พบผลลัพธ์ทั้งหมด 110 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2052/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม เนื่องจากเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่แก้ไขเฉพาะอัตราโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 6 เดือน ฐานจำหน่ายกัญชา จำคุก 2 เดือนโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 1 ปี ฐานจำหน่ายกัญชาจำคุก 1 ปี โดยพิพากษาแก้เฉพาะอัตราโทษ ส่วนบทลงโทษคงเดิมเพียงแต่ระบุวรรคให้ชัดเจน เป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก
จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อจำหน่าย กับขอให้รอการลงโทษจำเลย เป็นการฎีกาโต้เถียงในข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อจำหน่าย กับขอให้รอการลงโทษจำเลย เป็นการฎีกาโต้เถียงในข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2052/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงหลังศาลอุทธรณ์แก้ไขเฉพาะอัตราโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐาน มีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 6 เดือน ฐาน จำหน่ายกัญชา จำคุก 2 เดือนโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยฐาน มีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 1 ปี ฐาน จำหน่ายกัญชาจำคุก 1 ปี โดย พิพากษาแก้เฉพาะ อัตราโทษ ส่วนบทลงโทษคงเดิมเพียงแต่ ระบุวรรคให้ชัดเจน เป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองโดย ไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อจำหน่าย กับขอให้รอการลงโทษจำเลย เป็นการฎีกาโต้เถียง ในข้อเท็จจริง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3414/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพในคดีเช็ค: ไม่จำต้องสืบพยานเพิ่มเติมหากข้อเท็จจริงตามฟ้องเป็นยุติ
ในคดีความผิดเกี่ยวกับการใช้เช็คซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน1 ปี โจทก์ไม่จำต้องสืบพยานประกอบคำให้การรับสารภาพของจำเลยแม้เป็นกรณีที่จำเลยให้การรับสารภาพเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญอันเป็นองค์ประกอบของความผิดก็ต้องรับฟังเป็นยุติดังที่โจทก์กล่าวในฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2144/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานทำไม้และมีไม้หวงห้ามในเขตป่าสงวน การแก้ไขโทษที่ศาลชั้นต้นลงต่ำกว่าอัตรากฎหมายกำหนด
โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยต่ำกว่าอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดเป็นปัญหาที่ศาลอุทธรณ์จะต้อง วินิจฉัยให้ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยโดยไม่ปรากฏเหตุผลจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่
คำพิพากษาศาลล่างไม่ได้ระบุว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามวรรคใด ศาลสูงแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลล่างไม่ได้ระบุว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามวรรคใด ศาลสูงแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 784/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน และขอบเขตการปรับตามอัตราที่ฟ้องขอ
โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ชัดแจ้งว่าจำเลยกระทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน และในคำฟ้องข้อ 1 ก. ก็บรรยายไว้ด้วยว่าเจ้าพนักงานท้องถิ่นมีคำสั่งให้จำเลยระงับการก่อสร้างอาคาร จำเลยได้รับคำสั่งในวันที่ 27 มกราคม 2528 แต่จำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นภายในกำหนด ซึ่งถือว่าจำเลยฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น จำเลยจึงมีความผิดอีกกรรมหนึ่งต่างหากจากการก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า การก่อสร้างอาคารของจำเลยไม่ขัดต่อกฎกระทรวง ไม่อาจหมายความไปถึงว่าเป็นอาคารที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว โจทก์บรรยายฟ้องไว้ชัดแจ้งว่าเจ้าพนักงานท้องถิ่นมีคำสั่งให้จำเลยระงับการก่อสร้างอาคาร จำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ดังนี้มีความหมายอยู่ในตัวว่าจำเลยฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นโดยทำการก่อสร้างต่อไปอีก.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า การก่อสร้างอาคารของจำเลยไม่ขัดต่อกฎกระทรวง ไม่อาจหมายความไปถึงว่าเป็นอาคารที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว โจทก์บรรยายฟ้องไว้ชัดแจ้งว่าเจ้าพนักงานท้องถิ่นมีคำสั่งให้จำเลยระงับการก่อสร้างอาคาร จำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ดังนี้มีความหมายอยู่ในตัวว่าจำเลยฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นโดยทำการก่อสร้างต่อไปอีก.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3237/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ปริมาณสารบริสุทธิ์ในคดียาเสพติด หากโจทก์ไม่นำสืบ ศาลไม่อาจลงโทษตามอัตราโทษสูงกว่าได้
