คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลเยาวชน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 63 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3308/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาล: คดีครอบครัว – การวินิจฉัยอำนาจศาลเยาวชนและครอบครัวโดยประธานศาลฎีกา
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 12กำหนดให้ประธานศาลฎีกาแต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้วินิจฉัย ชี้ขาดในปัญหาว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลเยาวชนและครอบครัวหรือไม่ศาลชั้นต้นและศาลฎีกาไม่มีอำนาจวินิจฉัย เมื่อมีปัญหาว่าคดีใดอยู่ในอำนาจของศาลเยาวชนและครอบครัวหรือศาลชั้นต้นขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาศาลฎีกาจึงส่งสำนวนไปให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1287/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลเยาวชนฯ ในการรอการกำหนดโทษเกิน 2 ปี และการพิจารณาปัจจัยเยาวชนเพื่อโอกาสกลับตน
พระราชบัญญัติญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯมาตรา106ให้อำนาจศาลพิพากษารอการกำหนดโทษได้แม้ว่าจะกำหนดโทษจำคุกเกินกว่า2ปีและปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีไม่อาจรอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษได้จึงไม่ชอบส่วนที่จำเลยทั้งสามฎีกาขอให้ศาลฎีการอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษแม้จะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยให้เนื่องจากเป็นฎีกาที่เกี่ยวพันกับปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9647/2559

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขบทความผิดและโทษจากรอการกำหนดโทษเป็นฝึกอบรมเยาวชน: กรณีต้องห้ามฎีกา
คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ ตาม ป.อ. มาตรา 340, 340 ตรี จำเลยให้การปฏิเสธแต่รับว่าทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจริง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 ประกอบมาตรา 83 และ 357 วรรคหนึ่ง ให้รอการกำหนดโทษจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี โดยกำหนดเงื่อนไขคุมความประพฤติจำเลย ยกฟ้องฐานปล้นทรัพย์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ ตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคหนึ่ง, 340 ตรี ประกอบมาตรา 83 จำคุก 8 ปี เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 7 (จังหวัดเชียงใหม่) มีกำหนดขั้นต่ำ 1 ปี ขั้นสูง 2 ปี และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย 25,540 บาท แก่ผู้เสียหาย จำเลยฎีกาว่าไม่มีเจตนาเอาทรัพย์ของผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้ไขบทความผิดและแก้โทษจากรอการกำหนดโทษเป็นฝึกและอบรม มีกำหนดขั้นต่ำ 1 ปี ขั้นสูง 2 ปี จึงเป็นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้ไขมากแต่ไม่เพิ่มเติมโทษจำเลย เพราะการฝึกและอบรมไม่ใช่โทษตาม ป.อ. มาตรา 18 ซึ่งต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10129/2559

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับเนื่องจากข้อจำกัดการฎีกาในคดีเยาวชนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 และ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288, 371 ประกอบมาตรา 83 เรียงกระทงลงโทษ ตาม ป.อ. มาตรา 91 รวมจำคุก 3 ปี 9 เดือน และปรับ 25 บาท เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน เขต 5 จังหวัดอุบลราชธานี มีกำหนดขั้นต่ำ 1 ปี 6 เดือน ขั้นสูง 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 391 จำคุก 7 วัน โทษจำคุกให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี และกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของจำเลยไว้ 1 ปี ยกฟ้องข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น และร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร ซึ่งเป็นการแก้ทั้งบทลงโทษและกำหนดโทษอันเป็นการแก้ไขมาก แต่เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี จึงต้องห้ามไม่ให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 การที่โจทก์ฎีกาว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบประกอบคำรับสารภาพรับฟังได้ว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายและร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควรอันเป็นความผิดตามฟ้อง เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 อันเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10126/2559

