พบผลลัพธ์ทั้งหมด 388 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9173/2544 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายองค์ประกอบความผิด พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน และการฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พ.ร.บ. บัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2542 มาตรา 8 ที่ใช้ในภายหลังให้ยกเลิกความในมาตรา 14 แห่ง พ.ร.บ. บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 โดยขยายองค์ประกอบความผิดจากเดิมที่กำหนดให้ผู้กระทำความผิดจาก "ผู้ไม่มีสัญชาติไทยผู้ใด" (ยื่นคำขอมีบัตร?) ให้เป็น "ผู้ใด" ซึ่งจะเป็นผู้ที่มีสัญชาติไทยหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น การพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยผู้มีสัญชาติไทยเป็นความผิดหรือไม่จึงต้องพิจารณาตาม พ.ร.บ. บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14 เดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 2
ตามคำฟ้องของโจทก์ปรากฏว่า จำเลยเป็นผู้มีสัญชาติไทย ส่วนพวกจำเลยที่มาแอบอ้างและขอทำบัตร ประจำตัวประชาชนใหม่ ฟ้องโจทก์ก็มิได้ระบุว่าเป็นผู้ไม่มีสัญชาติไทย ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับ พ.ร.บ. บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14 เดิม จึงเป็นฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด ไม่ชอบด้วย
ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แม้จำเลยให้การรับสารภาพ ก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
ตามคำฟ้องของโจทก์ปรากฏว่า จำเลยเป็นผู้มีสัญชาติไทย ส่วนพวกจำเลยที่มาแอบอ้างและขอทำบัตร ประจำตัวประชาชนใหม่ ฟ้องโจทก์ก็มิได้ระบุว่าเป็นผู้ไม่มีสัญชาติไทย ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับ พ.ร.บ. บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14 เดิม จึงเป็นฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด ไม่ชอบด้วย
ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แม้จำเลยให้การรับสารภาพ ก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9173/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายบัตรประจำตัวประชาชน และผลต่อการฟ้องคดีอาญา
ขณะที่จำเลยกระทำความผิดยังไม่มีการแก้ไขพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14 แต่ต่อมาก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้มีพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2542 มาตรา 8 ให้ยกเลิกความในมาตรา 14 และให้ใช้ความใหม่ ซึ่งกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำความผิดในคดีนี้ได้ขยายองค์ประกอบความผิดจากเดิมที่กำหนดให้ผู้กระทำความผิดต้องเป็น"ผู้มีสัญชาติไทยผู้ใด" ให้เป็น "ผู้ใด" ซึ่งจะเป็นผู้ที่มีสัญชาติไทยหรือไม่ก็ได้ ดังนั้นในการพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหรือไม่จึงต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14 เดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 เมื่อคำฟ้องของโจทก์ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้มีสัญชาติไทย ส่วนพวกของจำเลยที่มาแอบอ้างและขอทำบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ในนามของ น. นั้น ฟ้องโจทก์ก็มิได้ระบุว่าเป็นผู้ไม่มีสัญชาติไทยฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14 เดิม จึงเป็นฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิดมาตราดังกล่าว ถือเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยในข้อหาตามพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่ได้ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9173/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงกฎหมายหลังกระทำผิดมีผลต่อองค์ประกอบความผิด จำเลยมีสัญชาติไทย ฟ้องไม่ชอบ
