พบผลลัพธ์ทั้งหมด 84 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2890/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรังวัดที่ดินตามคำท้าต้องถูกต้องตามหลักวิชาการ โดยต้องรังวัดทุกด้านและสอบปากคำเจ้าของที่ดินข้างเคียง
โจทก์จำเลยท้ากันว่าถ้าที่ดินตาม ส.ค. 1 เลขที่ 64 อยู่ตรงที่ตั้งของที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1949 โจทก์ยอมแพ้ หากตั้งอยู่ที่อื่นจำเลยยอมแพ้ โดยให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเป็นผู้รังวัดตามหลักวิชา แต่การรังวัดตรวจสอบของเจ้าพนักงานที่ดินมิได้รังวัดด้านทิศเหนือ ทิศใต้และการรังวัดด้านทิศตะวันออกและตะวันตกก็ไม่มีเจ้าของที่ดินข้างเคียงมาระวังแนวเขต ดังนี้แม้เจ้าพนักงานที่ดินจะลงความเห็นว่าที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 64กับที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1949 เป็นคนละแปลงกันก็มิใช่ความเห็นที่ได้มาโดยวิธีการรังวัดตรวจสอบที่ถูกต้องตามหลักวิชาตามคำท้า ถือว่ามิได้เป็นไปตามคำท้า จึงต้องดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1401/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันตามเนื้อหา แม้การรังวัดจะประมาณการเนื้อที่ดิน
โจทก์ฟ้องคดีก็เพื่อต้องการที่ดินในส่วนที่ฝ่ายจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์กลับคืน เมื่อโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยฝ่ายจำเลยยอมให้โจทก์ได้รับที่ดินเพิ่มขึ้น 7 ตารางวา และฝ่ายจำเลยเป็นผู้เสียสละที่ดินตามเนื้อที่ดังกล่าวให้โจทก์ ย่อมถือว่าเป็นการสมประโยชน์ตามที่โจทก์ฟ้อง โดยไม่ต้องคำนึงว่าที่ดินของโจทก์หรือที่ดินของฝ่ายจำเลยจะมีอยู่เดิมเท่าไร แม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความจะให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินฝ่ายจำเลยให้เหลือเนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 45 วา ก็เป็นเพียงประมาณการของที่ดินฝ่ายจำเลยไว้เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1401/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพัน แม้การรังวัดที่ดินจะเป็นเพียงประมาณการ
โจทก์ฟ้องคดีก็เพื่อต้องการที่ดินในส่วนที่ฝ่ายจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์กลับคืน เมื่อโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยฝ่ายจำเลยยอมให้โจทก์ได้รับที่ดิน เพิ่มขึ้น 7 ตารางวา และฝ่ายจำเลยเป็นผู้เสียสละที่ดินตามเนื้อที่ดังกล่าวให้โจทก์ ย่อมถือว่าเป็นการสมประโยชน์ตามที่โจทก์ฟ้อง โดยไม่ต้องคำนึงว่าที่ดินของโจทก์หรือที่ดินของฝ่ายจำเลยจะมีอยู่เดิมเท่าไร แม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความจะให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินฝ่ายจำเลยให้เหลือเนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 45 วาก็เป็นเพียงประมาณการของที่ดินฝ่ายจำเลยไว้เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2232/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรังวัดที่ดินต้องเป็นไปตามหลักวิชาการ หากเป็นการรังวัดตามการนำชี้ของคู่ความโดยไม่ตรวจสอบหลักเขตเดิม ย่อมถือเป็นแนวเขตที่แน่นอนไม่ได้