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การโต้แย้งดุลพินิจศาลเกี่ยวกับวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย แต่โทษจำคุกให้รอการกำหนดโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้คุมความประพฤติจำเลยไว้มีกำหนด 1 ปี โดยวางเงื่อนไขคุมความประพฤติ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย แต่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรม อันเป็นการกำหนดให้ใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนแทนการลงโทษทางอาญา ตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 142 (1) การที่จำเลยฎีกาขอให้จำเลยปรับปรุงตัวเองอยู่กับครอบครัวแทนการส่งตัวไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรม เป็นฎีกาที่โต้แย้งดุลพินิจของศาลเกี่ยวกับวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนตาม มาตรา 180 ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 183 ประกอบมาตรา 180 และไม่มีบทบัญญัติใดให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลางหรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 68/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลเยาวชนและครอบครัว: คดีพิพาทสิทธิทรัพย์สินระหว่างบุคคล ไม่ใช่คดีครอบครัว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ระหว่างสมรสโจทก์กับผู้ตายร่วมกันครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าและปลูกต้นยูคาลิปตัสในที่ดิน จำเลยที่ 1 ปลอมสัญญาขายที่ดินและส่งมอบการครอบครองและปลอมลายมือชื่อผู้ตาย หรือหลอกลวงผู้ตาย ให้ลงลายมือชื่อในสัญญาขายที่ดินตามฟ้อง จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปขายให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 กับทั้งจำเลยที่ 3 และที่ 4 รบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์โดยนำรถแทรกเตอร์เข้ามาไถต้นยูคาลิปตัสให้ได้รับความเสียหาย เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้พิพากษาว่านิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตกเป็นโมฆะ ห้ามจำเลยที่ 3 และที่ 4 เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทดังกล่าวและให้ชดใช้ค่าเสียหาย กับขอให้มีคำสั่งว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามคำขอท้ายฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่ได้ร่วมกับผู้ตาย จำเลยที่ 1 และที่ 2 ครอบครองที่ดินมือเปล่าตามฟ้องและที่ดินตามฟ้องเป็นสินส่วนตัวของผู้ตาย สัญญาซื้อขายที่ดินและส่งมอบการครอบครองถูกต้องและสมบูรณ์ด้วยการส่งมอบการครอบครอง จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิขายที่ดินพิพาทตามฟ้องให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความและเป็นฟ้องซ้อน จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ซื้อที่ดินมือเปล่ามาจากจำเลยที่ 1 และเข้าครอบครองทำประโยชน์เกินกว่า 1 ปี โดยโจทก์ไม่เคยคัดค้าน จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่เคยนำรถแทรกเตอร์ไปไถต้นยูคาลิปตัสของโจทก์ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของและไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินดังกล่าวและไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายนั้น ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นเรื่องพิพาทเกี่ยวกับความสมบรูณ์ของนิติกรรม ละเมิด และการครอบครอง ซึ่งจะต้องพิจารณาตามบทบัญญัติใน ป.พ.พ. บรรพ 1 ว่าด้วยนิติกรรม บรรพ 2 ว่าด้วยละเมิด และบรรพ 4 ว่าด้วยการครอบครอง แม้ตามคำฟ้องและคำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะมีประเด็นให้วินิจฉัยด้วยว่า ทรัพย์พิพาทเป็นสินส่วนตัวหรือสินสมรสแต่ก็เพียงเพื่อวินิจฉัยในเรื่องอำนาจฟ้องเท่านั้น ข้อพิพาทหลักในคดียังเป็นการโต้แย้งในสิทธิและหน้าที่ระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสี่ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์กันในทางครอบครัวแต่อย่างใด กรณีไม่มีประเด็นพิพาทระหว่างโจทก์กับผู้ตายซึ่งเป็นสามีภริยากันอันจะถือเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในทางทรัพย์สินโดยตรง จึงไม่ใช่คดีครอบครัวตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 10 (3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 