แม้ฝิ่นของกลางจะมีน้ำหนักถึง 10,000 กรัม แต่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าฝิ่นของกลางมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์จำนวนเท่าใด จึงฟังไม่ได้ว่าฝิ่นของกลางมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัม ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฯ มาตรา 69 วรรคสาม หรือมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินกว่าหนึ่งร้อยกรัมตามมาตรา 69 วรรคสี่ จึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 69 วรรคสามหรือวรรคสี่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 826/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดโทษคดียาเสพติดต้องคำนึงถึงปริมาณยาเสพติดและอัตราโทษตามกฎหมาย
การกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยในคดีอาญาต้องคำนึงถึงอัตราโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายด้วย โทษฐานมียาเสพติดประเภท 1(เฮโรอีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้นถือเอาปริมาณยาเสพติดที่มีไว้ในครอบครองเป็นเกณฑ์กล่าวคือ ถ้าปริมาณไม่เกิน 100กรัม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึงจำคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่ห้าหมื่นบาทถึงห้าแสนบาท แต่ถ้าปริมาณเกิน 100 กรัม ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต. จำเลยมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย 58.255 กรัม. คือปริมาณกึ่งหนึ่งของเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึงจำคุกตลอดชีวิต การที่ศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำคุกจำเลยถึง 40 ปี ซึ่งเกือบจะเท่าโทษสูงสุดที่กฎหมายกำหนด นับได้ว่าเป็นการกำหนดโทษที่ค่อนข้างจะสูงเกินไป เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้และลดโทษให้จำเลย เหลือโทษจำคุก 15 ปี จึงเป็นกำหนดโทษที่เหมาะสม.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4503/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลลงโทษฐานรับของโจร แม้ฟ้องฐานปล้นทรัพย์ และการแก้ไขโทษจำคุกเกินอัตรา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ แม้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในสาระสำคัญอันเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้อง เมื่อจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4503/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงข้อหาจากปล้นทรัพย์เป็นรับของโจร และการลงโทษเกินอัตราโทษตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ แม้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในสาระสำคัญอันเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้อง เมื่อจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3354/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานข่มขืนฆ่าและลักทรัพย์ ความรับผิดทางอาญาและอัตราโทษ
การที่พนักงานสอบสวนมิได้แจ้งฝ่ายทหารให้มาฟังการสอบสวนผู้ต้องหาซึ่งเป็นทหารตามข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงมหาดไทยนั้น กฎหมายมิได้บัญญัติว่าเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบ
พวกของจำเลยมีและใช้อาวุธมีดปลายแหลมในการกระทำผิดแต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีอาวุธ ดังนั้น การที่พวกของจำเลยมีและใช้อาวุธมีดปลายแหลมดังกล่าว จะถือว่าจำเลยร่วมกับพวกพกพาอาวุธมีดปลายแหลมนั้นไปในทางสาธารณะ ในหมู่บ้านด้วย หาได้ไม่
จำเลยทำร้ายและฆ่าผู้ตายโดยเจตนาให้พวกของจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ตาย ดังนี้ การที่จำเลยกับพวกปลดเอาทรัพย์ของผู้ตายก่อนหลบหนี เห็นได้ว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาที่เกิดขึ้นในขณะนั้น จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ มิใช่ฐานปล้นทรัพย์.(ที่มา-ส่งเสริม)
พวกของจำเลยมีและใช้อาวุธมีดปลายแหลมในการกระทำผิดแต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีอาวุธ ดังนั้น การที่พวกของจำเลยมีและใช้อาวุธมีดปลายแหลมดังกล่าว จะถือว่าจำเลยร่วมกับพวกพกพาอาวุธมีดปลายแหลมนั้นไปในทางสาธารณะ ในหมู่บ้านด้วย หาได้ไม่
จำเลยทำร้ายและฆ่าผู้ตายโดยเจตนาให้พวกของจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ตาย ดังนี้ การที่จำเลยกับพวกปลดเอาทรัพย์ของผู้ตายก่อนหลบหนี เห็นได้ว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาที่เกิดขึ้นในขณะนั้น จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ มิใช่ฐานปล้นทรัพย์.(ที่มา-ส่งเสริม)