คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฟ้องไม่เคลือบคลุม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 125 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2537/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ไม่ชัดเจน, ฟ้องไม่เคลือบคลุม, เช็คชำระหนี้หรือค้ำประกัน, ทนายความไม่มีใบอนุญาต
คำฟ้องหาจำต้องระบุว่าจำเลยได้สั่งจ่ายเช็ค มอบให้แก่โจทก์เมื่อใด เป็นค่าอะไร สิ่งของนั้นจำนวนเท่าใด ไม่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าแก่โจทก์ จำเลยได้รับสินค้าที่สั่งซื้อจากโจทก์แล้วจำเลยฎีกาว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์เพื่อค้ำประกันการชำระหนี้ ไม่ใช่ออกให้เพื่อชำระหนี้ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยและสินค้าที่โจทก์ส่งให้ก็ใช้ไม่ได้ จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง เพื่อไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามเช็คพิพาท เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วว่าการที่ ศ. ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ว่าความอย่างทนายความนั้น เป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบข้อที่ได้จากการที่ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ถามค้านพยานจำเลยไว้จึงรับฟังไม่ได้ และศาลอุทธรณ์ก็มิได้รับฟัง จำเลยฎีกาเพียงว่าการกระทำของ ศ. ไม่มีผลตามกฎหมาย และอ้างว่าได้แถลงคัดค้านไว้แล้ว แต่มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยชัดแจ้งว่าในข้อนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายไม่ถูกต้องอย่างไร หรือวินิจฉัยอย่างไรจึงจะถูกต้องเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคแรก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2120/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องไม่เคลือบคลุมแม้ไม่ระบุรายละเอียดบ้าน และไม่เป็นฟ้องซ้ำหากคดีก่อนไม่วินิจฉัยเรื่องกรรมสิทธิ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของบ้านไม่มีเลขที่ตั้งอยู่ ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของวัดหูน้ำ (ร้าง) จำเลยได้เช่าบ้านโจทก์ดังกล่าว การที่จำเลยให้การว่า จำเลยอาศัยอยู่ในบ้านไม่มีเลขที่ตั้งอยู่ ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบ้านของจำเลยเองและปลูกอยู่ในที่ดินวัดหูน้ำ (ร้าง) แสดงให้เห็นว่าจำเลยเข้าใจฟ้องของโจทก์ดีแล้วว่าบ้านที่โจทก์กล่าวในฟ้องก็คือบ้านที่จำเลยอาศัยอยู่ จำเลยจึงสามารถต่อสู้คดีได้ ว่าเป็นบ้านของจำเลยเอง ฟ้องโจทก์จึงไม่จำต้องระบุลักษณะของบ้าน บริเวณและอาณาเขตที่ติดต่อแต่อย่างใดเพราะเป็นเรื่องที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านคนละหลังกับบ้านหลังพิพาทคดีนี้ ทั้งในคดีก่อนศาลมิได้วินิจฉัยในประเด็นว่าจำเลยเป็นเจ้าของบ้านหลังพิพาทคดีนี้ การที่โจทก์นำสัญญาเช่าฉบับเดิมที่ฟ้องคดีก่อนมาฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านหลังพิพาทคดีนี้ จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
ที่จำเลยฎีกาว่าบ้านของโจทก์เป็นคนละหลังกับบ้านหลังพิพาทเพราะบ้านของโจทก์อยู่ริมถนนจำเริญวิถี แต่บ้านของจำเลยอยู่ถนนสะเดียงทองนั้น จำเลยเพิ่งยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลล่างทั้งสอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานแจ้งความเท็จ: ฟ้องไม่เคลือบคลุมหรือไม่ พิจารณาจากรายละเอียดการกระทำและเจตนา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 ถึง 6 มีนาคม 2528 เวลากลางคืนและกลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยนำความเท็จไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลสำเหร่ ว่าโจทก์ทำร้ายร่างกายจำเลยและชิงทรัพย์คือสร้อยคอทองคำขาว 1 เส้น พร้อมจี้เพชรของจำเลยเพื่อแกล้งให้โจทก์รับโทษทางอาญา โดยระบุว่าความจริงเป็นอย่างไร โจทก์ไม่จำต้องระบุในฟ้องว่าพนักงานสอบสวนเป็นผู้ใดก็สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ และลักษณะของการกระทำผิดในคดีนี้ปรากฏว่าจำเลยแจ้งความ 2 ครั้ง ต่อเนื่องกันใน 2 วันดังกล่าว ทั้งเป็นการกล่าวแสดงเจตนาของจำเลยในตัวว่า จำเลยทราบแล้วว่าความจริงไม่เป็นดังที่จำเลยแจ้งต่อพนักงานสอบสวน ฟ้องโจทก์ได้บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาสถานที่พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งความเท็จเพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่นเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 ฟ้องไม่เคลือบคลุม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 ถึง 6 มีนาคม 2528เวลากลางคืนและกลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยนำความเท็จไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลสำเหร่ ว่าโจทก์ทำร้ายร่างกายจำเลยและชิงทรัพย์คือสร้อยคอทองคำขาว 1 เส้น พร้อมจี้เพชรของจำเลยเพื่อแกล้งให้โจทก์รับโทษทางอาญา โดยระบุว่าความจริงเป็นอย่างไร โจทก์ไม่จำต้องระบุในฟ้องว่าพนักงานสอบสวนเป็นผู้ใดก็สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ และลักษณะของการกระทำผิดในคดีนี้ปรากฏว่าจำเลยแจ้งความ 2 ครั้ง ต่อเนื่องกันใน 2 วันดังกล่าวทั้งเป็นการกล่าวแสดงเจตนาของจำเลยในตัวว่า จำเลยทราบแล้วว่าความจริงไม่เป็นดังที่จำเลยแจ้งต่อพนักงานสอบสวน ฟ้องโจทก์ได้บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาสถานที่พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158(5) แล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 582/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งความเท็จทำให้ผู้อื่นถูกดำเนินคดี ถือเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ แม้ฟ้องไม่แนบเอกสารก็ไม่เคลือบคลุม
