คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เงินสมทบ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 54 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13962/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การควบรวมบริษัทและการประเมินเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน: บริษัทใหม่มีหน้าที่ชำระเงินสมทบตามอัตราปกติ
บทบัญญัติใน พ.ร.บ.กองทุนเงินทดแทน พ.ศ.2537 มาตรา 45 ให้ความสำคัญเรื่องการเรียกเก็บเงินสมทบโดยคำนึงถึงตัวนายจ้างเป็นหลัก หากข้อเท็จจริงจากตัวนายจ้างเปลี่ยนแปลงไปย่อมทำให้การประเมินเพื่อเรียกเก็บเงินสมทบจากนายจ้างเปลี่ยนแปลงไปด้วย เมื่อโจทก์เกิดขึ้นจากการควบรวมกิจการของบริษัทในเครือเดียวกันเข้าด้วยกันและก่อนควบรวมกิจการบริษัททั้ง 7 แห่ง ต่างก็มีฐานะเป็นนายจ้างแยกจากกันซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้แยกประเมินเพื่อเรียกเก็บเงินสมทบแยกกันไปตามรายกิจการ เมื่อบริษัททั้ง 7 แห่ง มาควบรวมกิจการกันเป็นบริษัทใหม่ย่อมทำให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวนายจ้างของแต่ละบริษัทเปลี่ยนแปลงไป ต้องถือว่าบริษัทโจทก์ที่จดทะเบียนก่อตั้งขึ้นใหม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลใหม่และเป็นนายจ้างใหม่ตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 ใหม่ด้วย เมื่อโจทก์ขึ้นทะเบียนกองทุนเงินทดแทนใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2551 โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทนในอัตราเงินสมทบร้อยละ 0.40 ของค่าจ้าง การที่โจทก์จะขอนำระยะเวลาในการจ่ายเงินสมทบของบริษัทในเครือมารวมคำนวณเพื่อขอลดอัตราดังกล่าวเพื่อชำระเงินสมทบน้อยลงย่อมไม่ชอบ ทั้งการควบรวมบริษัทในเครือเข้าด้วยกันก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของโจทก์ในการดำเนินธุรกิจ มิใช่เพื่อประโยชน์ของลูกจ้างโดยตรง และวิธีการในการประเมินเงินสมทบได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วใน พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 โจทก์จะยกอ้างเอาสิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 1243 ซึ่งเป็นหลักทั่วไปมาปรับใช้แก่กรณีของโจทก์หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13962/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การควบรวมบริษัทและการประเมินเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน: ฐานะนายจ้างใหม่
พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 มาตรา 45 ให้ความสำคัญเรื่องการเรียกเก็บเงินสมทบโดยคำนึงถึงตัวนายจ้างเป็นหลัก หากข้อเท็จจริงจากตัวนายจ้างเปลี่ยนแปลงไปย่อมทำให้การประเมินเพื่อเรียกเก็บเงินสมทบจากนายจ้างเปลี่ยนแปลงไปด้วย เมื่อโจทก์เกิดขึ้นจากการควบรวมกิจการของบริษัทในเครือเดียวกันเข้าด้วยกันและก่อนควบรวมกิจการบริษัททั้ง 7 แห่งต่างก็มีฐานะเป็นนายจ้างแยกจากกันซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้แยกประเมินเพื่อเรียกเก็บเงินสมทบแยกกันไปตามรายกิจการ เมื่อบริษัททั้ง 7 มาควบรวมกิจการกันเป็นบริษัทใหม่ย่อมทำให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวนายจ้างของแต่ละบริษัทเปลี่ยนแปลงไป ต้องถือว่าบริษัทโจทก์ที่จดทะเบียนก่อตั้งขึ้นใหม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลใหม่และเป็นนายจ้างใหม่ตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 ใหม่ด้วย เมื่อโจทก์ขึ้นทะเบียนกองทุนเงินทดแทนใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2551 โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทนในอัตราเงินสมทบร้อยละ 0.40 ของค่าจ้าง การที่โจทก์จะขอนำระยะเวลาในการจ่ายเงินสมทบของบริษัทในเครือมารวมคำนวณเพื่อขอลดอัตราดังกล่าวเพื่อชำระเงินสมทบน้อยลงย่อมไม่ชอบ ทั้งการควบรวมบริษัทในเครือเข้าด้วยกันก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของโจทก์ในการดำเนินธุรกิจ มิใช่เพื่อประโยชน์ของลูกจ้างโดยตรง และวิธีการในการประเมินเงินสมทบได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วใน พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 โจทก์จะยกอ้างเอาสิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 1243 ซึ่งเป็นหลักทั่วไปมาปรับใช้แก่กรณีของโจทก์หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13730/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าคอมมิสชันพนักงานขายถือเป็นค่าจ้างตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม ต้องนำมารวมคำนวณเงินสมทบ
