คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เจตนาคู่สัญญา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 52 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1552/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นิติกรรมอำพราง: สัญญาขายฝากเพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยเกินอัตรา ศาลพิจารณาตามเจตนาคู่สัญญา
โจทก์กู้เงินจำเลย แต่จำเลยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา จึงเลี่ยงทำเป็นสัญญาขายฝากที่ดินโดยจำเลยผู้ซื้อฝากจะไม่เอาที่ดินหลุดเป็นสิทธินั้น เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่มีเจตนาจะผูกพันกันตามสัญญาขายฝาก นิติกรรมขายฝากย่อมตกเป็นโมฆะ (แต่เข้าแบบเป็นนิติกรรมกู้เงิน ซึ่งโจทก์ให้ที่ดินจำเลยยึดถือไว้เป็นประกัน จึงบังคับกันได้)
คดีแพ่งนั้น โจทก์ไม่จำต้องอ้างบทกฎหมายอย่างคดีอาญา เพียงแต่โจทก์บรรยายข้อเท็จจริงและคำขอมาก็พอแล้ว เป็นหน้าที่ของศาลจะต้องยกบทกฎหมายขึ้นปรับแก่ข้อเท็จจริงนั้น ๆ เอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1530/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงค่าเสียหายในสัญญาเช่า: ศาลยืนตามเจตนาคู่สัญญา
สัญญามีความว่า ถ้าผู้ให้เช่าลงมอบที่ดินและโรงเรือนให้แก่ผู้เช่าไม่ได้ ผู้ให้เช่ายอมใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 1800 บาท ดังนี้แสดงว่าคู่สัญญาแสดงเจตนาให้ถือว่าเงินจำนวน 1800 บาทเป็นค่าเสียหายในเมื่อผู้ให้เช่าผิดสัญญา ศาลจะลดค่าเสียหายลงหาชอบไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 771/2486 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าต่ออายุโดยปริยาย – เจตนาคู่สัญญา – สัญญาเช่าไม่มีกำหนดเวลา
ทำสัญญาเช่ากัน 1 ปี และระบุว่าถ้าครบกำหนดแล้วไม่บอกเลิกก็ไห้ถือว่าสัญญามีอายุต่อไปตามเดิมแต่ตามเจตนาอันแท้จิงกับการที่ประพรึติต่อกันเปนเรื่องเช่ากันต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลาดังนี้ถือว่าการเช่าต่อ ๆ ไปเปนการเช่าไม่มีกำหนดเวลา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 490/2478

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีความเอกสารสละสิทธิหนี้: การพิสูจน์เจตนาของคู่สัญญาและความชัดเจนของข้อตกลง
แปลสัญญา ฎีกาอุทธรณ์ ปัญหาข้อกฎหมาย แปลเอกสารเป็นปัญหาข้อกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6721/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสิ้นสุดสัญญาจ้างเนื่องจากเกษียณอายุและเจตนาของคู่สัญญา ศาลตัดสินไม่เป็นเหตุให้เกิดสิทธิค่าชดเชย
การที่โจทก์ลาออกจากงานไปก่อนอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ เป็นผลให้สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลยสิ้นสุดลง แต่เมื่อในวันเดียวกับที่การลาออกมีผล โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจ้างผู้บริหารกันจึงเกิดเป็นสัญญาจ้างแรงงานขึ้นใหม่ทำให้โจทก์มีฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลย เมื่อจำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจ โจทก์จึงมีฐานะเป็นพนักงานตามความหมายใน พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2518 การพ้นจากตำแหน่งของโจทก์ย่อมเป็นไปตามคู่มือและระเบียบการพนักงานของจำเลยและพระราชบัญญัติดังกล่าว ระเบียบการพนักงานของจำเลยข้อ 17.1 กำหนดว่าพนักงานที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์แล้ว ให้พ้นจากตำแหน่งงานตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมของปีที่พนักงานผู้นั้นมีอายุ 60 ปีบริบูรณ์และให้ได้รับผลตอบแทนตามที่จำเลยกำหนด ซึ่งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2518 มาตรา 9 (2) มาตรา 11 วรรคหนึ่ง (3) และวรรคสอง ที่บัญญัติให้การพ้นจากตำแหน่งของพนักงานซึ่งมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ให้พ้นเมื่อสิ้นปีงบประมาณตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณของปีที่พนักงานผู้นั้นมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ การที่โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจ้างผู้บริหารโดยมีกำหนดเวลา 2 ปี 8 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 1 ตุลาคม 2549 อันเป็นวันที่โจทก์มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ตามระเบียบการพนักงานของจำเลยข้อ 17.1 ซึ่งตรงกับ พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2518 