จำเลยนำบ้านของผู้อื่นมาขายให้โจทก์ โดยอ้างว่าเป็นของจำเลย โจทก์จึงไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนมีสาระสำคัญว่าสัญญาซื้อขายบ้านดังกล่าวล้มเลิก และจำเลยจะคืนเงินค่าซื้อบ้านให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์แจ้งความเท็จกล่าวหาว่าจำเลยฉ้อโกงโจทก์ ซึ่งข้อสาระสำคัญไม่ตรงกับข้อความที่โจทก์แจ้งไว้เป็นเหตุให้โจทก์ถูกจับกุมดำเนินคดี ดังนี้ จำเลยมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ
คำฟ้องบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่า จำเลยได้กระทำความผิดไว้พอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแม้ไม่แนบรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีของเจ้าพนักงานตำรวจมาด้วย ก็ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5).(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4417/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการฉ้อฉล: ฟ้องไม่เคลือบคลุมแม้ไม่ได้ระบุทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้หรือลำดับการใช้สิทธิเรียกร้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหนี้โจทก์ได้ทำนิติกรรมโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยทั้งสองทราบดีว่าจะเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบไม่ได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนดังกล่าว ดังนี้เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ในเรื่องเพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237 โดยไม่จำต้องบรรยายว่าจำเลยที่ 1 จะมีหรือไม่มีทรัพย์สินอื่นนอกจากที่พิพาทหรือไม่ และโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องก่อนหรือหลังจำเลยที่ 1 โอนที่พิพาทให้จำเลยที่ 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3804/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องขับไล่ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน: ฟ้องไม่เคลือบคลุมและอายุความไม่ตัดสิทธิ
โจทก์บรรยายฟ้องอ้างสิทธิของโจทก์ว่าเป็นผู้ครอบครองที่ดินของกรมชลประทานเขตกั้นน้ำเค็มชายทะเลฝั่งทิศใต้ โดยได้รับอนุญาตจากกรมชลประทานให้ใช้ที่ดินดังกล่าวในกิจการที่เกี่ยวกับภาระหน้าที่ขอกรมพลาธิการทหารบก จำเลยเช่าที่ดินบางส่วนซึ่งอยู่ในความครอบครองดังกล่าว ต่อมากรมพลาธิการทหารบกมีหนังสือบอกเลิกการเช่าให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจำเลยไม่ยอมออกไปภายในกำหนดขอให้ศาลบังคับขับไล่จำเลย แม้จะไม่ระบุว่าที่ดินที่เช่ามีเขตติดต่ออะไร กำหนดเวลาเช่านานเท่าใด และไม่แนบหลักฐานทางทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินพิพาทมาท้ายฟ้อง ก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์ซึ่งแจ้งชัดอยู่แล้วเป็นฟ้องเคลือบคลุม
ที่ดินพิพาทแม้จะไม่มีโฉนด แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของกรมชลประทานเขตคันกั้นน้ำเค็ม ชายทะเล จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 เมื่อโจทก์ซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินพิพาทจากกรมชลประทานฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทการที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยแย่งการครอบครองจากโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ฟ้องคดีภายใน 1 ปี จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นถือได้ว่าเป็นการยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1306

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3151/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขับไล่และการบอกเลิกสัญญาเช่า: ฟ้องไม่เคลือบคลุมแม้ไม่มีรายละเอียดสัญญา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเช่าที่ดินจากโจทก์ เมื่อสัญญาเช่าหมดอายุจำเลยตกลงเช่าต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา ต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อ จึงบอกเลิกการเช่า ให้จำเลยส่งมอบที่เช่าคืนโจทก์เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว แม้จะมิได้บรรยายถึงวันเวลาที่จำเลยเช่า อัตราค่าเช่า และเงื่อนไขข้อตกลงต่าง ๆ มาในฟ้อง ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3151/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ระบุรายละเอียดสัญญาเช่า หากบรรยายสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับชัดเจน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ เมื่อสัญญาเช่าหมดอายุ จำเลยตกลงเช่าต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา ต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อ จึงบอกเลิกการเช่าให้จำเลยส่งมอบที่เช่าคืนโจทก์ เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วแม้จะมิได้บรรยายถึงวันเวลาที่จำเลยเช่าอัตราค่าเช่า และเงื่อนไขข้อตกลงต่าง ๆ มาในฟ้อง ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3334/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งข้อมูลเท็จเจ้าหน้าที่ที่ดิน: ฟ้องไม่เคลือบคลุมแม้ไม่ระบุสถานะเจ้าพนักงาน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้แจ้งให้ ถ. เจ้าหน้าที่ที่ดินอำเภอผู้ทำหน้าที่รับคำขอจดทะเบียนต่าง ๆ จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารคำขอออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์และเอกสารบันทึกถ้อยคำซึ่งเป็นเอกสารราชการและมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้หายไป แม้มิได้บรรยายว่า ถ.เป็นเจ้าพนักงานที่ดินก็ย่อมเข้าใจได้ว่าถ.เป็นเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ ตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 แล้ว ฟ้องโจทก์หาเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมหรือขาดองค์ประกอบความผิดไม่
of 13