลงชื่อในใบยืมเงินทดรองของโจทก์ไปโดยตำแหน่งหน้าที่ในฐานะพนักงานของโจทก์ในขอบเขตแห่งหน้าที่ของตนตามระเบียบแบบแผนของโจทก์ที่วางไว้เพื่อใช้ดำเนินงานของโจทก์โดยมอบฉันทะให้จำเลยที่ 1 ส่งเงินไปยังหน่วยงานที่ยืมนั้น แม้จะมีข้อบังคับให้ผู้ยืมต้องส่งเงินเหลือจ่ายคืนพร้อมใบสำคัญคู่จ่ายเพื่อหักล้างบัญชีก็เป็นเรื่องกำหนดความรับผิดชอบของผู้ยืมไว้เป็นการเฉพาะเป็นหลักปฏิบัติงานในหน่วยงานของโจทก์ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 มิได้อยู่ในฐานะของผู้ยืมตามกฎหมาย
การที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ได้ลงชื่อในใบยืมเงินทดรองของโจทก์ไปโดยตำแหน่งหน้าที่ในฐานะพนักงานของโจทก์ในขอบเขตแห่งหน้าที่ของตนตามระเบียบแบบแผนของโจทก์ที่วางไว้เพื่อใช้ดำเนินงานของโจทก์โดยมอบฉันทะให้จำเลยที่ 1 ส่งเงินไปยังหน่วยงานที่ยืมนั้น แม้จะมีข้อบังคับให้ผู้ยืมต้องส่งเงินเหลือจ่ายคืนพร้อมใบสำคัญคู่จ่ายเพื่อหักล้างบัญชีก็เป็นเรื่องกำหนดความรับผิดชอบของผู้ยืมไว้เป็นการเฉพาะเป็นหลักปฏิบัติงานในหน่วยงานของโจทก์ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 มิได้อยู่ในฐานะของผู้ยืมตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 820/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางอาญาจากการกระทำเกินคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
จ่านายสิบตำรวจ ส. สั่งให้พลตำรวจ ย. ขึ้นไปจับ ป. บนเรือนและสั่งให้พลตำรวจ ท. และ น. ซุ่มอยู่รอบเรือน พลตำรวจ ย. ขึ้นไปบนเรือนยิง ป. ตาย ดังนี้ พลตำรวจ ย. กระทำเกินคำสั่งจึงต้องรับผิดในผลของการที่ตนกระทำลงนั้นแต่ผู้เดียวจ่านายสิบตำรวจ ส. และพลตำรวจ ท. และ น. มิได้ร่วมกระทำด้วยจึงไม่ต้องรับผิดในผลที่เกิดขึ้นนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1798/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนหนี้สินทางแพ่งของหน่วยงานราชการ และความรับผิดของผู้บังคับบัญชาต่อการกระทำของลูกน้อง
คดีที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยสองคนรับผิดทางแพ่ง ปรากฏว่าจำเลยคนหนึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล และมูลคดีก็เกิดขึ้นในเขตศาลนั้น ทั้งพยานหลักฐานส่วนใหญ่ก็อยู่ในจังหวัดนั้นด้วย ทั้งโจทก์ก็ได้ยื่นคำร้องจนศาลสั่งอนุญาตให้โจทก์ยื่นคำฟ้องต่อศาลได้ การที่ศาลรับฟ้องคดีนั้นไว้พิจารณาพิพากษาจึงเป็นการชอบแล้ว
เดิมกรมทางหลวงมีชื่อว่ากรมทางหลวงแผ่นดิน สังกัดกระทรวงคมนาคมต่อมาได้มีกฎหมายบัญญัติให้กรมทางหลวงแผ่นดินอยู่ในสังกัดกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ และให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน หนี้สิน ข้าราชการ ฯลฯ ไปเป็นของกรมทางหลวงนั้น โดยผลแห่งกฎหมาย หนี้สินและสิทธิเรียกร้องที่กรมทางหลวงแผ่นดินมีต่อจำเลยลูกหนี้ย่อมโอนไปยังกรมทางหลวงโจทก์ โดยมิพักต้องบอกกล่าวการโอนไปยังจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้แต่อย่างใด และโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
การที่จำเลยที่ 1 รับราชการอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 ได้ยักยอกเงินของทางราชการไปด้วยความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาเช่นนี้ จำเลยที่ 2 ต้องรับผิด
กรณีละเมิดนั้น เมื่อโจทก์เพิ่งได้ทราบเรื่องจำเลยยักยอกจากการตรวจสอบบัญชีและหลักฐานการสอบสวนจากพนักงานเจ้าหน้าที่และมาฟ้องคดีในเวลายังไม่ครบ 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ตัวผู้กระทำละเมิดและรู้ถึงการกระทำละเมิด คดีของโจทก์จึงยังหาขาดอายุความไม่
