คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
หนี้กู้ยืม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 48 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1053/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องบังคับตามเช็คแม้ไม่มีหลักฐานหนี้กู้ยืมเป็นหนังสือ ได้ใช้ อายุความตาม ม.1002
กู้ยืมเงินกัน แล้วออกเช็คสั่งจ่ายล่วงหน้าให้แก่ผู้ให้กู้ ครั้นถึงกำหนดผู้ให้กู้นำเช็คไปรับเงิน ปรากฏว่า ผู้กู้ไม่มีเงินในธนาคาร ผู้ให้กู้จึงมาฟ้องผู้กู้เรียกเงินตามเช็คนั้น ดังนี้ แม้จะเป็นหนี้เรื่องกู้ยืม ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ตาม แต่ผู้ให้กู้ฟ้องเรียกเงินตามเช็คที่ผู้กู้ทำให้ผู้ให้กู้ต่างหาก จึงฟ้องบังคับได้ และมีอายุความตาม มาตรา 1002

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1039/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้จากหนี้ซื้อเชื่อเป็นหนี้กู้ยืมและการฟ้องร้องตามสัญญาใหม่
ซื้อเชื่อครั่งของเขาไป ภายหลังตกลงทำเป็นสัญญากว่ากู้เงินของเขาไปเป็นจำนวนเงินเท่าราคาครั่งที่เชื่อไป และมีกำหนดต้องเสียดอกเบี้ยด้วย ดังนี้เป็นการแปลงหนี้ใหม่ เพราะคู่กรณีได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ต่อกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15158/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความหนี้กู้ยืมและการบังคับจำนอง: สิทธิเจ้าหนี้แม้หนี้ขาดอายุความ
เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้กู้ยืมและจำนองจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 1 ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 96 (3) จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนอง แต่ตามสัญญากู้ยืมเงินที่เจ้าหนี้นำมาขอรับชำระหนี้ดังกล่าวปรากฏว่า เป็นสัญญาที่มีข้อตกลงชำระเพื่อผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ จึงมีอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (2) และเจ้าหนี้ไม่มีหลักฐานว่าลูกหนี้ที่ 1 ผิดนัดเมื่อใด แม้เจ้าหนี้จะอ้างว่าในตอนที่รับโอนหนี้มาจากเจ้าหนี้เดิมจะไม่มีดอกเบี้ยค้างชำระและเงินต้นน้อยกว่าสัญญาก็ตาม แต่พยานหลักฐานของเจ้าหนี้มีเพียงเอกสารการคำนวณภาระหนี้ของเจ้าหนี้ที่เจ้าหนี้จัดทำขึ้นเอง โดยไม่มีหลักฐานว่าลูกหนี้นำเงินไปชำระให้แก่เจ้าหนี้เดิมเมื่อใด อย่างไร การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฟังว่าลูกหนี้ที่ 1 ผิดนัดตั้งแต่งวดแรก (วันที่ 2 มีนาคม 2539) จึงชอบแล้ว เมื่อเจ้าหนี้นำหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินมายื่นคำขอรับชำระหนี้ในวันที่ 20 ตุลาคม 2551 สิทธิเรียกร้องในหนี้กู้ยืมเงินจึงขาดอายุความแล้ว และการขาดอายุความในส่วนของหนี้กู้ยืมเงินถือว่าหนี้กู้ยืมเงินขาดอายุความทั้งหมด มิใช่เพียงส่วนที่เกิน 5 ปี แต่ในส่วนหนี้จำนองนั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 745 บัญญัติให้ผู้รับจำนองบังคับจำนองได้แม้หนี้ที่ประกันขาดอายุความ แต่จะบังคับดอกเบี้ยที่ค้างชำระในการจำนองเกินกว่า 5 ปี ไม่ได้ ดังนั้น แม้หนี้ประธานตามสัญญากู้ยืมเงินจะขาดอายุความ แต่เจ้าหนี้ยังคงมีสิทธิบังคับจำนองได้ ซึ่งตามคำสั่งของศาลแพ่งในคดีที่เจ้าหนี้ไปยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่น ศาลมีคำสั่งให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองของลูกหนี้ที่ 1 ในต้นเงิน 427,449.64 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.3 ต่อปี แต่จะบังคับเอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระย้อนหลังนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 เด็ดขาดเกินกว่า 5 ปี ไม่ได้ ดังนั้น แม้ลูกหนี้ที่ 1 จะถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าหนี้จึงไม่เสียสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์จำนองของลูกหนี้ที่ 1 หากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์ดังกล่าวเข้าสู่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 1

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5442/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความหนี้กู้ยืมและการขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย: ผลของการฟ้องคดีและการถอนฟ้อง