ขณะที่จำเลยที่ 2 กระทำความผิด ยังไม่มีการแก้ไขพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14แต่ต่อมาก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ มีพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2542 และมาตรา 8 ให้ยกเลิกความในมาตรา 14แห่งพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 และให้ใช้ความใหม่แทน เมื่อปรากฏว่ากฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดได้ขยายองค์ประกอบความผิดจากเดิมที่กำหนดให้ผู้กระทำความผิดต้องเป็น "ผู้ไม่มีสัญชาติไทยผู้ใด" ให้เป็น "ผู้ใด"ซึ่งจะเป็นผู้ที่มีสัญชาติไทยหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น ในการพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหรือไม่จึงต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14 เดิมซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 2 เมื่อคำฟ้องของโจทก์ปรากฏว่า จำเลยเป็นผู้มีสัญชาติไทยส่วนพวกของจำเลยที่มาแอบอ้างและขอทำบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ในนามของผู้อื่นนั้นฟ้องโจทก์มิได้ระบุว่าเป็นผู้ไม่มีสัญชาติไทย จึงเป็นฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิดไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 892/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องซ้ำในความผิดฐานบุกรุกป่าสงวนฯ แม้ฟ้องต่างกรรมต่างวาระและองค์ประกอบความผิดต่างกัน ศาลฎีกาตัดสินว่าไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ที่ดินที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดคดีนี้เนื้อที่ 20 ไร่เศษเป็นที่ดินแปลงเดียวกับคดีก่อนซึ่งมีเนื้อที่ 100 ไร่ คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่า จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน และเป็นที่ดินของรัฐ ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปก่นสร้าง แผ้วถางตัดฟัน ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ไม้ขนาดเล็กและใหญ่แล้วยึดถือครอบครองที่ดินแปลงเดียวกันเนื้อที่ 20 ไร่เศษ เพื่อปลูกปาล์มน้ำมันภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ดังนั้น เมื่อคดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดตาม ป. ที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยตาม พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 4, 5, 6, 14 และ 31 อันเป็นการฟ้องในการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระกับคดีก่อน ทั้งองค์ประกอบแห่งความผิดก็แตกต่างกัน ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 892/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องซ้ำในความผิดฐานบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน แม้กรรมต่างวาระ แต่หากเป็นพื้นที่แปลงเดียวกันและองค์ประกอบความผิดแตกต่างกัน ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่า จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ศาลพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุด โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปก่นสร้างแผ้วถาง ตัดฟัน ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ไม้ขนาดเล็กและใหญ่ แล้วยึดถือครอบครองที่ดินเนื้อที่ 20 ไร่เศษ ซึ่งเป็นแปลงเดียวกับคดีก่อนที่มีเนื้อที่ 100 ไร่ เพื่อปลูกปาล์มน้ำมันภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ดังนั้น เมื่อคดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 ทวิ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 4,5,6,14 และ 31 อันเป็นการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระกันทั้งองค์ประกอบแห่งความผิดก็แตกต่างกันฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8825/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายกัญชาโดยผู้รับจ้างขนส่ง: เจตนาและองค์ประกอบความผิด