เดิมกรมทางหลวงมีชื่อว่ากรมทางหลวงแผ่นดิน สังกัดกระทรวงคมนาคมต่อมาได้มีกฎหมายบัญญัติให้กรมทางหลวงแผ่นดินอยู่ในสังกัดกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ และให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน หนี้สิน ข้าราชการ ฯลฯ ไปเป็นของกรมทางหลวงนั้น โดยผลแห่งกฎหมาย หนี้สินและสิทธิเรียกร้องที่กรมทางหลวงแผ่นดินมีต่อจำเลยลูกหนี้ย่อมโอนไปยังกรมทางหลวงโจทก์ โดยมิพักต้องบอกกล่าวการโอนไปยังจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้แต่อย่างใด และโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
การที่จำเลยที่ 1 รับราชการอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 ได้ยักยอกเงินของทางราชการไปด้วยความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาเช่นนี้ จำเลยที่ 2 ต้องรับผิด
กรณีละเมิดนั้น เมื่อโจทก์เพิ่งได้ทราบเรื่องจำเลยยักยอกจากการตรวจสอบบัญชีและหลักฐานการสอบสวนจากพนักงานเจ้าหน้าที่และมาฟ้องคดีในเวลายังไม่ครบ 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ตัวผู้กระทำละเมิดและรู้ถึงการกระทำละเมิด คดีของโจทก์จึงยังหาขาดอายุความไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 271/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้บังคับบัญชาต่อการละเมิดของลูกน้อง และอายุความคดีละเมิด
เมื่อโจทก์คือกรมไปรษณีย์โทรเลขยังมีหน้าที่เก็บค่าเช่าโทรศัพท์แทนองค์การโทรศัพท์ซึ่งเป็นนิติบุคคลอยู่ หากเงินถูกยักยอกไปโดยเจ้าหน้าที่ของโจทก์ทำละเมิด โจทก์ก็ต้องรับผิดใช้เงินให้แก่องค์การโทรศัพท์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย โดยไม่คำนึงถึงว่า โจทก์จะได้ใช้เงินนั้นให้แก่องค์การโทรศัพท์แล้วหรือยัง
โจทก์แจ้งบความเรื่องยักยอก เมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2499 อันถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดแล้ว แต่โจทก์เพิ่งรู้ว่าจำเลยต้องรับผิดใช้ค่าทดแทนเมื่อ 19 เมษายน 2499 แล้วโจทก์ฟ้องคดีเรื่องละเมิดเมื่อ 9 เมษายน 2500 ยังไม่เกิน 1 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
การปฏิบัติที่ผิดระเบียบของทางราชการวางไว้ แม้จะปฏิบัติกันมานานเท่าใดก็ไม่ทำให้เป็นการปฏิบัติที่ชอบขึ้นมาได้ การปล่อยปละละเลยให้มีการปฏิบัติผิดระเบียบเช่นนี้ ถือว่าเป็นการประมาทเลินเล่อ ผู้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบ
ศาลพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดให้โจทก์เป็นเงินจำนวนหนึ่ง หากปรากฏว่าโจทก์ได้รับชดใช้จากผู้ร่วมละเมิดคนอื่นไปบ้างแล้ว จำเลยก็ย่อมจะคิดหักกับโจทก์ได้ในชั้นบังคบคดี
โจทก์แจ้งบความเรื่องยักยอก เมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2499 อันถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดแล้ว แต่โจทก์เพิ่งรู้ว่าจำเลยต้องรับผิดใช้ค่าทดแทนเมื่อ 19 เมษายน 2499 แล้วโจทก์ฟ้องคดีเรื่องละเมิดเมื่อ 9 เมษายน 2500 ยังไม่เกิน 1 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
การปฏิบัติที่ผิดระเบียบของทางราชการวางไว้ แม้จะปฏิบัติกันมานานเท่าใดก็ไม่ทำให้เป็นการปฏิบัติที่ชอบขึ้นมาได้ การปล่อยปละละเลยให้มีการปฏิบัติผิดระเบียบเช่นนี้ ถือว่าเป็นการประมาทเลินเล่อ ผู้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบ
ศาลพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดให้โจทก์เป็นเงินจำนวนหนึ่ง หากปรากฏว่าโจทก์ได้รับชดใช้จากผู้ร่วมละเมิดคนอื่นไปบ้างแล้ว จำเลยก็ย่อมจะคิดหักกับโจทก์ได้ในชั้นบังคบคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 271/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้บังคับบัญชาต่อการละเมิดของลูกน้อง และอายุความคดีละเมิด