โจทก์จำเลยพิพาทกันเกี่ยวกับแนวเขตที่ดินที่มีโฉนดแล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า ให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ดินโจทก์จำเลยเพื่อให้ทราบแนวเขตติดต่อระหว่างที่ดินโจทก์จำเลยว่าอยู่ตำแหน่งใด โดยถือการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินเป็นยุตินั้น การรังวัดสอบเขตที่ดินต้องทำตามหลักวิชาการที่เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดโดยการนำชี้มิใช่การสอบหาแนวเขตตามที่คู่ความตกลงกันถือไม่ได้ว่าเป็นแนวเขตที่แน่นอนและเป็นยุติ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1459/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิคัดค้านการรังวัดที่ดิน: การคัดค้านโดยมีเหตุผลสมควร ไม่ถือเป็นการละเมิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงคัดค้านการรังวัดสอบเขตเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินงดการรังวัด การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดและทำให้โจทก์เสียหาย เช่นนี้ การคัดค้านรังวัดที่ดินของจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน ข้างเคียงนั้น เป็นสิทธิที่อาจคัดค้าน ได้หากมีเหตุผลตามสมควรที่จะคิดว่าแนวเขตที่รังวัดไม่ถูกต้อง การคัดค้านของจำเลยเพียงเท่านี้จึงยังไม่เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์อันจะมาฟ้องขอให้ห้ามจำเลยได้ ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยจึงชอบแล้ว
(อ้างฎีกาคำพิพากษาฎีกาที่ 1618/2512)
(อ้างฎีกาคำพิพากษาฎีกาที่ 1618/2512)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1459/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคัดค้านรังวัดที่ดิน: สิทธิที่ชอบธรรมหากมีเหตุผลสมควร ไม่ถือเป็นการละเมิด
การคัดค้านรังวัดที่ดินของจำเลยเจ้าของที่ดินข้างเคียงเป็นสิทธิที่อาจคัดค้านได้หากมีเหตุผลตามสมควรที่จะคิดว่าแนวเขตที่รังวัดไม่ถูกต้องยังไม่เป็นการละเมิดสิทธิอันโจทก์จะมาฟ้องขอให้ห้ามจำเลยคัดค้านการที่โจทก์จะนำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ได้ โจทก์เสียหายเกี่ยวกับตัวที่ดินนั้นโดยตรงอย่างไร ก็ชอบที่จะเรียกร้องเอาได้เท่านั้น กรณีจะเป็นการละเมิดได้จะต้องเป็นการแกล้งโดยจำเลยมุ่งต่อผลคือความเสียหายแก่โจทก์ถ่ายเดียว แต่ถ้าเป็นการกระทำโดยประสงค์ต่อผลอันเป็นธรรมดาแห่งสิทธินั้น แม้จำเลยจะเห็นว่าโจทก์จะได้รับความเสียหายบ้าง ก็ไม่เป็นการละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4235/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิคัดค้านการรังวัดที่ดินของผู้อื่นและการชดใช้ค่าเสียหายตามความเป็นจริง
โจทก์นำรังวัดเข้าไปในโฉนดที่ดินของจำเลย จำเลยมีสิทธิที่จะคัดค้านได้ ไม่เป็นการกระทำละเมิดอันจะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เพราะจำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่โจทก์มิได้กล่าวในคำฟ้อง จึงเป็นการพิพากษาให้โจทก์ได้ค่าเสียหายเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคแรก แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ก็ตาม แต่ปัญหาข้อนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลอุทธรณ์มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1871-1872/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: คดีพิพาทการรังวัดแบ่งแยกที่ดินที่เคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
ศาลฎีกาได้พิพากษาให้โจทก์แบ่งที่ดินในโฉนดให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ในสำนวนแรก และแบ่งให้แก่นาง พ. มารดาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในสำนวนหลัง ต่อมาโจทก์และจำเลย ได้พิพาทกันในชั้นบังคับคดี เกี่ยวกับการรังวัดแบ่งแยกที่ดินในโฉนดดังกล่าว ว่ารังวัด แบ่งแยกถูกต้องตรงตามคำพิพากษาฎีกาหรือไม่ ศาลชั้นต้นได้นัด พร้อมทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าตรงที่พิพาทด้านเหนือให้ เจ้าพนักงานรังวัด แบ่งให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสองสำนวน นี้เพียงแค่ติดสวนของโจทก์ เมื่อช่างแผนที่ไปรังวัด แบ่งแยกเสร็จแล้วโจทก์ไม่รับรอง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า รูปแผนที่แบ่งแยกซึ่งช่างแผนที่ทำมานั้นถูกต้องตรงกับข้อตกลงของโจทก์ จำเลยแล้ว มีคำสั่งให้แบ่งแยกที่พิพาทให้จำเลยทั้งสองสำนวน ตามรูปแผนที่แบ่งแยกดังกล่าว คดีถึงที่สุด ฉะนั้นที่โจทก์ฟ้องคดี ทั้งสองสำนวนนี้ว่า จำเลยทั้งสองสำนวนได้สมคบกันออกรูปแผนที่ หลังโฉนดซึ่ง เป็นที่พิพาทกันในคดีก่อนขัดกับคำพิพากษาฎีกา เป็นเหตุให้ ที่ดินของโจทก์ขาดไป. จึงเป็นการโต้เถียงว่า การรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทไม่ถูกต้องตรงตามคำพิพากษาฎีกา อัน เป็นประเด็นเดียวกัน กับประเด็นที่โจทก์จำเลยพิพาทกันใน ชั้นบังคับคดี ซึ่งได้มีคำพิพากษา หรือคำสั่งถึงที่สุดดังกล่าว แล้ว ฟ้องของโจทก์ทั้งสองสำนวนนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1871-1872/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: ประเด็นการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทซ้ำกับคดีถึงที่สุดแล้ว ศาลยกฟ้อง
ศาลฎีกาได้พิพากษาให้โจทก์แบ่งที่ดินในโฉนดให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ในสำนวนแรกและแบ่งให้แก่นาง พ. มารดาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในสำนวนหลัง ต่อมาโจทก์และจำเลย ได้พิพาทกันในชั้นบังคับคดี เกี่ยวกับการรังวัดแบ่งแยกที่ดินในโฉนดดังกล่าว ว่ารังวัด แบ่งแยกถูกต้องตรงตามคำพิพากษาฎีกาหรือไม่ศาลชั้นต้นได้นัด พร้อมทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าตรงที่พิพาทด้านเหนือให้ เจ้าพนักงานรังวัด แบ่งให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสองสำนวน นี้เพียงแค่ติดสวนของโจทก์ เมื่อช่างแผนที่ไปรังวัด แบ่งแยกเสร็จแล้วโจทก์ไม่รับรองศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่ารูปแผนที่แบ่งแยกซึ่งช่างแผนที่ทำมานั้นถูกต้องตรงกับข้อตกลงของโจทก์ จำเลยแล้ว มีคำสั่งให้แบ่งแยกที่พิพาทให้จำเลยทั้งสองสำนวน ตามรูปแผนที่แบ่งแยกดังกล่าวคดีถึงที่สุดฉะนั้นที่โจทก์ฟ้องคดี ทั้งสองสำนวนนี้ว่า จำเลยทั้งสองสำนวนได้สมคบกันออกรูปแผนที่ หลังโฉนดซึ่ง เป็นที่พิพาทกันในคดีก่อนขัดกับคำพิพากษาฎีกา เป็นเหตุให้ ที่ดินของโจทก์ขาดไป. จึงเป็นการโต้เถียงว่า การรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทไม่ถูกต้องตรงตามคำพิพากษาฎีกาอัน เป็นประเด็นเดียวกัน กับประเด็นที่โจทก์จำเลยพิพาทกันใน ชั้นบังคับคดี ซึ่งได้มีคำพิพากษา หรือคำสั่งถึงที่สุดดังกล่าว แล้ว ฟ้องของโจทก์ทั้งสองสำนวนนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3443/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสภาพหนี้และการสะดุดหยุดอายุความจากการยื่นคำขอรังวัดที่ดินเพื่อโอนกรรมสิทธิ์
จำเลยทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์เมื่อ พ.ศ.2512 โจทก์ชำระราคาแล้วบางส่วน วันที่ 7 เมษายน 2518 โจทก์จำเลยไปยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินด้วยกัน การที่จำเลยยื่นคำขอดังกล่าวก็เพื่อจะดำเนินการโอนที่พิพาทให้โจทก์ตามสัญญา ถือได้ว่าจำเลยทำการอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่า จำเลยยอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีอยู่ต่อจำเลยตามสัญญาจะซื้อจะขายแล้ว จึงเป็นการรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 ซึ่งมีผลให้อายุความสะดุดหยุดลง เมื่อเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2518 ถึงวันที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ยังไม่เกิน 10 ปี คดียังไม่ขาดอายุความ