คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ระงับข้อพิพาท

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 94 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3138/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: การระงับข้อพิพาทเขตที่ดินโดยการผ่อนผันซึ่งกันและกัน
โจทก์ที่ 2 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสสำนักสงฆ์วัดราษฎร์สามัคคีมีข้อพิพาทกันเกี่ยวกับเขตที่ดินของโจทก์ที่ 2 กับที่ดินอันเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์ซึ่งอยู่ติดต่อกับว่าอยู่ตรงที่ใด และที่ดินตรงนั้นจะเป็นของโจทก์ที่ 2 หรือของสำนักสงฆ์ โจทก์ที่ 2 จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จึงทำบันทึกข้อตกลงว่าให้ที่ดินตรงที่พิพาทกันนั้นตกเป็นของสำนักสงฆ์วัด ราษฎรสามัคคี ส่วนที่ดินของโจทก์ที่ 2 ที่ขาดไปนั้น จำเลยที่ 1 ยินยอมให้รังวัดที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1 ชดใช้โจทก์ที่ 2 จนครบ ข้อตกลงระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยที่ 1 ดังกล่าวนี้เป็นการผ่อนผันให้กันและกันเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์ 2 กับจำเลยที่ 2 เข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3138/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: การระงับข้อพิพาทเขตที่ดินระหว่างวัดและบุคคลทั่วไป
โจทก์ที่ 2 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสสำนักสงฆ์วัดราษฎร์สามัคคีมีข้อพิพาทกันเกี่ยวกับเขตที่ดินของโจทก์ที่ 2 กับที่ดินอันเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์ซึ่งอยู่ติดต่อกันว่าอยู่ตรงที่ใด และที่ดินตรงนั้นจะเป็นของโจทก์ที่ 2 หรือของสำนักสงฆ์โจทก์ที่ 2 จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จึงทำบันทึกข้อตกลงว่าให้ที่ดินตรงที่พิพาทกันนั้นตกเป็นของสำนักสงฆ์วัดราษฎร์สามัคคี.ส่วนที่ดินของโจทก์ที่ 2 ที่ขาดไปนั้น จำเลยที่ 1 ยินยอมให้รังวัดที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1 ชดใช้โจทก์ที่ 2 จนครบข้อตกลงระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยที่ 1 ดังกล่าวนี้เป็นการผ่อนผันให้กันและกันเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยที่ 2 เข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2039/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทรัพย์สินที่ได้จากการโอนเพื่อระงับข้อพิพาท ถือเป็นสินส่วนตัว ไม่ใช่สินสมรส
ในระหว่างสมรสของโจทก์จำเลย จำเลยได้ที่ดินโฉนดที่ 4084และ 4198 โดย ผ. ยกให้โดยเสน่หาระบุว่าให้เป็นสินส่วนตัวกับได้ที่ดินโฉนดที่ 5191 โดย ผ. ทำพินัยกรรมยกให้และระบุให้เป็นสินส่วนตัวเช่นเดียวกัน ต่อมา ล. อ้างว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ของ ผ. แต่เป็นของภรรยาซึ่งเป็นบุตรของ น. และฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งกับแจ้งความกล่าวหาจำเลยทางอาญาหลายคดี ในที่สุด ล. กับจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีหนึ่งซึ่งศาลพิพากษาตามยอมมีใจความสำคัญว่า ให้จำเลยได้ที่ดินโฉนดที่ 1176 และให้ ล. ได้ที่ดินโฉนดที่ 5191 ส่วนที่ดินโฉนดที่ 4198 และ 4084 นั้น จำเลยตกลงโอนให้ ล. โดย ล. ต้องจ่ายเงินเป็นค่าตอบแทนให้ 3,100,000 บาท ดังนี้ต้องถือว่าที่ดินโฉนดที่ 4084 และ 4198 กับโฉนดที่ 5191 เดิมเป็นที่ดินที่จำเลยได้รับมาเป็นสินส่วนตัว แม้จำเลยจะทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับ ล. ดังกล่าว ก็เป็นการระงับข้อพิพาทระหว่างจำเลยกับ ล. ในคดีนั้นซึ่งมีประเด็นเพียงว่าที่พิพาทเป็นของ ผ. และ ย. มีอำนาจยกให้จำเลยหรือไม่เท่านั้นไม่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงลักษณะของทรัพย์ยังต้องถือว่าที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวของจำเลยอยู่นั่นเอง และเมื่อจำเลยต้องโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินอันเป็นสินส่วนตัวทั้งสามแปลงนั้นให้แก่ ล. ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเหตุให้จำเลยได้มาซึ่งที่ดินโฉนดที่ 1176 กับมีสิทธิได้เงินค่าตอบแทน 3,100,000 บาท ก็ต้องถือว่าที่ดินและเงินค่าตอบแทนดังกล่าวเข้ามาแทนที่ที่ดินทั้งสามแปลง อันเป็นสินส่วนตัวของจำเลยซึ่งมีผลเช่นเดียวกับการขายหรือแลกเปลี่ยนตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1465(1) ดังนั้น ที่ดินโฉนดที่ 1176 กับเงินค่าตอบแทน 3,100,000 บาท ซึ่งเป็นสินส่วนตัวของจำเลย หาใช่สินสมรสระหว่างโจทก์จำเลยไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2460/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: ผลผูกพันและสิทธิใหม่ทางหนี้สิน
โจทก์ทำเครื่องเฟอร์นิเจอร์ส่งให้จำเลยโดยจำเลยจัดอุปกรณ์หรือมอบเงินให้โจทก์จัดซื้อ และปรากฏว่ามีหนี้สินเกี่ยวค้างกันอยู่แล้วได้ไปคิดบัญชีกันที่สถานีตำรวจปรากฏว่าโจทก์เป็นหนี้จำเลย11,626 บาท และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บันทึกรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันไว้มีใจความว่า ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงระงับข้อพิพาทเรื่องเกี่ยวกับการส่งตู้เฟอร์นิเจอร์โดยจำเลยได้ออกทุนค่าส่งวัตถุไปก่อนเพื่อให้โจทก์เป็นผู้ทำเครื่องเฟอร์นิเจอร์ส่งให้จำเลยได้ดำเนินกิจการมา 1 ปีเศษทั้งสองฝ่ายได้คิดบัญชีกันแล้ว แต่ปรากฏว่าโจทก์ยังคงค้างเงินอยู่ อีก 11,600 บาท และโจทก์ยอมรับว่าเป็นหนี้อยู่จริงทั้งสองฝ่ายจึงมาแจ้งไว้เป็นหลักฐานและลงชื่อทั้งสองฝ่ายไว้ถือว่าเป็นสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยด้วยใจสมัครมุ่งประสงค์จะระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับหนี้สินที่เกิดขึ้นในการค้าระหว่างโจทก์จำเลย และยังตกลงกันไม่ได้ให้เป็นการเสร็จไป โดยโจทก์ยอมรับว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าหนี้จำเลยดังที่กล่าวอ้างไว้ก่อนตกลงทำสัญญากับจำเลย และจำเลยยอมให้เป็นไปตามบัญชีบันทึกไว้กับยอมตัดเศษเงินที่โจทก์เป็นหนี้ออก อันเป็นการยอมผ่อนผันให้แก่กันจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 850 มีผลทำให้ข้อเรียกร้องของแต่ละฝ่ายที่มีอยู่ก่อนทำสัญญานั้นระงับสิ้นไป และจำเลยได้สิทธิขึ้นใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 852 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2517)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2460/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: ผลผูกพันและสิทธิใหม่ทางกฎหมาย
โจทก์ทำเครื่องเฟอร์นิเจอร์ส่งให้จำเลยโดยจำเลยจัดอุปกรณ์หรือมอบเงินให้โจทก์จัดซื้อ และปรากฏว่ามีหนี้สินเกี่ยวค้างกันอยู่แล้วได้ไปคิดบัญชีกันที่สถานีตำรวจปรากฏว่าโจทก์เป็นหนี้จำเลย 11,626 บาท และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บันทึกรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันไว้ มีใจความว่า ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงระงับข้อพิพาทเรื่องเกี่ยวกับการส่งตู้เฟอร์นิเจอร์โดยจำเลยได้ออกทุนค่าส่งวัตถุไปก่อนเพื่อให้โจทก์เป็นผู้ทำเครื่องเฟอร์นิเจอร์ส่งให้จำเลยได้ดำเนินกิจการมา 1 ปีเศษทั้งสองฝ่ายได้คิดบัญชีกันแล้ว แต่ปรากฏว่าโจทก์ยังคงค้างเงินอยู่อีก 11,600 บาท และโจทก์ยอมรับว่าเป็นหนี้อยู่จริงทั้งสองฝ่ายจึงมาแจ้งไว้เป็นหลักฐานและลงชื่อทั้งสองฝ่ายไว้ถือว่าเป็นสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยด้วยใจสมัครมุ่งประสงค์จะระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับหนี้สินที่เกิดขึ้นในการค้าระหว่างโจทก์จำเลย และยังตกลงกันไม่ได้ให้เป็นการเสร็จไปโดยโจทก์ยอมรับว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าหนี้จำเลยดังที่กล่าวอ้างไว้ก่อนตกลงทำสัญญากับจำเลย และจำเลยยอมให้เป็นไปตามบัญชีบันทึกไว้กับยอมตัดเศษเงินที่โจทก์เป็นหนี้ออก อันเป็นการยอมผ่อนผันให้แก่กันจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 มีผลทำให้ข้อเรียกร้องของแต่ละฝ่ายที่มีอยู่ก่อนทำสัญญานั้นระงับสิ้นไป และจำเลยได้สิทธิขึ้นใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 852 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2517)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 192/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เงินค่าทดแทนจากอุบัติเหตุร้ายแรง: สิทธิพิเศษตามประกาศ คปต., การระงับข้อพิพาท, และการหักเงินที่ได้รับไปแล้ว
นายอำเภอ เจ้าหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยเงินค่าทดแทนตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ซึ่งออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 19 ได้วินิจฉัยให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างของผู้ตาย จ่ายเงินค่าทดแทนและค่าทำศพแก่โจทก์ซึ่งเป็นภริยาผู้อยู่ในอุปการะของผู้ตาย จำเลยอุทธรณ์ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเจ้าหน้าที่ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมอบหมาย ว่านายอำเภอไม่มีสิทธิวินิจฉัยให้จำเลยจ่ายเงินรายนี้ เพราะโจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และรับเงินค่าทดแทนไปจากจำเลยแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดย่อมมีสิทธิวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ได้ เพราะเป็นการวินิจฉัยว่าจำเลยจะต้องจ่ายเงินค่าทดแทน หรือไม่ต้องจ่ายนั่นเอง หาเป็นการวินิจฉัยนอกเหนืออำนาจไม่
ผู้ว่าราชการจังหวัดวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยว่า เหตุที่ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะเกิดระเบิดเป็นอุบัติเหตุ และสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ จำเลยไม่นำคดีมาสู่ศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันรับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินค่าทดแทนฯ ข้อ 14 ต้องถือว่าเรื่องเป็นอันยุติตามคำวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่ เมื่อโจทก์มาฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินค่าทดแทนนั้น จำเลยจะโต้แย้งอีกว่า เหตุเกิดเพราะความประมาทของผู้ตาย และสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลบังคับใช้ได้ หาได้ไม่
โจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนไปจากจำเลยจำนวนหนึ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดจะวินิจฉัยว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ และจำเลยจะโต้แย้งในชั้นศาลอีกมิได้แต่เงินค่าทดแทนที่โจทก์ได้รับไปแล้วก็ชอบที่จะหักออกจากเงินที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์ได้
(วรรคสองวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 22/2515)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 297/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระงับข้อพิพาทด้วยสัญญาประนีประนอมยอมความ และการอุทธรณ์คำพิพากษาตามสัญญา
คำพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งได้พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ถ้าหากโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้องอย่างไรก็ชอบที่จะอุทธรณ์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 จะยื่นฟ้องให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาทำลายคำพิพากษาของศาลนั้นเองไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2635/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพัน แม้จดทะเบียนไม่สมบูรณ์ หากมีเจตนาระงับข้อพิพาท