68/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลเยาวชนและครอบครัว: คดีพิพาทสิทธิทรัพย์สินระหว่างบุคคล ไม่ใช่คดีครอบครัว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าที่โจทก์กับผู้ตายร่วมกันครอบครองทำประโยชน์โดยปลูกต้นยูคาลิปตัสจึงเป็นสินสมรสของโจทก์กับผู้ตายก่อนผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ปลอมสัญญาขายที่ดินพิพาทและส่งมอบการครอบครองโดยปลอมลายมือชื่อผู้ตาย หรือหลอกลวงผู้ตาย ให้ลงลายมือชื่อในสัญญาขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปขายให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ทั้งจำเลยที่ 3 และที่ 4 รบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์โดยนำรถแทรกเตอร์เข้ามาไถต้นยูคาลิปตัสให้ได้รับความเสียหาย เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้พิพากษาว่านิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตกเป็นโมฆะ ห้ามจำเลยที่ 3 และที่ 4 เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทดังกล่าวและให้ชดใช้ค่าเสียหาย กับขอให้มีคำสั่งว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่ได้ร่วมกับผู้ตาย ครอบครองและทำประโยชน์ ที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของผู้ตาย สัญญาซื้อขายที่ดินและส่งมอบการครอบครองถูกต้องและสมบูรณ์ด้วยการส่งมอบการครอบครอง จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความและเป็นฟ้องซ้อน จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ซื้อที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่ 1 และเข้าครอบครองทำประโยชน์เกินกว่า 1 ปี โดยโจทก์ไม่เคยคัดค้าน จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่เคยนำรถแทรกเตอร์ไปไถต้นยูคาลิปตัสของโจทก์ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของและไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินดังกล่าวและไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายนั้น ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นเรื่องพิพาทเกี่ยวกับความสมบรูณ์ของนิติกรรม ละเมิด และการครอบครอง ซึ่งจะต้องพิจารณาตามบทบัญญัติใน ป.พ.พ. บรรพ 1 ว่าด้วยนิติกรรม บรรพ 2 ว่าด้วยละเมิด และบรรพ 4 ว่าด้วยการครอบครอง แม้ตามคำฟ้องและคำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะมีประเด็นให้วินิจฉัยด้วยว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวหรือสินสมรสแต่ก็เพียงเพื่อวินิจฉัยในเรื่องอำนาจฟ้องเท่านั้น ข้อพิพาทหลักในคดีเป็นการโต้แย้งสิทธิและหน้าที่ระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสี่ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์กันในทางครอบครัวแต่อย่างใด ไม่มีประเด็นพิพาทระหว่างโจทก์กับผู้ตายซึ่งเป็นสามีภริยากันอันจะถือเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในทางทรัพย์สินโดยตรง จึงไม่ใช่คดีครอบครัวตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 10 (3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 55/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาล: คดีความผิดหลายฐานเกี่ยวพันกัน โจทก์มีอำนาจฟ้องต่อศาลที่มีอัตราโทษสูงกว่าได้ แม้ความผิดบางฐานอยู่ในอำนาจศาลเยาวชนฯ
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดหลายกรรม คือความผิดฐานชักจูง ส่งเสริมหรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควรตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบมาตรา 78 มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ฐานตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และฐานขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์ ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งแม้ความผิดดังกล่าวจะแยกเป็นแต่ละกรรมต่างกันและความผิดต่อ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ จะอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลเยาวชนและครอบครัวก็ตาม แต่จำเลยก็กระทำความผิดคนเดียวและเป็นความผิดเกี่ยวพันกัน จึงเป็นกรณีความผิดหลายเรื่องเกี่ยวพันกันซึ่งโจทก์จะฟ้องคดีทุกเรื่องต่อศาลที่มีอำนาจชำระในฐานความผิดซึ่งมีอัตราโทษสูงกว่าก็ได้ตามบทบัญญัติมาตรา 24 (1) วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดต่อ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 พร้อมกับความผิดทั้งสองฐานต่อศาลจังหวัดร้อยเอ็ดได้ กรณีจึงไม่ใช่การพิจารณาพิพากษาคดีตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวตามมาตรา 5

