พบผลลัพธ์ทั้งหมด 46 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1080/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.จ. ความรู้เทียบเท่า ม.3 แม้ยังมิได้เทียบจากกระทรวงศึกษาธิการโดยตรง
โจทก์มีความรู้สอบได้ประกาศนียบัตรนักธรรมเอก และได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาจังหวัดอยู่แล้ว แม้ขณะโจทก์สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาจังหวัดจะยังไม่มีการเทียบความรู้นักธรรมเอก คงมีแต่การตกลงกันระหว่างกระทรวงมหาดไทย กับกระทรวงศึกษาธิการ เทียบความรู้นักธรรมตรีขึ้นไปให้เท่าชั้นมัธยมปีที่ 3 เฉพาะการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล แต่ ภายหลังเมื่อกระทรวงมหาดไทยสอบถามไป กระทรวงศึกษาธิการก็ได้ตอบมาว่ารายการวุฒิต่าง ๆ ซึ่งเคยเทียบไว้ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนั้น ให้มีผลใช้ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด ต่อไปด้วย ดังนี้ ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภาจังหวัดโดยมีความรู้เทียบไม่ต่ำกว่าชั้นมัธยมปีที่ 3 อยู่แล้ว หาขาดคุณสมบัติไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 432/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการฟ้องร้องของพรรคการเมืองในคดีเลือกตั้ง: พรรคการเมืองไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง
พรรคการเมืองสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรไม่ได้ จึงไม่ใช่ผู้เสียหายอันมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1534/2482
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลือกตั้งใหม่เนื่องจากกรรมการละเมิดกฎกระทรวงและสร้างความไม่เป็นธรรมต่อผู้สมัคร
คดีนี้สั่งให้เลือกตั้งใหม่
กรณีที่ไม่เป็นคำร้องเคลือบคลุม กรรมการตรวจคะแนนเสียงแย่งกันขานบัตร์เป็นการฝ่าฝืนกฎกระทรวงข้อ 25 ราษฎรเข้าไปปิดบัตรในคูหาเดียวกันขณะเดียวกันตั้ง 2-3 คน เป็นการฝ่าฝืนกฎกระทรวง ข้อ 18 กรรมการและผู้อื่นไปแนะนำให้ผู้ลงคะแนนปิดบัตรให้แก่ผู้สมัครคนหนึ่งในที่เลือกตั้งเป็นการไม่ชอบ
กรณีที่ไม่เป็นคำร้องเคลือบคลุม กรรมการตรวจคะแนนเสียงแย่งกันขานบัตร์เป็นการฝ่าฝืนกฎกระทรวงข้อ 25 ราษฎรเข้าไปปิดบัตรในคูหาเดียวกันขณะเดียวกันตั้ง 2-3 คน เป็นการฝ่าฝืนกฎกระทรวง ข้อ 18 กรรมการและผู้อื่นไปแนะนำให้ผู้ลงคะแนนปิดบัตรให้แก่ผู้สมัครคนหนึ่งในที่เลือกตั้งเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1729/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชดใช้ค่าเสียหายจากการเลือกตั้งใหม่: ต้องพิสูจน์การกระทำผิดของผู้สมัครก่อน
การที่โจทก์สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้สมัครรายใดและสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่แล้ว จะให้ผู้สมัครต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เป็นค่าใช่จ่ายในการเลือกตั้งใหม่ โดยไม่ต้องตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งให้ได้ความอย่างแน่ชัดว่าผู้สมัครนั้นกระทำการอันมีเหตุให้โจทก์สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือไม่ ย่อมไม่อาจเยียวยาความผิดพลาดอันเกิดจากการออกคำสั่งซึ่งย่อมไม่เป็นธรรมแก่ผู้สมัคร หากข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าผู้สมัครกระทำการดังกล่าวแล้ว คำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้สมัครย่อมไม่มีผลผูกพันให้ผู้สมัครนั้นต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งใหม่ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 99 วรรคหนึ่ง ได้
ข้อความการกล่าวปราศรัยของ อ. ที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของจำเลยเข้ากับทีมงานการเมืองตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับผู้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดินว่ามีส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อการของบประมาณในการพัฒนาท้องถิ่นอย่างไร หากจำเลยไม่ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลงิ้ว ย่อมมีความหมายในทำนองให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่จำเลยโดยนำเรื่องงบประมาณในการพัฒนาท้องถิ่นมาเป็นข้อต่อรอง อันมีลักษณะเป็นการหลอกหลวงหรือจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่จำเลย เป็นการฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 57 เมื่อจำเลยมีส่วนในการก่อ หรือสนับสนุนการกระทำดังกล่าวของ อ. จนโจทก์มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยและให้มีการเลือกตั้งใหม่ จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งใหม่ตาม มาตรา 99 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
การฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งใหม่หาจำต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญา สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงไม่ใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่ศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญาแต่อย่างใด