โจทก์ทั้งสามฟ้องเรียกส่วนแบ่งที่ดินคนละ 1 แปลงจากจำเลยตามที่จำเลยตกลงยอมแบ่งให้ มาในคำฟ้องเดียวกันเป็นเรื่องโจทก์แต่ละคนต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แม้จะฟ้องรวมกันมาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกัน (อ้างฎีกาที่ 1712/2514)แต่ไม่ปรากฏว่าราคาที่ดินที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องมีจำนวนเท่าใดโจทก์ทั้งสามคงตั้งราคาทรัพย์รวมกันมาเป็นเงิน 5,500 บาท แต่ทรัพย์พิพาทเดิมเป็นผืนเดียวกัน และจำนวนเนื้อที่ดินของโจทก์แต่ละคนก็ไม่แตกต่างกันมาก จึงพออนุมานได้ว่าราคาทรัพย์สินที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องมีจำนวนไม่เกิน 5,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์จึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248(เทียบฎีกาประชุมใหญ่ที่ 1525/2511)
บันทึกถ้อยคำที่จำเลยให้ไว้ต่อนายอำเภอมีข้อความว่า ที่จำเลยยกที่นาพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสามนั้น เพราะคนทั้งสามเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดากับมารดาจำเลย และมีส่วนร่วมในนาแปลงนี้กับมารดาจำเลย บันทึกถ้อยคำดังกล่าวย่อมไม่สมบูรณ์ในฐานเป็นการให้ทรัพย์สินนาพิพาทเพราะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525แต่คดีปรากฏว่าโจทก์จำเลยได้มีข้อพิพาทระหว่างกันในเรื่องนาพิพาทนี้อยู่แล้ว การที่จำเลยไปให้ถ้อยคำและลงชื่อไว้ตามบันทึกดังกล่าว จึงแสดงถึงเจตนาของฝ่ายโจทก์และจำเลยที่จะระงับข้อพิพาทนั้นซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นให้เสร็จไป ถือได้ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850แล้ว แม้จำเลยจะลงชื่อไปฝ่ายเดียว โจทก์ก็มีสิทธินำสัญญานี้มาฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้ (อ้างฎีกาที่ 308/2509)
ในคดีที่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง แต่ศาลล่างมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงในบางประเด็นไว้ ถ้าศาลฎีกาเห็นว่าเป็นประเด็นที่จำเลยได้ต่อสู้ไว้และพยานหลักฐานก็ได้นำสืบกันมาในสำนวนแล้วก็ไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างวินิจฉัยใหม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นข้อนั้นไปได้เลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2100/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระงับข้อพิพาทด้วยการชำระค่าปรับ การเรียกร้องเพิ่มเติมต้องมีการสงวนสิทธิ
โจทก์เป็นฝ่ายตั้งจำนวนเบี้ยปรับเรียกร้องมาเอง โดยตั้งใจจะปรับจำเลยเพียงเท่านั้น จำเลยก็ยอมชำระไปตามนั้น เรื่องเบี้ยปรับเป็นอันระงับสิ้นไป ถือว่าคู่กรณีไม่มีเจตนาจะเรียกร้องเอาเบี้ยปรับจากกันอีก
ถ้าโจทก์ถือว่าจำนวนเบี้ยปรับที่เรียกปรับแล้วเป็นแต่เพียงบางส่วนจะต้องมีการเรียกเพิ่มขึ้นอีกภายหน้า โจทก์จะต้องแสดงสงวนสิทธิเช่นนี้ไว้ มิฉะนั้นจะรื้อฟื้นเรียกร้องเบี้ยปรับซึ่งระงับเสร็จสิ้นกันไปแล้วเพิ่มเติมอีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1633/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประนีประนอมยอมความต้องมีข้อตกลงระงับข้อพิพาท การรับเงินหลังร้องทุกข์ไม่ใช่การยอมความ
การประนีประนอมยอมความเป็นสัญญาซึ่งคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน
ยักยอกทรัพย์อันเป็นความผิดอาญาที่ยอมความกันได้ เมื่อผู้เสียหายร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับจำเลยแล้ว ต่อมาจำเลยส่งเงินมาให้ผู้เสียหายรับไว้ โดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายกับจำเลยได้ทำความตกลงระงับข้อพิพาทต่อกัน เช่นนี้ย่อมไม่ใช่การประนีประนอมยอมความตามกฎหมาย
of 10