เมื่อค่าคอมมิสชันเป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้ลูกจ้างตำแหน่งพนักงานขายตามหลักเกณฑ์การจ่ายตามประกาศ อันเป็นเงินที่พนักงานขายได้รับจากการจำหน่ายสินค้าของโจทก์ซึ่งคิดคำนวณจากยอดสินค้าที่จำหน่ายได้ในแต่ละเดือน ซึ่งค่าคอมมิสชันนี้พนักงานขายจะได้รับมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับจำนวนยอดขายที่สามารถขายได้ จึงเห็นได้ว่าค่าคอมมิสชันเป็นเงินส่วนหนึ่งที่โจทก์จ่ายให้แก่พนักงานขายเป็นการตอบแทนการทำงานโดยตรงในวันและเวลาทำงานปกติโดยคิดตามผลงานที่ทำได้ ดังนั้น ค่าคอมมิสชันจึงเป็นค่าจ้างตามความหมายของ พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 5 โจทก์จึงต้องนำไปรวมกับเงินเดือนของพนักงานขายมาเป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11267/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิรับเงินประกันสังคมเกินจำนวน แม้ผู้ประกันตนไม่ทราบ และสำนักงานฯ ไม่แจ้ง การใช้สิทธิภายใน 1 ปี เริ่มเมื่อทราบสิทธิ
บทบัญญัติมาตรา 47 วรรคสี่ แห่ง พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 กำหนดระยะเวลาให้ผู้ประกันตนเรียกเอาเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตนที่นายจ้างส่งให้แก่สำนักงานประกันสังคมเกินจำนวนที่ต้องชำระคืนภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่นำส่งเงินสมทบหรือภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งให้มารับคืนนั้น เป็นกำหนดระยะเวลาเร่งรัดให้ผู้ประกันตนใช้สิทธิขอรับเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตนที่นายจ้างเป็นผู้นำส่งให้แก่สำนักงานประกันสังคมเกินจำนวนที่ต้องชำระคืนโดยเร็ว ผู้ประกันตนจึงต้องได้ทราบว่านายจ้างนำส่งเงินสมทบดังกล่าวเกินจำนวนที่ต้องชำระด้วยหรือผู้ประกันตนต้องได้รับแจ้งให้มารับเงินนั้น เมื่อโจทก์ไม่เคยทราบมาก่อนว่านายจ้างนำส่งเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตนเกินจำนวนที่ต้องชำระและจำเลยไม่เคยแจ้งให้โจทก์มารับเงินดังกล่าว แต่โจทก์เพิ่งทราบว่านายจ้างนำส่งเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตนเกินจำนวนที่ต้องชำระในวันที่โจทก์มายื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ และโจทก์ได้ขอรับเงินสมทบที่นายจ้างนำส่งเกินดังกล่าวคืนในวันเดียวกันนั้น กรณีจึงต้องถือว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกเอาเงินส่วนของผู้ประกันตนที่นายจ้างนำส่งเกินคืนภายในกำหนดหนึ่งปีตามนัยแห่งบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว เงินนั้นยังไม่ตกเป็นของกองทุนประกันสังคม จำเลยต้องคืนเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10188/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกคืนเงินสมทบประกันสังคมเกินเวลา 1 ปี: การแจ้งสิทธิและเจตนาของผู้ประกันตน
มาตรา 47 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 กำหนดระยะเวลาให้ผู้ประกันตนเรียกเอาเงินสมทบที่นายจ้างส่งให้แก่สำนักงานประกันสังคมเกินจำนวนที่ต้องชำระคืนภายใน 1 ปี นับแต่วันที่นำส่งเงินสมทบหรือภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ได้รับแจ้งให้มารับคืนนั้น เป็นกำหนดระยะเวลาเร่งรัดให้ผู้ประกันตนใช้สิทธิขอรับเงินสมทบที่นายจ้างนำส่งเกินจำนวนที่ต้องชำระคืนโดยเร็ว เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทำงานกับนายจ้าง 2 ราย โดยนายจ้างทั้งสองรายต่างหักค่าจ้างของโจทก์นำส่งเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตนให้แก่จำเลยเกินจำนวนที่โจทก์ต้องชำระ และจำเลยไม่ได้แจ้งให้โจทก์มารับเงินคืน ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทราบมาก่อนว่าเงินสมทบที่นายจ้างทั้งสองนำส่งให้แก่จำเลยเกินจำนวนที่โจทก์ต้องชำระ ต้องถือว่าโจทก์เพิ่งทราบว่านายจ้างทั้งสองนำส่งเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตนเกินในวันที่โจทก์ยื่นคำขอรับเงินที่เกินนั้น อันเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องเอาเงินส่วนของผู้ประกันตนที่นายจ้างนำส่งเกินคืนภายในกำหนด 1 ปี ตามนัยแห่งบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว เงินนั้นยังไม่ตกเป็นของกองทุนประกันสังคม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14873-14889/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นายจ้างหักเงินสมทบประกันสังคมแล้วไม่นำส่ง ไม่มีหน้าที่คืนเงินให้ลูกจ้าง
ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 กำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่หักค่าจ้างที่จ่ายแก่ลูกจ้างส่งเป็นเงินสมทบกองทุนประกันสังคม และนายจ้างมีหน้าที่ต้องนำส่งเงินสมทบแก่สำนักงานประกันสังคมภายในกำหนดเวลา มิฉะนั้นต้องรับผิดชำระเงินเพิ่มกับมีโทษตามกฎหมาย เมื่อจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างหักค่าจ้างของโจทก์ทั้งสิบเจ็ดเป็นเงินสมทบแล้วไม่นำส่งเงินสมทบ จนกระทั่งถูกสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 10 ติดตามทวงถาม และมีการทำสัญญารับสภาพหนี้กันไว้ จึงเป็นการบังคับให้จำเลยชำระหนี้แก่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 10 แล้ว จำเลยจึงไม่มีหน้าที่คืนเงินค่าจ้างที่หักเป็นเงินสมทบแล้วให้แก่โจทก์ทั้งสิบเจ็ด โจทก์ทั้งสิบเจ็ดไม่มีอำนาจฟ้องเรียกร้องเป็นคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13791-13792/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างโดยไม่ได้รับความยินยอม: การลดอัตราเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
จำเลยมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างบังคับให้ลูกจ้างรวมถึงโจทก์ทั้งสองต้องเป็นสมาชิกกองทุนประกันและออมทรัพย์สถาบันเทคโนโลยี่แห่งเอเซีย โดยสมาชิกส่งเงินสมทบอัตราร้อยละ 5 ของเงินเดือนสมาชิก และจำเลยส่งเงินสมทบอัตราร้อยละ 10 ของเงินเดือนสมาชิก ต่อมาจำเลยจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ทิสโก้ร่วมทุน 2 ซึ่งจดทะเบียนแล้ว พนักงานส่วนใหญ่ของจำเลยโอนมาเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ทิสโก้ร่วมทุน 2 ซึ่งจดทะเบียนแล้ว แต่โจทก์ทั้งสองไม่โอนไป เมื่อจำเลยไม่ได้บอกเลิกการส่งเงินสมทบตามกฎข้อบังคับของกองทุน กองทุนประกันและออมทรัพย์สถาบันเทคโนโลยี่แห่งเอเชียจึงคงดำเนินการอยู่ มิได้ยุบกองทุนไป จำเลยต้องปฏิบัติตามกฎข้อบังคับของกองทุนซึ่งรวมถึงการส่งเงินสมทบในอัตราร้อยละ 10 ของเงินเดือนสมาชิก ต่อไป การที่จำเลยเปลี่ยนแปลงอัตราการส่งเงินสมทบจากอัตราร้อยละ 10 ของเงินเดือนสมาชิก เป็นอัตราร้อยละ 5 ของเงินเดือนสมาชิก อันเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างซึ่งไม่เป็นคุณแก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยจึงต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ทั้งสองก่อน เมื่อไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ทั้งสอง จำเลยจึงเปลี่ยนแปลงการส่งเงินสมทบลดลงเป็นอัตราร้อยละ 5 ของเงินเดือนสมาชิก ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13895/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าพาหนะเหมาจ่ายไม่ถือเป็นค่าจ้าง การจ่ายเงินรางวัลประจำปีและเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
เดิมจำเลยจ่ายค่าพาหนะให้โจทก์เมื่อไปปฏิบัติงานนอกสถานที่เป็นรายครั้งตามค่าใช้จ่ายที่โจทก์เบิกจ่าย ต่อมาจำเลยมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงโดยให้โจทก์รับค่าพาหนะเป็นการเหมาจ่ายรายเดือน ตามคำสั่งดังกล่าวระบุว่าการอนุมัติค่าพาหนะให้แก่โจทก์ให้ถือว่าเป็นการให้เฉพาะตำแหน่งที่ดำรงอยู่ในขณะนั้นเท่านั้น หากมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งและลักษณะงานที่ไม่จำเป็นจะต้องได้รับค่าพาหนะ จำเลยมีสิทธิยกเลิกเงินได้ค่าพาหนะนั้น แปลความได้ว่าจำเลยตกลงให้ค่าพาหนะแก่โจทก์ต่อมาเมื่อโจทก์มีตำแหน่งและลักษณะงานที่ต้องเดินทาง มิได้ให้ค่าพาหนะเป็นการถาวรตลอดไปมีการเปลี่ยนแปลงได้ กรณีจึงเป็นการที่นายจ้างให้เงินเพิ่มแก่ลูกจ้างเป็นครั้งคราวตามลักษณะการทำงาน มิได้ให้เพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรงไม่ถือเป็นค่าจ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 719/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และการจ่ายเงินสมทบเมื่อลูกจ้างลาออก