ในการที่ จ. กู้ยืมเงินจากเจ้าหนี้โดยลูกหนี้ได้จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้เป็นประกันหนี้ โดยมีข้อตกลงว่าหากบังคับทรัพย์จำนองไม่พอชำระหนี้ ลูกหนี้ยอมรับผิดชำระหนี้ส่วนที่ขาดจนครบถ้วนนั้น เมื่อลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัดไม่ชำระหนี้ โดยชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2539 เจ้าหนี้ชอบที่จะฟ้องร้องหรือขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายภายในกำหนดระยะเวลา 10 ปี นับแต่วันผิดนัดดังกล่าว หากเจ้าหนี้ไม่ดำเนินการก็ถือว่ามูลหนี้ประธานขาดอายุความ ส่วนที่เจ้าหนี้นำมูลหนี้กู้ยืมและจำนองไปฟ้อง จ. และลูกหนี้เป็นคดีแพ่ง ต่อมาเจ้าหนี้ได้ถอนฟ้องในส่วนของลูกหนี้ และศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีส่วนลูกหนี้ออกจากสารบบความ การฟ้องคดีดังกล่าวจึงไม่ได้ทำให้อายุความในมูลหนี้ที่ลูกหนี้ต้องรับผิดสะดุดหยุดลง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/17 เมื่อเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2550 จึงเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี นับแต่วันผิดนัด หนี้รายนี้จึงขาดอายุความไม่อาจขอรับชำระหนี้ได้ ตามพ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 94 (1) ส่วนการที่เจ้าหนี้ได้นำมูลหนี้จำนองไปยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิในคดีแพ่ง และศาลมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามขอ ก็เป็นผลให้เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิผู้รับจำนอง และเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว เจ้าหนี้ย่อมนำมูลหนี้บุริมสิทธิดังกล่าวมาขอรับชำระหนี้ได้ แต่หาได้เกี่ยวพันกับหนี้ส่วนที่ขาดอันเป็นหนี้สามัญด้วยแต่อย่างใดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1152/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความหนี้กู้ยืมและการบังคับจำนองหลังหนี้ขาดอายุความ
จำเลยที่ 1 กู้ยืมไปจากโจทก์โดยมีข้อตกลงผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยคืนโจทก์เป็นงวด ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงกำหนดวิธีชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินคืนโดยผ่อนทุนคืนเป็นงวดๆ สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีกำหนดอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (2)
จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระหนี้ครั้งสุดท้ายวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2538 ซึ่งเป็นการชำระผิดไปจากข้อตกลง จำเลยที่ 1 จึงได้ชื่อว่าผิดนัด โจทก์จึงมีสิทธิบังคับสิทธิเรียกร้องได้ทั้งหมดนับแต่นั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/12 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2548 จึงพ้นกำหนดอายุความ 5 ปี คดีของโจทก์ในส่วนหนี้เงินกู้จึงขาดอายุความ
แม้หนี้ตามสัญญากู้เงินอันเป็นหนี้ประธานจะขาดอายุความ โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจำนองยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินที่จำนองซึ่งโอนไปเป็นของจำเลยที่ 2 แล้วได้ แต่จะใช้สิทธินั้นบังคับให้ชำระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้เท่านั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/27

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5848/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยเกินกว่าที่ตกลง, เบี้ยปรับ, และความรับผิดร่วมของภริยาในหนี้กู้ยืมของสามี
แม้สัญญากู้ยืมเงินข้อ 2 จะระบุให้ดอกเบี้ยเป็นอัตราลอยตัว ซึ่งผู้กู้ยินยอมให้ผู้ให้กู้เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นหรือลดลงได้ตลอดเวลา ไม่เกินอัตราสูงสุดที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยผู้ให้กู้ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า แต่สัญญาข้อ 11 ระบุว่า ในกรณีที่ผู้กู้ผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด ผู้กู้ยอมชำระดอกเบี้ยจากต้นเงินที่ค้างชำระอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันผิดสัญญาเมื่อไม่ปรากฏว่านับแต่จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ถึงวันที่โจทก์บังคับจำนำ โจทก์ได้มีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมเงินตามสัญญาข้อ 2 แต่ปรากฏว่าโจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 16.25 ต่อปี เป็นร้อยละ 19 ต่อปี ภายหลังจากจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้ว จึงเป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามสัญญาข้อ 11 ซึ่งกำหนดค่าเสียหายกันไว้ล่วงหน้าในกรณีที่จำเลยที่ 1 ผิดนัด ดอกเบี้ยส่วนที่เพิ่มขึ้นเกินกว่าอัตราร้อยละ 16.25 ต่อปี จึงเป็นเบี้ยปรับตาม ป.พ.พ. มาตรา 379 หากสูงเกินส่วนศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง
โจทก์บังคับจำนำตั๋วสัญญาใช้เงินโดยคิดเบี้ยปรับย้อนหลังแก่จำเลยที่ 1 ไปถึงวันทำสัญญาก่อนที่จำเลยที่ 1 จะผิดนัดชำระหนี้เป็นเวลา 1 เดือน เป็นการบังคับชำระหนี้เกินไปกว่าความรับผิดที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระ จึงต้องหักเงินเบี้ยปรับส่วนที่เกินดังกล่าวออกจากต้นเงินที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระแก่โจทก์ด้วย ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์โดยจำเลยที่ 2 ภริยาของจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อให้ความยินยอมในหนังสือให้ความยินยอมซึ่งมีข้อความระบุว่าจำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมเกี่ยวกับการซื้อและจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และกู้ยืมเงินจากโจทก์ได้โดยไม่คัดค้าน ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมรับรู้หนี้กู้ยืมเงินที่จำเลยที่ 1 ผู้เป็นสามีได้ก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียวในระหว่างสมรสและจำเลยที่ 2 ให้สัตยาบันในหนี้ดังกล่าวแล้ว จึงเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1490 (4) จำเลยที่ 2 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2787/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมความโดยการแปลงหนี้จากละเมิดเป็นหนี้กู้ยืม ทำให้สิทธิฟ้องอาญาของโจทก์ระงับ
ผู้เสียหายยินยอมให้นำมูลหนี้ที่จำเลยทำละเมิดโดยการยักยอกทรัพย์ของผู้เสียหายอันเป็นความผิดอาญาซึ่งยอมความได้มาเปลี่ยนเป็นมูลหนี้กู้ยืมระหว่างสามีจำเลยกับกรรมการผู้จัดการของผู้เสียหาย ถือว่าคู่กรณีได้ตกลงทำสัญญาแปลงหนี้ใหม่ โดยการเปลี่ยนมูลหนี้จากละเมิดเป็นหนี้กู้ยืม เปลี่ยนตัวลูกหนี้โดยสามีจำเลยเป็นลูกหนี้ซึ่งต้องรับผิดตามสัญญากู้ยืมแทนจำเลย และเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้จากบริษัทผู้เสียหายเป็นกรรมการผู้จัดการของผู้เสียหาย สิทธิเรียกร้องของผู้เสียหายที่มีอยู่เดิมจึงต้องระงับสิ้นไป แม้จะปรากฏว่าไม่เคยมีการชำระเงินตามสัญญากู้ยืมดังกล่าว ก็ไม่มีผลทำให้การแปลงหนี้ใหม่ดังกล่าวเสียไปเพราะสิทธิเรียกร้องยังคงอยู่ กรณีฟังได้ว่าจำเลยและผู้เสียหายได้ตกลงระงับข้อพิพาทที่มีต่อกันในทางอาญาโดยการแปลงหนี้ใหม่ จึงถือว่าได้มีการยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ดังนั้น สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5433/2562

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แปลงหนี้จากค่าหุ้นค้างชำระเป็นหนี้กู้ยืม จำเลยต้องรับผิดตามสัญญากู้ยืม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ตกลงซื้อหุ้นจากโจทก์เป็นเงิน 20,000,000 บาท โจทก์โอนหุ้นให้จำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ชำระค่าหุ้นแก่โจทก์บางส่วนเป็นเงิน 12,500,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 7,500,000 บาท โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้เป็นสัญญากู้ยืมเงิน แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระ จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ แต่หากจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินเพราะเหตุหนี้กู้ยืมเงินอันเกิดจากการแปลงหนี้ใหม่ไม่ได้เกิดขึ้น จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระเงินค่าหุ้นที่ค้างชำระแก่โจทก์ อันเป็นการบรรยายนิติสัมพันธ์ตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นลำดับขั้นตอนว่ามีความเป็นมาอย่างไร และสอดคล้องกับที่ ป.พ.พ. มาตรา 351 บัญญัติไว้ว่า "ถ้าหนี้อันจะพึงเกิดขึ้นเพราะแปลงหนี้ใหม่นั้นมิได้เกิดขึ้นก็ดี ได้ยกเลิกเสียเพราะมูลแห่งหนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือเพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันมิรู้ถึงคู่กรณีก็ดี ท่านว่าหนี้เดิมนั้นก็ยังหาระงับสิ้นไปไม่" ส่วนการขายหุ้นและการโอนหุ้นจะกระทำเมื่อใด เป็นหุ้นเลขที่เท่าใด และหลักฐานการโอนหุ้นเป็นอย่างไร เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ประกอบกับตามคำให้การของจำเลยที่ 1 ก็ปฏิเสธว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยตกลงซื้อขายหุ้น ไม่เคยชำระเงินค่าหุ้นและไม่ได้รับโอนหุ้นจากโจทก์ตามฟ้อง การลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินเกิดจากกลฉ้อฉลหลอกลวงอันแสดงว่า จำเลยที่ 1 เข้าใจคำฟ้องของโจทก์และมิได้หลงต่อสู้ คำฟ้องโจทก์จึงมิได้ขัดแย้งกันเองและชัดแจ้ง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
of 5