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9117/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการปรับแก้ข้อตกลงประนีประนอมตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนฯ เพื่อคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพบุตร
พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 146 กำหนดหลักการสำคัญในการพิจารณาและพิพากษาคดีครอบครัวไว้ว่า ไม่ว่าการพิจารณาคดีจะได้ดำเนินไปแล้วเพียงใด ให้ศาลพยายามเปรียบเทียบให้คู่ความได้ตกลงกันหรือประนีประนอมกันในข้อพิพาทโดยคำนึงถึงความสงบสุขและการอยู่ร่วมกันในครอบครัว เมื่อข้อเท็จจริงตามคำร้องอ้างว่า ข้อเท็จจริงอันเป็นพฤติการณ์แห่งคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความเปลี่ยนแปลงไปโดยพฤติกรรมของผู้คัดค้านที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอม ซึ่งผู้คัดค้านมิได้โต้แย้งว่ามิได้กระทำการดังกล่าว คงโต้แย้งเพียงว่าศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงคำสั่งให้นอกเหนือไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมซึ่งถึงที่สุดได้เท่านั้น จึงเป็นกรณีเกิดข้อพิพาทขึ้นใหม่นอกจากสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว และเกิดขึ้นภายหลังมีคำพิพากษาตามยอมไปแล้ว การที่ศาลชั้นต้นไต่ส่วน นัดพิจารณา ตลอดจนมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยคำนึงถึงสวัสดิภาพและอนาคตของบุตรเป็นสำคัญ จึงไม่อาจถือว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาตามยอมซึ่งถึงที่สุดแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1221/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการพิจารณาแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเยาวชนตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนฯ และสิทธิในการอุทธรณ์
พ. ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12, 15 ศาลชั้นต้นตรวจสอบการจับแล้ว มีคำสั่งว่า ผู้ต้องหาเป็นผู้ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดจริง การจับเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ให้ผู้คัดค้านสืบเสาะข้อเท็จจริงและจัดทำรายงานเสนอต่อศาลชั้นต้น ต่อมาผู้คัดค้านรายงานว่า สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดชลบุรีเห็นว่า ผู้ต้องหาอาจกลับตนเป็นพลเมืองดีได้โดยไม่ต้องฟ้อง พนักงานอัยการเห็นชอบให้มีการดำเนินการตามแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูตามมาตรา 86 แห่ง พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 โดยส่งแผนให้ศาลชั้นต้นพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เนื่องจากความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน รัฐเป็นผู้เสียหายจึงไม่อาจให้ความยินยอมได้ และไม่อาจใช้อำนาจตามมาตรา 86 ได้ จึงไม่อนุญาต ซึ่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 63 (กฎหมายเดิม) และ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 86 (กฎหมายที่แก้ไขใหม่) บัญญัติเป็นมาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญาแก่เด็กหรือเยาวชน อันมีลักษณะเป็นการใช้กระบวนยุติธรรมเบี่ยงเบนคดีออกจากกระบวนการยุติธรรม ซึ่งตามมาตรา 63 (กฎหมายเดิม) ให้อำนาจเด็ดขาดแก่พนักงานอัยการที่จะสั่งไม่ฟ้องโดยไม่ผ่านการพิจารณาของศาล แต่ตามมาตรา 86 (กฎหมายใหม่) ให้พนักงานอัยการพิจารณาว่าเห็นชอบกับแผนหรือไม่ ถ้าไม่เห็นชอบด้วยกับแผน ผู้อำนวยการสถานพินิจไม่มีสิทธิโต้แย้ง แต่ถ้าพนักงานอัยการเห็นชอบกับแผน พนักงานอัยการยังไม่มีอำนาจสั่งไม่ฟ้อง ต้องให้ศาลพิจารณาก่อน ถ้าศาลเห็นชอบกับแผน และมีการปฏิบัติตามแผนแล้ว พนักงานอัยการจึงจะมีอำนาจสั่งไม่ฟ้องตามมาตรา 88 (กฎหมายที่แก้ไขใหม่) นอกจากนี้ตามมาตรา 86 (กฎหมายที่แก้ไขใหม่) ใช้ถ้อยคำว่า "ให้ศาลสั่งตามที่เห็นสมควร" บ่งชี้ให้เห็นเจตนารมณ์ของมาตรานี้ว่า ให้ศาลชั้นต้นตรวจสอบแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูอีกชั้นหนึ่งก่อนและให้สั่งตามที่เห็นสมควร อันเป็นดุลพินิจเด็ดขาดของศาลชั้นต้น การที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า มาตรา 86 เป็นอำนาจของผู้อำนวยการสถานพินิจและพนักงานอัยการในการพิจารณาแผนบำบัดฟื้นฟู โดยให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นนั้น ผู้อำนวยการสถานพินิจหรือพนักงานอัยการไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้คัดค้าน จึงชอบแล้ว
of 7