คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เพิกถอนนิติกรรม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 218 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 301/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินเมื่อผู้ขายทราบสิทธิซื้อคืนของผู้เช่าและกระทำการโดยไม่สุจริต
โจทก์ใช้สิทธิขอซื้อที่นาพิพาทคืนโดยยื่นคำร้องขอต่อประธานคชก.ตำบลและทำหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดแล้วจำเลยที่1ได้จดทะเบียนโอนขายที่นาพิพาทให้แก่จำเลยที่2โดยจำเลยทั้งสองทราบเรื่องที่โจทก์ขอซื้อที่นาพิพาทคืนการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการกระทำไม่สุจริตการที่โจทก์มีสิทธิซื้อที่นาพิพาทคืนเป็นกรณีที่โจทก์มีสิทธิตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา54เมื่อจำเลยที่1โอนที่นาพิพาทให้แก่จำเลยที่2โดยไม่สุจริตโจทก์จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อที่นาพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้ ศาลอุทธรณ์มิได้กำหนดเวลาให้โจทก์ชำระราคาที่นาพิพาทคืนศาลฎีกากำหนดเวลาให้โจทก์ชำระราคาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2463/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายเนื่องจากจำเลยทั้งสามทราบถึงข้ออายัดและคดีแพ่ง แต่ยังคงซื้อขายทรัพย์สิน ทำให้โจทก์เสียเปรียบ
จำเลยที่1ที่2และที่3จดทะเบียนซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทภายหลังจากที่ทราบว่าโจทก์เคยขออายัดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวและโจทก์ฟ้องจำเลยที่1ขอแบ่งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแล้วเช่นนี้จำเลยทั้งสามจะอ้างว่าจดทะเบียนซื้อขายกันโดยสุจริตมิได้และการที่จำเลยที่1นำที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ไปขายโดยพลการโดยปราศจากอำนาจโดยโจทก์มิได้พอใจในราคาที่ขายย่อมทำให้โจทก์เสียเปรียบอยู่ในตัว โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา237อันเป็นสิทธิเรียกร้องที่ไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้จึงไม่ใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีที่จะต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำประเด็นครอบครองปรปักษ์ แม้มีประเด็นเพิกถอนนิติกรรมเกี่ยวข้อง ศาลยกฟ้องตามมาตรา 148
โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในคดีนี้กับพวกต่อศาลชั้นต้นขอให้แสดงกรรมสิทธิ์และเรียกทรัพย์คืนโดยอ้างว่าวันที่5เมษายน2484บ.ด้วยความยินยอมของจ. เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกับโจทก์โดยบ.ยอมรับเอาที่ดินโฉนดเลขที่1841กับที่ดินโฉนดเลขที่1842ของโจทก์และบ. ด้วยความรู้เห็นยินยอมของจ. ยอมให้โจทก์เข้าถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่419พร้อมสิ่งปลูกสร้างหลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างเข้าครอบครองโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า10ปีแล้วในพ.ศ.2499โจทก์ได้ปลูกสร้างตึกเลขที่234สูง5ชั้นชั้นล่างของตึกนี้ซึ่งปลูกอยู่ในโฉนดเลขที่419ด้านติดถนนมหาจักรกั้นเป็นห้องเลขที่214/4และได้เปลี่ยนแปลงห้องแถวไม้แต่เดิมโดยรื้อของเก่าออกแล้วปลูกเป็นตึกอาคารพาณิชย์2ชั้นรวม7คูหาโจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างที่โจทก์สร้างขึ้นขอให้พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่419พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของพิพากษายกฟ้องโจทก์ฟ้องคดีนี้ว่าโจทก์ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่419เฉพาะส่วนปลูกตึก5ชั้นและเรือนไม้เลขที่234และตึกแถวเลขที่214/4ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่419พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นของโจทก์และขอให้เพิกถอนการโอนแม้ในคดีก่อนมีประเด็นเรื่องแลกเปลี่ยนที่ดินกันหรือไม่แต่ก็มีประเด็นเรื่องครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วยซึ่งเป็นประเด็นเรื่องเดียวกันส่วนประเด็นเรื่องขอให้เพิกถอนนิติกรรมเป็นประเด็นเกี่ยวเนื่องกันประเด็นครอบครองปรปักษ์โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีดังกล่าวมาฟ้องกันอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำประเด็นครอบครองปรปักษ์ แม้มีประเด็นเพิกถอนนิติกรรมเกี่ยวเนื่อง ศาลฎีกาตัดสินฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในคดีนี้กับพวกต่อศาลชั้นต้นขอให้แสดงกรรมสิทธิ์และเรียกทรัพย์คืนโดยอ้างว่าวันที่5เมษายน2484บ. ด้วยความยินยอมของจ. เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกับโจทก์โดยบ.