พบผลลัพธ์ทั้งหมด 297 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 26/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาพยานหลักฐานในคดีอาญา การเบิกความของพยาน การหลบหนีหลังก่อเหตุ และพิรุธของผู้ต้องหา
ข. ส.และอ.เป็นประจักษ์พยานต่างก็รู้จักจำเลยมาก่อนและเห็นว่าจำเลยนั่งอยู่ในร้านอาหารก่อนเกิดเหตุเป็นเวลานานขณะเกิดเหตุในร้านอาหารมีไฟนีออนประมาณ4ถึง5ดวงส่องสว่างบริเวณนอกชานก็มีไฟนีออนส่องสว่างผู้ตายถูกยิงอยู่ด้านข้างร้านอาหารซึ่งเป็นที่โล่งไม่มีอะไรบังน่าเชื่อว่าแสงไฟนีออนจากร้านอาหารส่องสว่างไปถึงบริเวณที่ผู้ตายถูกยิงและประจักษ์พยานทั้งสามสามารถมองเห็นคนร้ายที่ยิงผู้ตายทั้งในคืนเกิดเหตุข.ได้แจ้งแก่เจ้าพนักงานตำรวจทันทีว่าจำเลยเป็นคนยิงผู้ตายส่วนที่ประจักษ์พยานทั้งสามเบิกความแตกต่างกันเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของจำเลยนั้นอาจเพราะมาเบิกความหลังเกิดเหตุถึง3ปีเศษการจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของจำเลยอาจคลาดเคลื่อนไปบ้างข้อแตกต่างนี้จึงไม่ใช่สาระสำคัญไม่ทำให้น้ำหนักคำเบิกความของประจักษ์พยานทั้งสามเสียไปประกอบกับหลังเกิดเหตุแล้วจำเลยหลบหนีไปทำงานที่อื่นเพิ่งถูกจับหลังเกิดเหตุเกือบ2ปีนับว่าเป็นพิรุธข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1067/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินความผิดฐานขับรถประมาทและการลงโทษฐานหลบหนีไม่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก
การที่จำเลยจะได้รับโทษหนักขึ้นตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 160 วรรคสองนั้น หมายถึงกรณีที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามมาตรา 78 วรรคหนึ่ง แล้วเป็นเหตุให้บุคคลอื่นได้รับอันตรายสาหัส มิใช่หมายถึงจำเลยขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสแล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามมาตรา 78 วรรคหนึ่งโจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยก่อความเสียหายแล้วจำเลยได้หลบหนีไม่ให้ความช่วยเหลือพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที มิได้บรรยายอ้างเหตุว่าการที่จำเลยไม่อยู่ให้ความช่วยเหลือตามสมควร พร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 78 วรรคหนึ่งนั้น เป็นเหตุให้บุคคลอื่นได้รับอันตรายสาหัส จึงไม่อาจลงโทษตามมาตรา 160 วรรคสองได้ ต้องลงโทษตามมาตรา 160 วรรคหนึ่ง ปัญหานี้แม้คู่ความจะมิได้ฎีกา แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499มาตรา 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5050/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เกินกำหนด และเหตุพฤติการณ์นอกเหนือความสามารถในการควบคุม
เจ้าพนักงานศาลส่งคำบังคับให้จำเลยโดยวิธีปิดคำบังคับตามคำสั่งศาลที่ภูมิลำเนาของจำเลยเมื่อวันที่27พฤศจิกายน2537ถือได้ว่าเป็นการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยชอบแล้วเมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ก็จะต้องยื่นคำร้องดังกล่าวต่อศาลภายในกำหนด15วันนับแต่วันที่12ธันวาคม2537ซึ่งเป็นวันที่การส่งคำบังคับให้แก่จำเลยมีผลตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา208วรรคหนึ่งคือจำเลยจะต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายในวันที่27ธันวาคม2537แต่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในวันที่10กุมภาพันธ์2538ซึ่งเกินกำหนด15วันล่วงพ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดไว้จึงขอให้พิจารณาใหม่ไม่ได้และการที่จำเลยได้หลบหนี้คดีอาญาไปเสียจากภูมิลำเนาของจำเลยเป็นเหตุที่เกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยเองจึงจะนำมาอ้างว่าเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ไม่แม้จำเลยจะอ้างว่าเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องและมีการส่งคำบังคับให้จำเลยเมื่อถูกเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยแล้วซึ่งนับแต่เมื่อทราบดังกล่าวถึงวันยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ยังไม่ครบกำหนด15วันก็ตามแต่กรณีดังกล่าวไม่เป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้เสียแล้วจำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่โดยเหตุนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4922/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานช่วยเหลือผู้กระทำผิดหรือผู้ต้องหาหลบหนี
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกไม้แปรรูปแล้วถูกนายดาบตำรวจก. กับพวก ยึดรถยนต์บรรทุกไม้แปรรูปไม่ยอมให้ขับออกไป จำเลยที่ 2 ได้มาพูดกับนายดาบตำรวจ ก. กับพวกเป็นทำนองให้ปล่อยรถยนต์บรรทุกไม้แปรรูปและจำเลยที่ 1 เมื่อนายดาบตำรวจ ก. กับพวกไม่ยอม ต่อมาจำเลยที่ 2 ก็พาจำเลยที่ 1 ขึ้นรถยนต์ขับหนีไปแสดงว่าจำเลยที่ 2 รู้แล้วว่าได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น และมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษจำเลยที่ 2 จึงต้องมีความผิดฐานช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษเพื่อไม่ให้ต้องโทษ หรือไม่ให้ถูกจับกุมตาม ป.อ.มาตรา 189