เมื่อจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกลุ่มบริษัท อ. ซึ่งจดทะเบียนแล้วคือจำเลยที่ 2 ขึ้น จำเลยที่ 2 จึงเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากจำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ มาตรา 7 คณะกรรมการกองทุนจำเลยที่ 2 หรือผู้จัดการกองทุนมีหน้าที่จ่ายเงินให้ลูกจ้างเมื่อลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพตามมาตรา 23 โดยจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 1 จ่ายเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์ ปัญหานี้แม้จำเลยจะมิได้ยกมาอุทธรณ์ แต่อำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) และมาตรา 246 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 31
แม้จำเลยที่ 2 จะมีข้อบังคับฯ ข้อ 9.15 ระบุว่า "ข้อพิพาทใดๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าระหว่างนายจ้างกับบริษัทจัดการ หรือบริษัทจัดการกับสมาชิก ทายาท ตัวแทนของสมาชิก หรือผู้รับสิทธิประโยชน์ของสมาชิกผู้นั้น ในเรื่องเกี่ยวกับกองทุนหรือการบริหารกองทุนหรือสิทธิหรือผลประโยชน์อันสืบเนื่องมาจากกองทุนนี้ คณะกรรมการกองทุนจะเป็นผู้ตัดสินข้อพิพาทนั้นโดยคะแนนเสียงข้างมากตามที่ได้ระบุไว้ในวรรคแรกของข้อ 4.2.9" ก็ตาม แต่แนวทางระงับข้อพิพาทตามข้อบังคับฯ ดังกล่าวมิใช่ขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติก่อนจึงจะดำเนินการในศาลแรงงานได้ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 8 วรรคสอง แต่อย่างใด ดังนั้น แม้โจทก์จะมิได้นำข้อพิพาทให้คณะกรรมการกองทุนตัดสินก่อนก็มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ได้
จำเลยที่ 2 มีข้อบังคับฯ ระบุข้อยกเว้นที่สมาชิกไม่มีสิทธิได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์จากเงินสมทบเพียง 6 ประการ ซึ่งข้อยกเว้นดังกล่าวไม่รวมถึงกรณีลูกจ้างลาออกหรือการตกลงเลิกสัญญาจ้างแรงงานด้วย เมื่อโจทก์ลาออกจากการเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 โดยมิได้กระทำผิดประการใดใน 6 ประการที่กำหนดไว้ จำเลยที่ 2 จึงต้องจ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์จากเงินสมทบให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5954/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ: สิทธิลูกจ้างลาออก ไม่ใช่รายได้จำเลย
โจทก์เคยเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ต่อมาโจทก์ลาออกจากการเป็นสมาชิกกองทุนโดยไม่ได้ลาออกจากงานกองทุนได้จ่ายเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินสะสมให้โจทก์แล้ว และได้จ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบจำนวน 531,702.57 บาท ให้แก่จำเลยไว้จึงเป็นกรณีที่โจทก์ลาออกจากกองทุนโดยไม่ได้ลาออกจากงานตามข้อบังคับกองทุนฯ ข้อ 37 วรรคหนึ่ง (7) เงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบดังกล่าวจึงเป็นเงินที่จำเลยต้องเก็บรักษาไว้แทนผู้จัดการกองทุนเพื่อจ่ายให้แก่โจทก์เมื่อพ้นจากตำแหน่งในการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และโจทก์มีสิทธิได้รับเงินสมทบ ดังนั้น เมื่อโจทก์ลาออกจากงานด้วยความยินดีของทั้งสองฝ่าย โจทก์จึงมีสิทธิจะได้รับเงินสมทบ เงินดังกล่าวจึงยังมีสภาพเป็นเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบจากกองทุน มิได้กลับมาเป็นของจำเลยแต่อย่างใด สิทธิเรียกร้องเงินดังกล่าวไม่อาจโอนกันได้ตาม พ.ร.บ.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ มาตรา 23, 24 และไม่อาจนำไปหักกลบลบหนี้ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 346
of 6