พบผลลัพธ์ทั้งหมด 42 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3706-3718/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยนอกฟ้องและประเด็นข้อพิพาทที่ไม่ถูกต้อง ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขเพื่อให้เป็นธรรม
ข้อเท็จจริงที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณะหรือไม่นั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากพยานหลักฐานนอกข้อต่อสู้ในคำให้การและนอกประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ไม่เกี่ยวกับที่คู่ความจะต้องนำสืบหรือมีกฎหมายบังคับให้ต้องแสดง ศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยไม่ได้เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 ที่ศาลล่างนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณะ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา แม้คดีนี้จะขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะในส่วนฟ้องแย้ง และคดีตามฟ้องเดิมของโจทก์จะต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่การที่ศาลล่างวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณะ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากพยานหลักฐานนอกข้อต่อสู้ในคำให้การและนอกประเด็นข้อพิพาทที่กำหนดไว้อันเป็นประเด็นข้อสำคัญในคดีตามฟ้องเดิม ซึ่งมีผลทำให้การวินิจฉัยคดีในส่วนฟ้องแย้งที่ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง จึงเป็นกรณีที่ศาลล่างมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ในข้อที่จะมุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์จะไม่ได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาแต่เมื่อความปรากฏแก่ศาลฎีกา ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยและเห็นสมควรที่จะให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่ถูกต้องในส่วนของฟ้องเดิมและฟ้องแย้งเสียทั้งหมดแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา 247 เพราะข้อเท็จจริงตามฟ้องเดิมและฟ้องแย้งเป็นเรื่องเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5786/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องบังคับชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยศาลวินิจฉัยว่าการพิจารณาของศาลชั้นต้นนอกฟ้องและนอกประเด็น
โจทก์ตั้งรูปคดีฟ้องบังคับให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยนำสืบตามคำฟ้องให้เห็นว่าโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ซึ่งเป็นของ ช. วันเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของ ช. ซึ่งเอาประกันภัยไว้กับโจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ได้ทำการซ่อมรถยนต์คันดังกล่าวให้อยู่ในสภาพเดิมและส่งมอบคืนให้แก่ ช. แล้ว ต่อมาจำเลยได้ตกลงระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นโดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตามสัญญา ดังนี้ เห็นได้ว่าสภาพแห่งข้อหาตามฟ้องของโจทก์คือจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้กับโจทก์ ไม่ได้ฟ้องบังคับเอาแก่จำเลยในฐานที่โจทก์รับช่วงสิทธิจาก ช. ผู้เอาประกันภัยในมูลหนี้ละเมิดส่วนที่โจทก์กล่าวในฟ้องบรรยายให้เห็นว่าจำเลยทำละเมิดขับรถยนต์ชนรถยนต์ของ ช. คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหายก็เป็นเพียงเท้าความอ้างถึงที่มาว่าเหตุใดโจทก์และจำเลยจึงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ ช. ผู้เอาประกันภัยไปแล้วย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของ ช. ผู้เอาประกันภัยตาม ป.พ.พ. มาตรา 880 วรรคหนึ่ง โจทก็ย่อมมีสิทธิทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยได้ สัญญาประนีประนอมยอมความจึงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาและทำให้มูลหนี้ละเมิดเดิมเป็นอันระงับสิ้นไป เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยทำละเมิดขับรถเฉี่ยวชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยและโจทก์นำรถยนต์ซ่อมแซมโดยชำระค่าซ่อมรถยนต์ไปแล้วหรือไม่ เพียงใด จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิตามกฎหมายไม่มีอำนาจฟ้องนั้น จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น เป็นการไม่ชอบ