มาตรา 9 (2) มาตรา 11 วรรคหนึ่ง (3) และวรรคสอง ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาแท้จริงของคู่สัญญาว่าประสงค์ให้สัญญาจ้างแรงงานสิ้นสุดลงเพราะโจทก์เกษียณอายุ ดังนั้นการที่จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2549 โดยอาศัยอำนาจตามคู่มือและระเบียบการพนักงานของจำเลยและพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2518 มาตรา 11 วรรคหนึ่ง (3) จึงเป็นกรณีที่โจทก์พ้นตำแหน่งเพราะเหตุเกษียณอายุตามระเบียบการพนักงานของจำเลยและเป็นไปตามผลของกฎหมายดังกล่าว การพ้นตำแหน่งของโจทก์ไม่ได้เกิดจากการกระทำใดที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างไม่ให้โจทก์ทำงานต่อไป เพราะแม้จำเลยจะให้โจทก์ทำงานต่อไปก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจากโจทก์ขาดคุณสมบัติตามกฎหมายที่จะเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของจำเลยต่อไปได้ จึงไม่เป็นการเลิกจ้างตามข้อ 59 วรรคสอง แห่งประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2549 โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10906/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มในสัญญาจ้าง: การตีความเจตนาคู่สัญญาและหน้าที่ทางภาษีของผู้ประกอบการ
ตามสัญญาจ้างไม่มีข้อความใดที่แสดงว่าภาษีมูลค่าเพิ่มรวมไว้กับราคาค่าจ้าง ทั้งจำนวนเงินค่าจ้างตามสัญญาก็ตรงกับใบเสนอราคา โดยใบเสนอราคามีข้อสังเกตระบุว่า ราคานี้ไม่รวมภาษี จึงไม่อาจรับฟังได้ว่ามีข้อตกลงให้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ในจำนวนเงินค่าจ้างด้วย
ในส่วนงานว่าจ้างตกแต่งเพิ่มเติมอาคารสำนักงานใหญ่ งานติดตั้งโคมไฟฟ้า และตกแต่งอาคารสำนักงานที่จังหวัดเชียงใหม่ จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ตามหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งจำเลยหักภาษี ณ ที่จ่าย ไว้ร้อยละ 3 หากมีข้อตกลงให้ภาษีมูลค่าเพิ่มรวมอยู่ในค่าจ้างด้วย จำเลยก็น่าจะแยกค่าภาษีมูลค่าเพิ่มออกต่างหากจากจำนวนเงินที่จะนำมาคำนวณเพื่อหักภาษี ณ ที่จ่าย ดังกล่าว ตามพฤติการณ์เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่จัดทำและออกใบกำกับภาษีเพื่อเรียกเก็บภาษีขาย ส่วนจำเลยก็มิได้เรียกเอาใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มจากโจทก์เป็นหลักฐานนำไปใช้เป็นภาษีซื้อ แม้ ป.รัษฎากร มาตรา 82 บัญญัติให้ผู้ประกอบการเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่มาตรา 82/4 วรรคหนึ่ง ก็บัญญัติให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ เมื่อโจทก์เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11603/2553 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำนองประกันหนี้เงินทุน ไม่ครอบคลุมหนี้ซื้อขายหลักทรัพย์แบบเมนเทแนนส์มาร์จิ้น แม้มีข้อความกว้างในสัญญา
จ. ทำสัญญากู้ยืมเงินจากจำเลยเมื่อปี 2534 เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในกิจการ จ. โดยโจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินเพื่อประกันการกู้ยืมเงินและหนี้สินอื่นๆ ของโจทก์ และหรือของ จ. ที่มีอยู่แล้วขณะที่ทำสัญญาและที่จะมีขึ้นในภายหน้าต่อจำเลย เป็นการจำนองเพื่อประกันหนี้การกู้ยืมในเรื่องเงินทุน แต่ไม่ใช่เป็นประกันหนี้การกู้ยืมเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์แบบเมนเทแนนส์มาร์จิ้นของ จ. ซึ่งทำในปี 2531 เนื่องจากการกู้ยืมในเรื่องหลักทรัพย์มีหลักเกณฑ์และวิธีการที่ตลาดหลักทรัพย์ประกาศกำหนดไว้ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน เพราะไม่มีหลักเกณฑ์และวิธีการให้นำที่ดินจดทะเบียนจำนองประกันการซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าวได้ แต่ให้นำหลักทรัพย์จดทะเบียน พันธบัตร สลากออมสิน มาวางเป็นประกัน และผู้ให้ยืมจะได้เงินกู้ยืมในกรณีนี้คืนเมื่อขายหลักทรัพย์ได้แล้วเท่านั้น ในระหว่างยังมิได้ขายหลักทรัพย์ผู้ให้กู้ยืมจะเรียกให้ผู้กู้ยืมชำระหนี้เงินกู้ยืมไม่ได้ มิฉะนั้นการซื้อขายหลักทรัพย์จะปั่นป่วน คงมีสิทธิเรียกให้ผู้กู้ยืมชำระดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเท่านั้น คู่สัญญาไม่มีเจตนาให้ผูกพันเลยไปถึงเป็นประกันการซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าวด้วย เมื่อหนี้เงินทุนระงับแล้วจำนองซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ย่อมระงับตามไปด้วย และจำเลยต้องส่งมอบหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินให้แก่โจทก์และจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11603/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำนองประกันหนี้เงินทุน vs. หลักทรัพย์ MTM: ศาลยืนเจตนาจำนองเฉพาะเงินทุน แม้มีข้อความกว้างในสัญญา