จำเลยเป็นเพียงผู้รับจ้าง ส. ขนกัญชาไปมอบให้แก่ผู้ที่ล่อซื้อเท่านั้น จำเลยมิได้มีเจตนายึดถือกัญชาไว้เพื่อตน การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่การที่จำเลยส่งมอบกัญชาให้แก่ผู้ที่ ล่อซื้อเป็นความผิดฐานจำหน่ายกัญชาแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7371/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์ประกอบความผิดฐานออกเช็ค – จำเป็นต้องระบุหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ในคำฟ้อง
ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯมาตรา 4 การออกเช็คจะเป็นความผิดต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย หนี้ตามเช็คจะมีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ จึงเป็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งซึ่งเป็นองค์ประกอบแห่งความผิด หาได้เป็นเพียงรายละเอียดที่สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาไม่ การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยออกเช็คมอบให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายจึงเป็นการบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องก็ไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6133/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดฐานลักทรัพย์และการแยกพิจารณาคดีต่างกรรมต่างวาระ รวมถึงการพิพากษาความผิดตามองค์ประกอบของกฎหมาย
คดีอาญาอีกเรื่องอื่นกับคดีนี้จำเลยเป็นคนเดียวกัน แต่เป็นการลักทรัพย์ผู้เสียหายคนละคนกัน โดยลักทรัพย์ของผู้เสียหายคนหนึ่งเสร็จแล้วจึงไปลักทรัพย์ของผู้เสียหายอีกคนหนึ่ง ทั้งทรัพย์ก็มิได้รวมอยู่ด้วยกัน โดยห่างกันเป็นร้อยเมตร อันเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน จึงมิใช่เป็นเหตุในลักษณะแห่งคดีเดียวกัน ซึ่งศาลจะต้องรับฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างเดียวกัน
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(12) นอกจากเจ้าทรัพย์จะต้องเป็นผู้มีอาชีพกสิกรรมแล้ว จะต้องได้ความอีกว่า ทรัพย์ที่ถูกลักนั้น เป็นผลิตภัณฑ์ พืชพันธุ์หรือสัตว์ หรือเครื่องมืออันมีไว้สำหรับประกอบกสิกรรมหรือได้มาจากการประกอบกสิกรรมด้วย แต่ตามฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏว่าข้าวเปลือกที่จำเลยลักไปเป็นผลิตภัณฑ์หรือพืชพันธุ์ซึ่งผู้เสียหายมีไว้สำหรับประกอบกสิกรรม หรือได้มาจากการกสิกรรมหรือไม่ฟ้องโจทก์จึงไม่ต้องด้วยมาตรา 335(12)ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวได้
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(12) นอกจากเจ้าทรัพย์จะต้องเป็นผู้มีอาชีพกสิกรรมแล้ว จะต้องได้ความอีกว่า ทรัพย์ที่ถูกลักนั้น เป็นผลิตภัณฑ์ พืชพันธุ์หรือสัตว์ หรือเครื่องมืออันมีไว้สำหรับประกอบกสิกรรมหรือได้มาจากการประกอบกสิกรรมด้วย แต่ตามฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏว่าข้าวเปลือกที่จำเลยลักไปเป็นผลิตภัณฑ์หรือพืชพันธุ์ซึ่งผู้เสียหายมีไว้สำหรับประกอบกสิกรรม หรือได้มาจากการกสิกรรมหรือไม่ฟ้องโจทก์จึงไม่ต้องด้วยมาตรา 335(12)ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1795/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่ไม่มีอยู่จริง องค์ประกอบความผิด พ.ร.บ.เช็ค
การออกเช็คของจำเลยจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 4หรือไม่ โจทก์จะต้องนำสืบข้อเท็จจริงให้ได้ความสองประการคือมีหนี้ที่จะต้องชำระ และหนี้นั้นจะต้องบังคับได้ตามกฎหมายคดีนี้ ธ. อ้างว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้ค่าขายสินค้ายางรถยนต์และล้อแม็กแก่โจทก์ร่วม เป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีราคากว่า 500 บาทขึ้นไป แต่หลักฐานที่แสดงว่าจำเลยได้ซื้อและรับสินค้าไปจากโจทก์ร่วมแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม โจทก์ร่วมหาได้มีมาแสดงหรือนำสืบถึงเหตุที่ไม่อาจนำมาแสดงได้ไม่ จึงไม่พอฟังได้ว่า มูลหนี้ที่จำเลยออกเช็คพิพาทมาจากการชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายสินค้าดังกล่าวมูลหนี้ที่ออกเช็คพิพาทจึงไม่มีอยู่จริง การกระทำของจำเลยจึงขาดองค์ประกอบความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1350/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญา โจทก์ต้องนำสืบองค์ประกอบความผิดครบถ้วนจึงจะประทับฟ้องได้