ยอมรับเอาที่ดินโฉนดเลขที่1841กับที่ดินโฉนดเลขที่1842ของโจทก์และบ. ด้วยความรู้เห็นยินยอมของจ. ยอมให้โจทก์เข้าถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่419พร้อมสิ่งปลูกสร้างหลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างเข้าครอบครองโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า10ปีแล้วในพ.ศ.2499โจทก์ได้ปลูกสร้างตึกเลขที่234สูง5ชั้นชั้นล่างของตึกนี้ซึ่งปลูกอยู่ในโฉนดเลขที่419ด้านติดถนนมหาจักรกั้นเป็นห้องเลขที่214/4และได้เปลี่ยนแปลงห้องแถวไม้แต่เดิมโดยรื้อของเก่าออกแล้วปลูกเป็นตึกอาคารพาณิชย์2ชั้นรวม7คูหาโจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างที่โจทก์สร้างขึ้นขอให้พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่419พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของพิพากษายกฟ้องโจทก์ฟ้องคดีนี้ว่าโจทก์ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่419เฉพาะส่วนปลูกตึก5ชั้นและเรือนไม้เลขที่234และตึกแถวเลขที่214/4ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่419พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นของโจทก์และขอให้เพิกถอนการโอนแม้ในคดีก่อนมีประเด็นเรื่องแลกเปลี่ยนที่ดินกันหรือไม่แต่ก็มีประเด็นเรื่องครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วยซึ่งเป็นประเด็นเรื่องเดียวกันส่วนประเด็นเรื่องขอให้เพิกถอนนิติกรรมเป็นประเด็นเกี่ยวเนื่องกันประเด็นครอบครองปรปักษ์โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีดังกล่าวมาฟ้องกันอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7927/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์และการเพิกถอนนิติกรรม ศาลพิจารณาการเพิกถอนได้เมื่อผู้ครอบครองมีสิทธิจดทะเบียนก่อน
พันตำรวจเอก ป.ได้ยกที่พิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของตนให้โจทก์ และโจทก์ได้เข้าครอบครองปลูกบ้านในที่พิพาทตลอดมาเกิน 10 ปีแล้วต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ พันตำรวจเอก ป.ได้คัดค้าน แม้ขณะนั้นคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลก็ถือว่าโจทก์อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนและมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่พันตำรวจเอก ป.ได้ยกที่ดินทั้งแปลงให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เฉพาะส่วนที่พิพาทอันเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบได้
คำสั่งตัดพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2535 และนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 31 สิงหาคม 2535 จำเลยมีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคัดค้านคำสั่งนั้นได้ แต่ก็หาได้ทำไม่ จำเลยจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 226

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7927/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ & การเพิกถอนนิติกรรม: สิทธิโจทก์เหนือกว่านิติกรรมที่ทำระหว่างคดีความ
พันตำรวจเอกป.ได้ยกที่พิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของตนให้โจทก์และโจทก์ได้เข้าครอบครองปลูกบ้านในที่พิพาทตลอดมาเกิน10ปีแล้วต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์พันตำรวจเอกป.ได้คัดค้านแม้ขณะนั้นคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลก็ถือว่าโจทก์อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนและมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่พันตำรวจเอกป.ได้ยกที่ดินทั้งแปลงให้แก่จำเลยที่1และที่2เฉพาะส่วนที่พิพาทอันเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบได้ คำสั่งตัดพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่28กรกฎาคม2535และนัดฟังคำพิพากษาวันที่31สิงหาคม2535จำเลยมีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคัดค้านคำสั่งนั้นได้แต่ก็หาได้ทำไม่จำเลยจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา226

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3090/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนที่ดินและสิทธิในการฟ้องเพิกถอนนิติกรรม เมื่อไม่มีนิติสัมพันธ์โดยตรงระหว่างลูกหนี้กับผู้รับประโยชน์
