พบผลลัพธ์ทั้งหมด 60 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1064/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม: การระบุเจ้าของทรัพย์สินที่ไม่ชัดเจน ทำให้ฟ้องไม่เป็นไปตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องเรียกทองรูปพรรณจำนวนหนึ่งจากจำเลย โดยกล่าวความเป็น 2 นัยๆ หนึ่งว่า ทองรูปพรรณเป็นของโจทก์ๆ ฝากผู้มีชื่อไว้แล้วตกไปอยู่แก่จำเลย อีกนัยหนึ่งอ้างว่า โจทก์เป็นทายาทของผู้มีชื่อนั้น ผู้มีชื่อนั้นตาย โจทก์เป็นทายาทผู้เดียวจึงขอรับเอาเป็นมรดก ดังนี้ นับว่าเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 เพราะไม่แสดงให้แน่ชัดว่าทองรูปพรรณนี้เป็นของโจทก์หรือของผู้มีชื่อ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 449/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพัน แม้มีการตกลงเช่าใหม่กับเจ้าของทรัพย์สิน
การที่จำเลยถูกผู้เช่าเดิมเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่ให้ออกจากห้องพิพาทจนได้ทำสัญญายอมความกันต่อศาลว่าจะออกจากห้องไปภายในกำหนดแล้วกลับปรากฏว่าผู้ให้เช่าได้มีหนังสือบอกเลิกการเช่ากับโจทก์ และตกลงจะให้จำเลยเช่าห้องพิพาทต่อไป ซึ่งโจทก์ได้คัดค้านอยู่ ดังนี้ ไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิจะคงอยู่ในห้องพิพาทต่อไป เพียงแต่เป็นเหตุพอที่ศาลยังไม่ควรจะจับกุมกักขังจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 449/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพัน แม้มีการตกลงเช่ากับเจ้าของทรัพย์สินใหม่
การที่จำเลยถูกผู้เช่าเดิมเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่ให้ออกจากห้องพิพาทจนได้ทำสัญญายอมความกันต่อศาลว่าจะออกจากห้องไปภายในกำหนดแล้วกลับปรากฏว่าผู้ให้เช่าได้มีหนังสือบอกเลิกการเช่ากับโจทก์ และตกลงจะให้จำเลยเช่าห้องพิพาทต่อไปซึ่งโจทก์ได้คัดค้านอยู่ ดังนี้ ไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิจะคงอยู่ในห้องพิพาทต่อไป เพียงแต่เป็นเหตุพอที่ศาลยังไม่ควรจะจับกุมกักขังจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 407/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับเงินค่าเสียหายแทนเจ้าของทรัพย์สิน ทำให้เกิดหน้าที่ต้องส่งมอบเงินให้เจ้าของทรัพย์สินเดิม
เจ้าของรถม้ารับเงินค่าเสียหายจากฝ่ายเจ้าของรถยนตร์ที่ขับชนรถม้า และเครื่องเรือนของผู้อื่นที่ตนรับจ้างบรรทุกเสียหาย โดยรู้ดีว่าเงินทดแทนค่าเสียหายนั้นเป็นส่วนของเจ้าของเครื่องเรือนด้วย ส่วนหนี่งดังนี้ ถือว่าเจ้าของรถม้ารับแทนเจ้าของเครื่องเรือนด้วยจึงก่อให้เกิดหน้าที่ที่จะต้องนำเงินนั้นส่งแก่เจ้าของเครื่องเรือน เมื่อไม่ส่งหรือไม่ยอมให้ก็เป็นการโต้แย้งสิทธิตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา 55 โจทก์ฟ้องร้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 48/2489 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงเจ้าของทรัพย์สินในคำฟ้อง ถือเป็นข้อสำคัญกระทบต่อการพิจารณาคดี
โจทก์ฟ้องระบุอ้างว่า กระบือที่ท่านเป็นของคนๆหนึ่งจ้างผู้มีชื่อเสียง แม้ได้ความว่าอยู่ในความครอบครองของผู้เลี้ยงนั้นก็จริง แต่ได้ความว่ากระบือนั้นเป็นของอีกคนหนึ่ง ซึ่งไม่ปรากฎในคำฟ้องดังนี้ ถือว่าทางพิจารณาต่างกับฟ้องในข้อสำคัญในคดี ต้องพิพากษายกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2487
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการพิสูจน์ความเป็นเจ้าของทรัพย์สินในที่ดินของผู้อื่น
ในกรณีที่จำเลยรื้อเรือนนอกชานครัวและยุ้งข้าวที่ปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ไปนั้น จำเลยมีสิทธิที่จะนำพยานบุคคลมาสืบว่าทรัพย์เหล่านั้นเป็นของจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 454/2472
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งมรดกตามหลักกฎหมายอิสลาม: การพิสูจน์ความเป็นเจ้าของทรัพย์สินในมรดก
การแบ่งมฤดกตามศาสนาอิสลาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4133/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบทรัพย์สินจากคดียาเสพติด: เจ้าของทรัพย์สินต้องพิสูจน์สิทธิ หากพิสูจน์ไม่ได้ทรัพย์สินตกเป็นของกองทุน
ตามทางไต่สวนผู้คัดค้านนำสืบไม่ได้ว่าทรัพย์สินที่ผู้ร้องขอให้ริบผู้คัดค้านเป็นเจ้าของที่แท้จริง กลับนำสืบเองว่าเป็นทรัพย์สินของ ณ. และ ว. ซึ่ง ณ. และ ว. ไม่ได้ยื่นคำร้องคัดค้านและขอคืนทรัพย์สินดังกล่าวด้วยตนเอง แม้ผู้คัดค้านจะเป็นบิดาของ ณ. และสามีของ ว. ก็ไม่อาจขอคืนทรัพย์สินแทนได้ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 29 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10504/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดสัญญาเช่าและการใช้สิทธิของเจ้าของทรัพย์สินในการเข้ายึดคืน กรณีผู้เช่าไม่ปฏิบัติตามสัญญา