แม้ในสัญญาจำนองมีข้อความต่อท้ายสัญญาจำนองเป็นประกันหนี้อื่น ๆ ที่มีอยู่แล้วในขณะทำสัญญาหรือที่จะเกิดขึ้นใหม่ในภายหน้า แต่ก็ได้ความว่าการกู้ยืมจดทะเบียนจำนองในคดีนี้เป็นการกู้ยืมในเรื่องเงินทุน ส่วนการผู้ยืมในเรื่องหลักทรัพย์แบบเมนเทแนนส์มาร์จิ้นมีหลักเกณฑ์และวิธีการที่ตลาดหลักทรัพย์ประกาศกำหนดไว้ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน โจทก์จำเลยทำสัญญาจำนองคู่สัญญาตั้งใจให้ผูกพันเป็นประกันเฉพาะการกู้ยืมในเรื่องเงินทุนจำนวน 7,000,000 บาท เท่านั้น คู่สัญญาไม่มีเจตนาให้ผูกพันเลยไปถึงเป็นประกันการซื้อขายหลักทรัพย์แบบเมนเทแนนส์มาร์จิ้นด้วย นอกจากนี้ยังไม่มีข้อความเขียนให้ชัดว่าเป็นประกันหนี้เงินกู้ยืมซื้อหลักทรัพย์แบบเมนเทแนนส์มาร์จิ้นทั้งที่มีโอกาสเขียนให้ชัดได้ ข้อต่อสู้จำเลยว่าการจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ซื้อขายหลักทรัพย์แบบเมนเทแนนส์มาร์จิ้นด้วยนั้น เป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์อันแท้จริงของคู่สัญญาแต่แรกให้ผิดไปจากความประสงค์เดิม เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้เงินทุนเพียงอย่างเดียวและหนี้เงินทุนระงับแล้ว จำนองซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ย่อมระงับไปด้วย จำเลยจะอ้างไม่ส่งโฉนดเพราะมีหนี้ซื้อขายหลักทรัพย์ค้างชำระอยู่ด้วยหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10421/2551 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีความสัญญาประกันภัยตามเจตนาคู่สัญญา แม้กำหนดระยะเวลาในสัญญาไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง สิทธิช่วงสิทธิของผู้รับประกันภัย
บริษัท ม. เช่าซื้อรถยนต์จากบริษัท อ. แล้วบริษัท ม. ให้ พ. เช่าซื้อช่วง โดย พ. นำรถไปประกันภัยไว้กับโจทก์ มีบริษัท ม. เป็นผู้รับประโยชน์ แม้สัญญาเช่าซื้อช่วงจะระบุวันเริ่มต้นของสัญญาหลังวันเริ่มต้นของสัญญาประกันภัย การตีความวันทำสัญญาประกันภัยย่อมเพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงของคู่สัญญายิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษรตาม ป.พ.พ. มาตรา 171 ถือว่า พ. ผู้เอาประกันภัยเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยขณะทำสัญญาประกันภัยกับโจทก์แล้ว เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อหายไปในบริเวณลานจอดรถของโรงแรมของจำเลย และโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่บริษัท ม. ผู้รับประโยชน์ไปตามสัญญาประกันภัยแล้วย่อมได้รับช่วงสิทธิมาเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่โจทก์จ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่บริษัท ม. จากจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10421/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันภัยรถยนต์เช่าซื้อ: การตีความเจตนาคู่สัญญาเพื่อยืนยันความผูกพันและสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
ตารางกรมธรรม์และรายการคุ้มครองระบุว่า พ. เป็นผู้เอาประกันภัยและบริษัท ม. เป็นผู้รับประโยชน์ วัตถุประสงค์แห่งสัญญาประกันภัยย่อมมุ่งประสงค์ไปที่การประกันภัยรถยนต์คันที่ พ. เป็นผู้เช่าซื้อตลอดระยะเวลาที่เช่าซื้อเป็นสำคัญยิ่งกว่าวันเริ่มต้นแห่งสัญญาประกันภัยที่พิมพ์เป็นตัวอักษร แม้สัญญาเช่าซื้อช่วงจะระบุวันเริ่มต้นของสัญญาหลังวันเริ่มต้นของสัญญาประกันภัย การตีความวันทำสัญญาประกันภัยดังกล่าวย่อมต้องเพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงของคู่สัญญายิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษรดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 171 จึงถือได้ว่า พ. ผู้เอาประกันภัยเป็นเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยขณะทำสัญญาประกันภัยกับโจทก์แล้ว
รถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยถูกโจรกรรมไปจากลานจอดรถของจำเลย โจทก์ได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัท ม. ไปแล้ว ย่อมรับช่วงสิทธิในค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวมาเรียกร้องเอาจากจำเลยเท่านั้น ไม่อาจเรียกร้องให้จำเลยส่งคืนรถยนต์แก่โจทก์ได้
of 6