ในคดีอาญาแม้จะเป็นเพียงชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ก็ต้องนำสืบให้ครบองค์ประกอบความผิดที่ได้ฟ้อง จึงจะทำให้คดีโจทก์มีมูลอันจะพึงประทับฟ้องไว้พิจารณาต่อไปได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 167
ข้อเท็จจริงตามฟ้องและในทางนำสืบของโจทก์ฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการสั่งให้หยุดกิจการค้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดชั่วคราว และขนสินค้าทั้งหมดของห้างซึ่งโจทก์เป็นหุ้นส่วนและเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยออกไปตรวจนับที่อื่นโดยไม่ให้โจทก์มีส่วนรู้เห็นและใช้เวลาในการตรวจสอบนานกว่าปกติก่อนที่จะแจ้งโจทก์ว่าสินค้าสูญหายไปจากบัญชีโดยอ้างว่าสินค้ามีปริมาณมากและโจทก์ไม่ยอมส่งมอบบัญชีรายรับ รายจ่ายของห้างฯ ให้แก่จำเลย อีกทั้งสมุดบัญชีของห้างฯ ยังกระจัดกระจายไม่ต่อเนื่องทำให้ยากต่อการตรวจสอบ ทำให้การตรวจสอบล่าช้า การที่โจทก์นำสืบแต่เพียงว่าตรวจพบว่าสินค้าที่จำเลยอ้างว่าสูญหายนั้นไปปรากฏในช่องรายการจ่ายของสมุดคุมยอดจำนวนสินค้าอันแสดงว่าสินค้าเหล่านั้นไม่ได้หายไปในวันที่จำเลยทำการตรวจนับสินค้า แต่ถูกจำหน่ายไปภายหลังโดยจำเลยมีเจตนายักยอกเอาเป็นของตน โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นชัดว่าการที่สินค้าสูญหายเกิดจากการที่จำเลยเจตนาเบียดบังเอาสินค้าหรือเงินที่ได้จากการจำหน่ายสินค้านั้นเป็นของจำเลยหรือบุคคลที่สามโดยทุจริตอย่างไร เพราะหากจำเลยมีเจตนาเช่นนั้นจริง จำเลยย่อมไม่นำรายการสินค้าที่ตนยักยอกมาลงในรายการจ่ายดังกล่าวให้เป็นพยานหลักฐานผูกมัดตนเป็นแน่ เมื่อโจทก์ไม่นำสืบความจริงในข้อนี้ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด พยานหลักฐานโจทก์ในชั้นนี้จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าคดีโจทก์มีมูลตามข้อกล่าวหา
ข้อเท็จจริงตามฟ้องและในทางนำสืบของโจทก์ฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการสั่งให้หยุดกิจการค้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดชั่วคราว และขนสินค้าทั้งหมดของห้างซึ่งโจทก์เป็นหุ้นส่วนและเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยออกไปตรวจนับที่อื่นโดยไม่ให้โจทก์มีส่วนรู้เห็นและใช้เวลาในการตรวจสอบนานกว่าปกติก่อนที่จะแจ้งโจทก์ว่าสินค้าสูญหายไปจากบัญชีโดยอ้างว่าสินค้ามีปริมาณมากและโจทก์ไม่ยอมส่งมอบบัญชีรายรับ รายจ่ายของห้างฯ ให้แก่จำเลย อีกทั้งสมุดบัญชีของห้างฯ ยังกระจัดกระจายไม่ต่อเนื่องทำให้ยากต่อการตรวจสอบ ทำให้การตรวจสอบล่าช้า การที่โจทก์นำสืบแต่เพียงว่าตรวจพบว่าสินค้าที่จำเลยอ้างว่าสูญหายนั้นไปปรากฏในช่องรายการจ่ายของสมุดคุมยอดจำนวนสินค้าอันแสดงว่าสินค้าเหล่านั้นไม่ได้หายไปในวันที่จำเลยทำการตรวจนับสินค้า แต่ถูกจำหน่ายไปภายหลังโดยจำเลยมีเจตนายักยอกเอาเป็นของตน โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นชัดว่าการที่สินค้าสูญหายเกิดจากการที่จำเลยเจตนาเบียดบังเอาสินค้าหรือเงินที่ได้จากการจำหน่ายสินค้านั้นเป็นของจำเลยหรือบุคคลที่สามโดยทุจริตอย่างไร เพราะหากจำเลยมีเจตนาเช่นนั้นจริง จำเลยย่อมไม่นำรายการสินค้าที่ตนยักยอกมาลงในรายการจ่ายดังกล่าวให้เป็นพยานหลักฐานผูกมัดตนเป็นแน่ เมื่อโจทก์ไม่นำสืบความจริงในข้อนี้ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด พยานหลักฐานโจทก์ในชั้นนี้จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าคดีโจทก์มีมูลตามข้อกล่าวหา