เมื่อสัญญาเช่าทรัพย์สินพิพาทสิ้นสุดลง ผู้เช่าก็ย่อมสิ้นสิทธิที่จะอยู่อาศัยหรือใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่าอยู่แล้ว ดังนั้น ข้อตกลงในสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมที่ระบุว่า หากผู้เช่ายังคงอยู่ในทรัพย์สินที่เช่าต่อไปโดยไม่มีสิทธิตามสัญญาเช่า และผู้ให้เช่าได้แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้เช่าออกไปจากทรัพย์สินที่เช่าภายใน 30 วัน ก็ให้ผู้ให้เช่ามีสิทธิเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าได้ทันทีนั้น มิได้ทำให้คู่สัญญาฝ่ายใดเสียเปรียบหรือมีผลกระทบต่อบุคคลภายนอก จนอาจก่อให้เกิดปัญหาความไม่สงบเรียบร้อยในสังคมหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่ประการใด แต่กลับเป็นการย้ำเตือนให้คู่สัญญาต้องประพฤติปฏิบัติตามสัญญาเช่าเพื่อมิให้เกิดปัญหาขึ้นในภายหลัง ข้อตกลงดังกล่าวหาได้มีลักษณะเป็นการส่งเสริมหรือชี้นำให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้กำลังบังคับและให้มีการทำร้ายกันโดยพลการไม่ ข้อตกลงดังกล่าวจึงมิได้มีวัตถุประสงค์ที่เป็นการขัดต่อกฎหมายและขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
จำเลยร่วมได้ขายทรัพย์สินที่เช่าให้แก่บุคคลภายนอก อันเป็นเหตุให้สัญญาเช่าสิ้นสุดลงตามข้อตกลงในสัญญาเช่า โดยจำเลยร่วมมีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าแจ้งให้โจทก์ออกจากทรัพย์สินที่เช่าแล้ว โจทก์ก็ควรจะต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่าโดยยินยอมออกไปจากทรัพย์สินที่เช่าโดยดี เมื่อโจทก์ประพฤติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ยินยอมออกไป จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าซึ่งมีสิทธิใช้สอย ติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองใช้กลุ่มบุคคลประมาณ 50 คน เข้ายึดถือครอบครองโรงแรมพิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการใช้สิทธิในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ติดตามเอาคืนทรัพย์สินของตนจากโจทก์ซึ่งเป็นผู้ไม่มีสิทธิที่จะครอบครองและใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่าต่อไปได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
จำเลยร่วมได้ขายทรัพย์สินที่เช่าให้แก่บุคคลภายนอก อันเป็นเหตุให้สัญญาเช่าสิ้นสุดลงตามข้อตกลงในสัญญาเช่า โดยจำเลยร่วมมีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าแจ้งให้โจทก์ออกจากทรัพย์สินที่เช่าแล้ว โจทก์ก็ควรจะต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่าโดยยินยอมออกไปจากทรัพย์สินที่เช่าโดยดี เมื่อโจทก์ประพฤติผิดสัญญาเช่าโดยไม่ยินยอมออกไป จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าซึ่งมีสิทธิใช้สอย ติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองใช้กลุ่มบุคคลประมาณ 50 คน เข้ายึดถือครอบครองโรงแรมพิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการใช้สิทธิในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ติดตามเอาคืนทรัพย์สินของตนจากโจทก์ซึ่งเป็นผู้ไม่มีสิทธิที่จะครอบครองและใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่าต่อไปได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1416/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลางตาม พ.ร.บ.แร่: หน้าที่การพิสูจน์ของเจ้าของทรัพย์สินในการป้องกันการกระทำผิด
ผู้ร้องขอให้ริบรถของกลางตาม พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2510 มาตรา 154 ซึ่งมาตราดังกล่าววรรคท้าย บัญญัติให้เป็นหน้าที่ของผู้คัดค้านผู้ขอคืนของกลาง ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สิน ต้องพิสูจน์ให้ศาลเชื่อว่าผู้คัดค้านไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิดและจะมีการนำทรัพย์สินของกลางดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิด อีกทั้งผู้คัดค้านได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้วที่จะป้องกันมิให้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ศาลจึงจะไม่ริบของกลาง แต่ทางนำสืบของผู้คัดค้านได้ความเพียงว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของทรัพย์สินของกลางดังกล่าวและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยกับการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสี่อันเป็นข้อนำสืบตาม ป.อ. มาตรา 36 ซึ่ง พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2510 มาตรา 154 วรรคท้าย มิให้นำมาใช้บังคับ เมื่อผู้คัดค้านไม่สามารถพิสูจน์ข้ออ้างตามพระราชบัญญัติแร่ฯ ดังกล่าวได้ พยานหลักฐานของผู้คัดค้านจึงไม่เพียงพอที่จะให้ศาลสั่งคืนทรัพย์สินของกลางแก่ผู้คัดค้าน