เมื่อโจทก์คือกรมไปรษณีย์โทรเลข ยังมีหน้าที่เก็บค่าเช่าโทรศัพท์แทนองค์การโทรศัพท์ซึ่งเป็นนิติบุคคลอยู่ หากเงินถูกยักยอกไปโดยเจ้าหน้าที่ของโจทก์ทำละเมิด โจทก์ก็ต้องรับผิดใช้เงินให้แก่องค์การโทรศัพท์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย โดยไม่คำนึงถึงว่า โจทก์จะได้ใช้เงินนั้นให้แก่องค์การโทรศัพท์แล้วหรือยัง
โจทก์แจ้งความเรื่องยักยอก เมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2499 อันถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดแล้ว แต่โจทก์เพิ่งรู้ว่าจำเลยต้องรับผิดใช้ค่าทดแทนเมื่อ 19 เมษายน 2499 แล้วโจทก์ฟ้องคดีเรื่องละเมิดเมื่อ 9 เมษายน 2500 ยังไม่เกิน 1 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
การปฏิบัติที่ผิดระเบียบของทางราชการวางไว้ แม้จะปฏิบัติกันมานานเท่าใดก็ไม่ทำให้เป็นการปฏิบัติที่ชอบขึ้นมาได้ การปล่อยปละละเลยให้มีการปฏิบัติผิดระเบียบเช่นนี้ถือว่าเป็นการประมาทเลินเล่อ ผู้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบ
ศาลพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดให้โจทก์เป็นเงินจำนวนหนึ่ง หากปรากฏว่าโจทก์ได้รับชดใช้จากผู้ร่วมละเมิดคนอื่นไปบ้างแล้ว จำเลยก็ย่อมจะคิดหักกับโจทก์ได้ในชั้นบังคับคดี
โจทก์แจ้งความเรื่องยักยอก เมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2499 อันถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดแล้ว แต่โจทก์เพิ่งรู้ว่าจำเลยต้องรับผิดใช้ค่าทดแทนเมื่อ 19 เมษายน 2499 แล้วโจทก์ฟ้องคดีเรื่องละเมิดเมื่อ 9 เมษายน 2500 ยังไม่เกิน 1 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
การปฏิบัติที่ผิดระเบียบของทางราชการวางไว้ แม้จะปฏิบัติกันมานานเท่าใดก็ไม่ทำให้เป็นการปฏิบัติที่ชอบขึ้นมาได้ การปล่อยปละละเลยให้มีการปฏิบัติผิดระเบียบเช่นนี้ถือว่าเป็นการประมาทเลินเล่อ ผู้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบ
ศาลพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดให้โจทก์เป็นเงินจำนวนหนึ่ง หากปรากฏว่าโจทก์ได้รับชดใช้จากผู้ร่วมละเมิดคนอื่นไปบ้างแล้ว จำเลยก็ย่อมจะคิดหักกับโจทก์ได้ในชั้นบังคับคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 900/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนทางกฎหมาย: ความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการและผู้บังคับบัญชา ไม่ถือเป็นตัวแทน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 รับราชการอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้กำกับแขวงการทางและมีหน้าที่รับเบิกจ่ายเงินเกี่ยวกับราชการแขวงการทางด้วยจำเลยที่ 1 เบิกเงินจากจำเลยที่ 2 ไป เพื่อชำระค่าสิ่งของที่จำเลยที่ 1 ซื้อเชื่อจากโจทก์มาใช้ในราชการแขวงการทางซึ่งอยู่ในหน้าที่ของจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 ยักยอกเงินเสียดังนี้ ถึงแม้จำเลยที่ 2 จะเป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 1 ก็เป็นไปตามกฎหมายหรือระเบียบราชการ จำเลยที่ 1 หาใช่ตัวแทนของจำเลยที่ 2 ไม่จะนำกฎหมายเรื่องตัวการตัวแทนมาใช้บังคับแก่จำเลยที่ 2 ไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 900/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยยักยอกเงินเบิกจ่ายของราชการ ไม่ถือเป็นตัวแทนของผู้บังคับบัญชา
จำเลยที่ 1 รับราชการแขวงการทางจังหวัด เบิกเงินจากจำเลยที่ 2 ผู้กำกับแขวงการทางซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 1 เพื่อชำระค่าสิ่งของที่จำเลยที่ 1 ซื้อเชื่อจากโจทก์มาใช้ในราชการแขวงการทางซึ่งอยู่ในหน้าที่ของจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินนั้นเสียดังนี้ แม้จำเลยที่ 2 จะเป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 1 ก็เป็นไปตามกฎหมายหรือระเบียบการจำเลยที่ 1 หาใช่ตัวแทนของจำเลยที่ 2 ไม่ จะนำกฎหมายเรื่องตัวการตัวแทนมาใช้บังคับแก่จำเลยที่ 2 ไม่ได้