ข้อความการกล่าวปราศรัยของ อ. ที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของจำเลยเข้ากับทีมงานการเมืองตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับผู้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดินว่ามีส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อการของบประมาณในการพัฒนาท้องถิ่นอย่างไร หากจำเลยไม่ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลงิ้ว ย่อมมีความหมายในทำนองให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่จำเลยโดยนำเรื่องงบประมาณในการพัฒนาท้องถิ่นมาเป็นข้อต่อรอง อันมีลักษณะเป็นการหลอกหลวงหรือจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่จำเลย เป็นการฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 57 เมื่อจำเลยมีส่วนในการก่อ หรือสนับสนุนการกระทำดังกล่าวของ อ. จนโจทก์มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยและให้มีการเลือกตั้งใหม่ จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งใหม่ตาม มาตรา 99 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
การฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งใหม่หาจำต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญา สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงไม่ใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่ศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญาแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9804/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้สมัครที่ขาดคุณสมบัติ และความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง
จำเลยถูกศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเนื่องจากสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง อันเป็นกรณีตามมาตรา 163 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ที่บัญญัติให้ถือว่าผู้นั้นถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญนี้ด้วย หาใช่กรณีเสียสิทธิเลือกตั้งเนื่องจากไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา 164 และตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวยังคงบัญญัติบทกำหนดโทษกรณีที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไว้ในมาตรา 139 อันเป็นกรณีที่กฎหมายที่ได้บัญญัติภายหลังยังบัญญัติให้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดอยู่ จึงไม่ทำให้จำเลยพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 2 วรรคสอง ทั้งบัญญัติให้มีระวางโทษเท่าเดิม จึงไม่มีส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยไม่ว่าในทางใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 294/2560
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเลือกตั้งซ่อม กรณีผู้สมัครทำละเมิด ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้ง
ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 มาตรา 10 กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจหน้าที่ควบคุมและดำเนินการจัดหรือจัดให้มีการเลือกตั้งหรือสนับสนุนการสรรหาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี รวมทั้งการออกเสียงประชามติให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม รวมทั้งอำนาจหน้าที่อื่นอีกหลายกรณี มาตรา 30 กำหนดให้มีสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นหน่วยงานที่เป็นอิสระตามรัฐธรรมนูญ มีฐานะเป็นนิติบุคคลและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยมีประธานกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด มาตรา 38 กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเสนองบประมาณรายจ่าย เพื่อจัดสรรเป็นเงินอุดหนุนของคณะกรรมการการเลือกตั้งและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรือร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม แล้วแต่กรณี ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่างบประมาณรายจ่ายที่ได้รับการจัดสรรให้ไม่เพียงพอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอคำขอแปรญัตติต่อคณะกรรมาธิการกิจการพิจารณางบประมาณของสภาผู้แทนราษฎรได้โดยตรง ในกรณีที่มีค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง การสรรหาสมาชิกวุฒิสภาหรือการจัดทำประชามติมากกว่างบประมาณที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับ ให้รัฐอุดหนุนค่าใช้จ่ายให้เพียงพอกับการดำเนินงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง จะเห็นได้ว่าตามบทบัญญัติดังกล่าวเป็นกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้รัฐสนับสนุนงบประมาณเพื่ออุดหนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการการเลือกตั้งและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งให้เพียงพอกับการดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ แต่การนำเงินงบประมาณไปใช้ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของระเบียบข้อบังคับและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง มิได้หมายความว่าโจทก์สามารถจะนำเงินงบประมาณไปใช้จ่ายอย่างไรก็ได้ โดยเฉพาะแล้วการนำเงินงบประมาณที่ได้จากการจัดสรรมาก็ต้องเพื่อให้เกิดผลประโยชน์แก่รัฐอย่างสูงสุด ขณะเดียวกันจำเลยซึ่งสมัครเข้ารับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและส่วนรวม รวมทั้งต้องมีความรับผิดชอบต่อการใช้เงินงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเงินงบประมาณก็คือเงินภาษีของประชาชน ดังนี้ การที่จำเลยสมัครรับเลือกตั้งและได้รับเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ จำเลยย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ซึ่งต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย ทั้งเมื่อเข้ารับตำแหน่งดังกล่าว จำเลยยังมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่ผู้เข้ารับตำแหน่งดังกล่าวจะต้องปฏิบัติด้วยความถูกต้องเช่นนั้นทุกคน เมื่อโจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าการกระทำของจำเลยที่จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบจนเป็นเหตุให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยชี้ขาดจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 119 ให้จำเลยพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำให้โจทก์ต้องจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ เขตเลือกตั้งที่ 3 แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยต้องใช้งบประมาณหรือเงินอุดหนุนที่ได้รับจากการจัดสรรจากรัฐบาลที่มาจากภาษีของประชาชน จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 เท่ากับโจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในหนี้มูลละเมิด โดยโจทก์เป็นผู้ได้รับความเสียหายจากการทำละเมิดของจำเลย อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 55 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
เมื่อคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยมีความผิด ศาลชั้นต้นย่อมนำข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมารับฟังประกอบการพิจารณาคดีนี้ได้ เพราะเป็นกรณีที่เกี่ยวพันกับจำเลยที่เป็นคู่ความและเป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวพันต่อเนื่องกัน การยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินหรือหนี้สินและเอกสารของผู้ที่จะเข้าทำหน้าที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นหน้าที่สำคัญ จำเลยย่อมรู้ดีว่าหากจำเลยจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ย่อมมีผลทำให้จำเลยต้องพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเมื่อจำเลยพ้นจากตำแหน่งดังกล่าว คณะกรรมการการเลือกตั้งก็ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่าง โดยไม่อาจว่างเว้นการเลือกตั้งไว้ได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยจงใจโดยจำเลยรู้สึกถึงผลหรือความเสียหายที่จะเกิดขึ้น จำเลยจึงอ้างความผิดหลงหรือเข้าใจผิดในข้อเท็จจริงเพื่อปฏิเสธความรับผิดไม่ได้ และการที่จำเลยยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินหรือเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติจนเป็นเหตุให้ถูกดำเนินคดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้วจำเลยกลับมาสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 2 มิถุนายน 2555 ซึ่งเป็นการสมัครรับเลือกตั้งครั้งที่ 2 หลังจากมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2554 และกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ จำเลยก็ย่อมจะทราบดีว่าการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของจำเลยที่ไม่ถูกต้องดังกล่าวอาจทำให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิการรับเลือกตั้งและเป็นเหตุให้รัฐได้รับความเสียหายโดยต้องเสียค่าใช้จ่ายใช้งบประมาณแผ่นดินในการจัดการเลือกตั้งใหม่แทนตำแหน่งที่ว่างนับได้ว่าการกระทำของจำเลยล้วนเป็นผลทำให้เกิดความเสียหายที่ต่อเนื่องกันอันเป็นผลโดยตรง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420
เมื่อคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยมีความผิด ศาลชั้นต้นย่อมนำข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมารับฟังประกอบการพิจารณาคดีนี้ได้ เพราะเป็นกรณีที่เกี่ยวพันกับจำเลยที่เป็นคู่ความและเป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวพันต่อเนื่องกัน การยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินหรือหนี้สินและเอกสารของผู้ที่จะเข้าทำหน้าที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นหน้าที่สำคัญ จำเลยย่อมรู้ดีว่าหากจำเลยจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ย่อมมีผลทำให้จำเลยต้องพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเมื่อจำเลยพ้นจากตำแหน่งดังกล่าว คณะกรรมการการเลือกตั้งก็ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่าง โดยไม่อาจว่างเว้นการเลือกตั้งไว้ได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยจงใจโดยจำเลยรู้สึกถึงผลหรือความเสียหายที่จะเกิดขึ้น จำเลยจึงอ้างความผิดหลงหรือเข้าใจผิดในข้อเท็จจริงเพื่อปฏิเสธความรับผิดไม่ได้ และการที่จำเลยยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินหรือเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติจนเป็นเหตุให้ถูกดำเนินคดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้วจำเลยกลับมาสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 2 มิถุนายน 2555 ซึ่งเป็นการสมัครรับเลือกตั้งครั้งที่ 2 หลังจากมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2554 และกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ จำเลยก็ย่อมจะทราบดีว่าการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของจำเลยที่ไม่ถูกต้องดังกล่าวอาจทำให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิการรับเลือกตั้งและเป็นเหตุให้รัฐได้รับความเสียหายโดยต้องเสียค่าใช้จ่ายใช้งบประมาณแผ่นดินในการจัดการเลือกตั้งใหม่แทนตำแหน่งที่ว่างนับได้ว่าการกระทำของจำเลยล้วนเป็นผลทำให้เกิดความเสียหายที่ต่อเนื่องกันอันเป็นผลโดยตรง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420