ต.ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยร่วมที่ 1 ซึ่งเป็นผู้มีชื่อในโฉนดที่ดินพิพาท และทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 แต่ต่อมา ต.ให้จำเลยร่วมที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยร่วมที่ 2 และจำเลยร่วมที่ 2 โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ โดยรู้อยู่แล้วว่า ต.ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2ก็ตาม แต่จำเลยร่วมที่ 1 ไม่ใช่ลูกหนี้ของจำเลยที่ 2 เพราะจำเลยร่วมที่ 1 ไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับจำเลยที่ 2 ฉะนั้นการที่จำเลยร่วมที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยร่วมที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนตาม ป.พ.พ.มาตรา 237 วรรคแรกได้
ต.ซึ่งทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 โดยไม่มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาท ต.เพียงแต่ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยร่วมที่ 1 ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทเท่านั้นจำเลยที่ 2 จึงไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับจำเลยร่วมที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่เจ้าหนี้ของจำเลยร่วมที่ 1 ทั้งมิใช่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จำเลยร่วมที่ 1จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยที่ 2 ได้ก่อน ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1300จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างจำเลยร่วมที่ 1 กับจำเลยร่วมที่ 2 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7247/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนนิติกรรมการโอนต้องฟ้องลูกหนี้ร่วมด้วย หากทิ้งฟ้องลูกหนี้ ศาลไม่มีอำนาจพิพากษาเพิกถอน
การฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 นั้น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จะต้องฟ้องลูกหนี้เข้ามาในคดีด้วย ศาลจึงจะมีอำนาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนได้ แม้โจทก์จะฟ้องลูกหนี้เป็นจำเลยที่ 1แต่ต่อมาศาลได้สั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความเพราะโจทก์ทิ้งฟ้องซึ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176บัญญัติให้ถือเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้อง ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์มิได้ฟ้องลูกหนี้เข้ามาในคดีเลย ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนได้ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างศาลก็มีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7247/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนนิติกรรมต้องฟ้องลูกหนี้ร่วมด้วย หากทิ้งฟ้องหรือจำหน่ายคดี ศาลไม่มีอำนาจพิพากษา
การฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237 จะต้องฟ้องลูกหนี้เข้ามาในคดีด้วย โจทก์ได้ฟ้องลูกหนี้คือจำเลยที่ 1 แล้ว แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มรณะก่อนฟ้องศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์แถลง โจทก์เพิกเฉย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 ถือได้ว่าโจทก์มิได้ฟ้องลูกหนี้คือจำเลยที่ 1 เข้ามาในคดีเลย ดังนั้นศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้เพิกถอนการโอนโดยโจทก์มิได้ฟ้องลูกหนี้คือจำเลยที่ 1หรือทายาทผู้รับมรดกของจำเลยที่ 1 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3385/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนนิติกรรมซื้อขาย-จำนองที่ดินจากใบมอบอำนาจปลอม แม้เป็นกรรมสิทธิ์รวม
โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินกับบ้านพิพาทบนที่ดินดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว แม้จะฟังว่าที่ดินกับบ้านพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์กับ ส. การทำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของเจ้าของรวมจะมีผลผูกพันในส่วนของเจ้าของรวมคนใดโดยไม่ผูกพันในส่วนของเจ้าของรวมคนอื่นนั้น จะต้องเป็นการทำนิติกรรมที่ชอบด้วยกฎหมายเพียงแต่ไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมคนอื่นเท่านั้นนิติกรรมนั้นจึงจะมีผลผูกพันเฉพาะส่วนของผู้ทำนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคแรก แต่คดีนี้ส. ใช้ใบมอบอำนาจปลอมดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมดังนั้น จึงถือได้ว่านิติกรรมทั้งหมดไม่มีผลผูกพันโจทก์ และต้องถือว่านิติกรรมซื้อขายกับจำนองที่ดินและบ้านพิพาทมิได้เกิดขึ้นโจทก์จึงมีอำนาจขอให้เพิกถอนการโอนทั้งหมด
of 22