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4922/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดช่วยผู้ต้องหาหลบหนี: การกระทำของเจ้าพนักงานตำรวจที่ช่วยเหลือผู้ต้องหาความผิดเกี่ยวกับป่าไม้
จำเลยที่1ขับรถยนต์บรรทุกไม้แปรรูปแล้วถูกนายดาบตำรวจก. กับพวกยึดรถยนต์บรรทุกไม้แปรรูปไม่ยอมให้ขับออกไปจำเลยที่2ได้มาพูดกับนายดาบตำรวจก. กับพวกเป็นทำนองให้ปล่อยรถยนต์บรรทุกไม้แปรรูปและจำเลยที่1เมื่อนายดาบตำรวจก.กับพวกไม่ยอมต่อมาจำเลยที่2ก็พาจำเลยที่1ขึ้นรถยนต์ขับหนีไปแสดงว่าจำเลยที่2รู้แล้วว่าได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นและมีจำเลยที่1เป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดอันมิใช่ความผิดลหุโทษจำเลยที่2จึงต้องมีความผิดฐานช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดหรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดอันมิใช่ความผิดลหุโทษเพื่อไม่ให้ต้องโทษหรือไม่ให้ถูกจับกุมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา189
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7987/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหลบหนีหลังเกิดเหตุและการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ: ความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า หลังเกิดเหตุแล้วจำเลยหลบหนีไปโดยไม่ได้ให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บตามสมควร ทั้งไม่ได้แจ้งเหตุต่อพนักงาน-เจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันทีก็ตาม ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าการที่จำเลยหลบหนีไม่ทำการช่วยเหลือหรือแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกพ.ศ.2522 มาตรา 160 วรรคสอง คงเป็นความผิดตามมาตรา 160 วรรคหนึ่งเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7987/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานขับรถประมาททำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และหลบหนีไม่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าหลังเกิดเหตุแล้วจำเลยหลบหนีไปโดยไม่ได้ให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บตามสมควรทั้งไม่ได้แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันทีก็ตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฎว่าการที่จำเลยหลบหนีไม่ทำการช่วยเหลือหรือแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา160วรรคสองคงเป็นความผิดตามมาตรา160วรรคหนึ่งเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6981/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาใช้รถเป็นยานพาหนะหลบหนีหลังชิงทรัพย์ ถือความผิด ม.340 ตรี แม้คืนรถภายหลัง
จำเลยขับรถจักรยานยนต์ของ ส. ไปซื้อส้มตำจากผู้เสียหายแม้จำเลยเพิ่งมีเจตนาชิงทรัพย์ผู้เสียหายขณะเห็นผู้เสียหายกำลังตำส้มตำ แต่ในขณะนั้นจำเลยย่อมทราบดีว่าเมื่อกระทำความผิดแล้วจำเลยต้องใช้รถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับมาเป็นยานพาหนะในการหลบหนีจำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าไม่มีเจตนาใช้รถจักรยานยนต์พาทรัพย์ที่ชิงได้มานั้นไปหรือพาตนเองให้พ้นจากการจับกุม ส่วนการที่จำเลยนำรถจักรยานยนต์ไปคืนที่บ้าน ส. ก็เป็นเรื่องหลังจากจำเลยกระทำความผิดสำเร็จแล้ว การกระทำของจำเลยเป็นการชิงทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6981/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาใช้ยานพาหนะหลบหนีหลังชิงทรัพย์ ถือความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี แม้คืนรถภายหลัง
จำเลยขับรถจักรยานยนต์ของส. ไปซื้อส้มตำจากผู้เสียหายแม้จำเลยเพิ่มมีเจตนาชิงทรัพย์ผู้เสียหายขณะเห็นผู้เสียหายกำลังตำส้มตำแต่ในขณะนั้นจำเลยย่อมทราบดีว่าเมื่อกระทำความผิดแล้วจำเลยต้องใช้รถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับมาเป็นยานพาหนะในการหลบหนีจำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าไม่มีเจตนาใช้รถจักรยานยนต์พาทรัพย์ที่ชิงได้มานั้นไปหรือพาตนเองให้พ้นจากการจับกุมส่วนการที่จำเลยนำรถจักรยานยนต์ไปคืนที่บ้านส. ก็เป็นเรื่องหลังจากจำเลยกระทำความผิดสำเร็จแล้วการกระทำของจำเลยเป็นการชิงทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6981/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาใช้ยานพาหนะหลบหนีหลังชิงทรัพย์ ถือความผิดตาม ม.340 ตรี แม้คืนรถภายหลัง
จำเลยขับรถจักรยานยนต์ของส. ไปซื้อส้มตำจากผู้เสียหายแม้จำเลยเพิ่งมีเจตนาชิงทรัพย์ผู้เสียหายขณะเห็นผู้เสียหายกำลังตำส้มตำแต่ในขณะนั้นจำเลยย่อมทราบดีว่าเมื่อกระทำความผิดแล้วจำเลยต้องใช้รถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับมาเป็นยานพาหนะในการหลบหนีจำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าไม่มีเจตนาใช้รถจักรยานยนต์พาทรัพย์ที่ชิงได้มานั้นไปหรือพาตนเองให้พ้นจากการจับกุมส่วนการที่จำเลยนำรถจักรยานยนต์ไปคืนที่บ้านส. ก็เป็นเรื่องหลังจากจำเลยกระทำความผิดสำเร็จแล้วการกระทำของจำเลยเป็นการชิงทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม