พบผลลัพธ์ทั้งหมด 638 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2194-2195/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกาชี้ การพิจารณาคำร้องเลิกจ้างต้องพิจารณาประเด็นการกระทำผิดระเบียบข้อบังคับจริง และเหตุผลในการเลิกจ้าง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขออนุญาตศาลแรงงานกลางเพื่อเลิกจ้างผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 52 โดยอ้างว่าผู้คัดค้านทั้งสองฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้อง ประเด็นแห่งคดีจึงมีว่าผู้คัดค้านทั้งสองได้ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับดังกล่าวของผู้ร้องหรือไม่และหากผู้คัดค้านทั้งสองฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับกรณีมีเหตุอนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษผู้คัดค้านทั้งสองด้วยการเลิกจ้างได้หรือไม่ ดังนั้น การที่ศาลแรงงานกลางพิจารณาหลักฐานเพื่อฟังข้อเท็จจริงว่าผู้คัดค้านทั้งสองฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของผู้ร้องหรือไม่แล้วจึงพิจารณาต่อไปว่าสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษผู้คัดค้านทั้งสองด้วยการเลิกจ้างหรือไม่เพียงใด จึงเป็นการวินิจฉัยที่ตรงประเด็นแห่งคดีแล้ว และไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติว่าศาลต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่คณะกรรมการสอบสวนของผู้ร้องรายงานมา คำสั่งของศาลแรงงานกลางจึงชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 51วรรคหนึ่งและมาตรา 52 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1427/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พิจารณาจากเหตุผลความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่จำเป็นต้องมีการสอบสวนก่อน
การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ศาลจะต้องพิจารณาว่ามีเหตุเพียงพอให้เลิกจ้างหรือไม่เป็นสำคัญ เมื่อฟังได้ว่าโจทก์บกพร่องต่อหน้าที่ ละเลยไม่ตรวจสอบการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชา จำเลยที่ 1 จึงเลิกจ้างโจทก์โดยมีเหตุผลเพียงพอ ลำพังแต่ไม่มีการสอบสวนก่อนไม่ทำให้การเลิกจ้างเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9714/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลาชำระค่าขึ้นศาลและค่าฤชาธรรมเนียม: ศาลพิจารณาความเหมาะสมตามระยะเวลาที่ได้รับและเหตุผลประกอบ
นับจากวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จำเลยได้ขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ ขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ขอขยายระยะเวลาชำระค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ และขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แทนโจทก์ตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น รวมเป็นเวลาถึง 1 ปีเศษ นับว่าจำเลยมีเวลาเตรียมเงินค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนานเพียงพอแล้ว ตามคำร้องของจำเลยก็ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะทำให้น่าเชื่อว่าจำเลยจะวางเงินค่าธรรมเนียมที่ต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ภายในกำหนดเวลาที่ขอขยายไว้ กรณียังไม่อาจถือว่ามีพฤติการณ์พิเศษที่จะขยายระยะเวลาวางเงินตามคำร้องของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9502/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องขอพิจารณาใหม่ต้องระบุเหตุที่คำพิพากษาเดิมไม่ชอบ มิใช่เพียงอ้างว่าหากต่อสู้แล้วจะชนะ
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่โดยอ้างแต่เพียงว่า ถ้าจำเลยได้ต่อสู้คดีจำเลยต้องชนะคดีได้ คำร้องของจำเลยไม่ได้กล่าวโดยชัดแจ้งว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยแพ้คดีไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องด้วยเหตุผลประการใด และหากมีการพิจารณาคดีใหม่แล้วศาลอาจพิพากษาให้จำเลยชนะคดีได้อย่างไร จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.มาตรา 208 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7402-7403/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าตอบแทนการทำงาน (ค่าน้ำมัน/โทรศัพท์) ถือเป็นค่าจ้างตามกฎหมาย และการเลิกจ้างที่ไม่ระบุเหตุผล
นายจ้างจ่ายค่าน้ำมันรถและค่าโทรศัพท์ให้แก่ลูกจ้างในลักษณะเหมาจ่ายเป็นรายเดือน เป็นเงินเท่า ๆ กันทุกเดือน โดยไม่คำนึงว่าลูกจ้างจะได้ใช้จ่ายเงินเป็นค่าน้ำมันรถและค่าโทรศัพท์หรือไม่ หรือได้ใช้จ่ายไปเป็นจำนวนมากน้อย เท่าใด ทั้งลูกจ้างไม่ต้องแสดงใบเสร็จค่าน้ำมันรถหรือใบเสร็จค่าโทรศัพท์เป็นหลักฐานในการรับเงินดังกล่าว เงินค่าน้ำมันรถและค่าโทรศัพท์ดังกล่าวจึงเป็นเงินที่นายจ้างตกลงจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานให้แก่ลูกจ้าง ตามสัญญาจ้าง ถือได้ว่าเป็นค่าจ้างตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5
บทบัญญัติตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 วรรคสาม ที่ว่า "ในกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่าย บอกเลิกสัญญาจ้าง ถ้านายจ้างไม่ได้ระบุเหตุผลไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง นายจ้างจะยกเหตุตามมาตรา 119 ขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้" ไม่รวมถึงข้อต่อสู้ในเรื่องการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ศาลจะต้องพิจารณาถึงสาเหตุแห่งการเลิกจ้างของนายจ้างว่ามีเหตุอันสมควรหรือไม่ ซึ่งเหตุแห่งการเลิกจ้างดังกล่าวอาจไม่ใช่เหตุตามที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 ก็ได้ การที่ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้ระบุเหตุผลไว้ในหนังสือเลิกจ้าง จำเลยจะยกเหตุว่าจำเลยจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์มีความบกพร่องหรือมีความผิดตามคำให้การของจำเลยมาเป็นข้อต่อสู้ในการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมไม่ได้ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
บทบัญญัติตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 วรรคสาม ที่ว่า "ในกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่าย บอกเลิกสัญญาจ้าง ถ้านายจ้างไม่ได้ระบุเหตุผลไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง นายจ้างจะยกเหตุตามมาตรา 119 ขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้" ไม่รวมถึงข้อต่อสู้ในเรื่องการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ศาลจะต้องพิจารณาถึงสาเหตุแห่งการเลิกจ้างของนายจ้างว่ามีเหตุอันสมควรหรือไม่ ซึ่งเหตุแห่งการเลิกจ้างดังกล่าวอาจไม่ใช่เหตุตามที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 ก็ได้ การที่ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้ระบุเหตุผลไว้ในหนังสือเลิกจ้าง จำเลยจะยกเหตุว่าจำเลยจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์มีความบกพร่องหรือมีความผิดตามคำให้การของจำเลยมาเป็นข้อต่อสู้ในการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมไม่ได้ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6840/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ศาลพิจารณาเหตุผลที่กว้างกว่าความผิดร้ายแรงตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานได้
การเลิกจ้างของนายจ้างเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 หรือไม่ ต้องพิจารณาถึงเหตุแห่งการเลิกจ้างว่ามีเหตุจริงหรือไม่ และเหตุนั้นเป็นเหตุสมควร ที่นายจ้างจะเลิกจ้างหรือไม่ เหตุดังกล่าวอาจเกิดจากการกระทำของลูกจ้างหรือเหตุอื่นที่มิใช่การกระทำหรือความผิด ของลูกจ้างก็ได้ ส่วนการเลิกจ้างที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยจะต้องปรากฏว่าลูกจ้างได้กระทำความผิดตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119
ข้อเท็จจริงที่จะนำมาประกอบการวินิจฉัยว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ มีขอบเขตกว้างกว่าที่ได้บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119
แม้การกระทำของโจทก์จะไม่เป็นความผิดร้ายแรงถึงขนาดที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ก็ตาม แต่โจทก์ไม่สามารถทำงานร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชาได้ และโจทก์ทำงานบกพร่องหลายครั้ง ผู้บังคับบัญชา เตือนแล้วยังไม่ดีขึ้นทำให้จำเลยเสียหาย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุอันสมควรไม่เป็นการ เลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
จำเลยเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ค่าจ้างค้างชำระและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ แต่โจทก์และจำเลยยังมีข้อโต้เถียงกันว่า จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์หรือไม่ เพียงใด ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจไม่จ่ายเงินดังกล่าวแก่โจทก์โดยปราศจากเหตุอันสมควร จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ร้อยละ 15 ของเงิน ที่ค้างจ่ายทุกระยะ 7 วัน ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 9 วรรคสอง
ข้อเท็จจริงที่จะนำมาประกอบการวินิจฉัยว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ มีขอบเขตกว้างกว่าที่ได้บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119
แม้การกระทำของโจทก์จะไม่เป็นความผิดร้ายแรงถึงขนาดที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ก็ตาม แต่โจทก์ไม่สามารถทำงานร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชาได้ และโจทก์ทำงานบกพร่องหลายครั้ง ผู้บังคับบัญชา เตือนแล้วยังไม่ดีขึ้นทำให้จำเลยเสียหาย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุอันสมควรไม่เป็นการ เลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
จำเลยเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ค่าจ้างค้างชำระและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ แต่โจทก์และจำเลยยังมีข้อโต้เถียงกันว่า จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์หรือไม่ เพียงใด ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจไม่จ่ายเงินดังกล่าวแก่โจทก์โดยปราศจากเหตุอันสมควร จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ร้อยละ 15 ของเงิน ที่ค้างจ่ายทุกระยะ 7 วัน ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 9 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 621/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: ศาลฎีกาเห็นว่าการอุทธรณ์ประเด็นเหตุผลความจำเป็นในการเลิกจ้างเป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมาย
ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยประสบภาวะขาดทุนจริงแต่ผลประกอบการในปี 2542 ขาดทุนน้อยกว่าปี 2541 และจำเลยยังได้เปิดสถานที่ขายคอนกรีตเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง แสดงว่ากิจการของจำเลยดีขึ้น การเลิกจ้างโจทก์เป็นเพียงนโยบายลดค่าใช้จ่ายเท่านั้นเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ดังนั้น ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยประสบภาวะขาดทุนอย่างหนักในปี พ.ศ. 2541 และ 2542จำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมทั้งปรับโครงสร้างทางบุคลากรด้วยเพื่อให้กิจการของจำเลยอยู่ต่อไปได้ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์มิใช่เป็นการกลั่นแกล้งเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้น เป็นกรณีที่ต้องนำข้อเท็จจริงที่รับฟังยุติแล้วว่าจำเลยประสบภาวะขาดทุนในปี พ.ศ. 2541 และ 2542และการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์อันสืบเนื่องจากสาเหตุดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควรหรือไม่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2770/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายและการกระทำโดยบันดาลโทสะ ศาลพิจารณาพยานหลักฐานและเหตุผลในการทำร้ายร่างกายเพื่อตัดสินโทษ
จำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายโดยใช้มือตบหน้าเพียง 2 ครั้งส่วนการที่กระดูกต้นแขนซ้ายของผู้เสียหายหักอาจเกิดจากผู้เสียหายวิ่งล้มลง มิได้เกิดจากจำเลยใช้ไม้ตีผู้เสียหายดังที่โจทก์อ้าง เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บจากการกระทำของจำเลยดังกล่าวมากน้อยเพียงใด จึงฟังได้เพียงว่า การกระทำของจำเลยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ผู้เสียหายเกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391 และการที่ผู้เสียหายตะโกนด่าถึงมารดาจำเลยว่ามารดาจำเลยเป็นโสเภณีและถึงแก่กรรมด้วยโรคเอดส์ เป็นการกล่าวหาว่ามารดาจำเลยสำส่อนทางเพศ ถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยตบหน้าผู้เสียหาย 2ครั้ง ในขณะนั้นจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ซึ่งศาลฎีกาลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรคท้ายประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 832/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องขอพิจารณาใหม่ต้องแสดงเหตุผลที่ชัดเจนว่าคำพิพากษาเดิมไม่ถูกต้องและมีพยานหลักฐานสนับสนุน
จำเลยยื่นคำร้องว่า หากทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องก็ต้องต่อสู้คดีแน่นอน เพราะจำเลยไม่เคยทำสัญญากู้เงิน สัญญาเบิกเงินเกินบัญชี และสัญญาค้ำประกันตามฟ้องโจทก์ หากจำเลยได้มีโอกาสต่อสู้คดีและนำพยานหลักฐานเข้าสืบแล้วจะทำให้คำพิพากษาของศาลเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยเป็นเพียงข้ออ้างลอย ๆ ไม่ได้ยกเหตุผลขึ้นประกอบโดยละเอียดและชัดแจ้งว่า หากจำเลยได้ต่อสู้คดีและนำพยานหลักฐานเข้าสืบแล้วจะทำให้คำพิพากษาของศาลเปลี่ยนแปลงอย่างไร ทั้งไม่ได้อ้างเหตุว่าคำพิพากษาไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนตรงไหน ส่วนใด นอกจากนั้นก็ไม่ได้แสดงเหตุผลว่าหากมีการอนุญาตให้พิจารณาใหม่ คำพิพากษาจะเปลี่ยนแปลงเป็นผลดีแก่จำเลยอย่างไร จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 208 วรรคสอง
ศาลชั้นต้นตรวจรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยแล้วการสั่งรับคำร้องเป็นเพียงกระบวนการเบื้องต้นที่จะให้คำร้องนั้นเข้าสู่กระบวนพิจารณาของศาล มิได้ตัดอำนาจของศาลในการพิจารณาคำร้องนั้นต่อไปว่าชอบหรือไม่ ในชั้นตรวจรับคำร้อง แม้ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งยกคำร้องทันที แต่ได้นัดไต่สวนคำร้องไว้ก็ตาม เมื่อถึงวันนัด หากศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งยกคำร้องได้ เมื่อเห็นว่าคำร้องดังกล่าวมิได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บทกฎหมายกำหนดไว้ หาจำต้องไต่สวนต่อไปไม่ เพราะเป็นการเปล่าประโยชน์
ศาลชั้นต้นตรวจรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยแล้วการสั่งรับคำร้องเป็นเพียงกระบวนการเบื้องต้นที่จะให้คำร้องนั้นเข้าสู่กระบวนพิจารณาของศาล มิได้ตัดอำนาจของศาลในการพิจารณาคำร้องนั้นต่อไปว่าชอบหรือไม่ ในชั้นตรวจรับคำร้อง แม้ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งยกคำร้องทันที แต่ได้นัดไต่สวนคำร้องไว้ก็ตาม เมื่อถึงวันนัด หากศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งยกคำร้องได้ เมื่อเห็นว่าคำร้องดังกล่าวมิได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บทกฎหมายกำหนดไว้ หาจำต้องไต่สวนต่อไปไม่ เพราะเป็นการเปล่าประโยชน์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 832/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องขอพิจารณาใหม่ต้องระบุเหตุผลชัดเจนว่าคำพิพากษาเดิมคลาดเคลื่อนอย่างไร การอ้างเพียงว่าหากได้ต่อสู้คดีแล้วผลจะเปลี่ยนไปไม่เพียงพอ
จำเลยยื่นคำร้องว่า หากทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องก็ต้องต่อสู้คดีแน่นอน เพราะจำเลยไม่เคยทำสัญญากู้เงิน สัญญาเบิกเงินเกินบัญชี และสัญญาค้ำประกันตามฟ้องโจทก์ หากจำเลยได้มีโอกาสต่อสู้คดีและนำพยานหลักฐานเข้าสืบแล้วจะทำให้คำพิพากษาของศาลเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยเป็นเพียงข้ออ้างลอย ๆ ไม่ได้ยกเหตุผลขึ้นประกอบโดยละเอียดและชัดแจ้งว่า หากจำเลยได้ต่อสู้คดีและนำพยานหลักฐานเข้าสืบแล้ว จะทำให้คำพิพากษาของศาลเปลี่ยนแปลงอย่างไร ทั้งไม่ได้อ้างเหตุว่าคำพิพากษาไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนตรงไหน ส่วนใด นอกจากนั้นก็ไม่ได้แสดงเหตุผลว่า หากมีการอนุญาตให้พิจารณาใหม่ คำพิพากษาจะเปลี่ยนแปลงเป็นผลดีแก่จำเลยอย่างไร จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง
ศาลชั้นต้นตรวจรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยแล้วการสั่งรับคำร้องเป็นเพียงกระบวนการเบื้องต้นที่จะให้คำร้องนั้นเข้าสู่กระบวนพิจารณาของศาล มิได้ตัดอำนาจของศาลในการพิจารณาคำร้องนั้นต่อไปว่าชอบหรือไม่ ในชั้นตรวจรับคำร้อง แม้ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งยกคำร้องทันที แต่ได้นัดไต่สวนคำร้องไว้ก็ตาม เมื่อถึงวันนัด หากศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งยกคำร้องได้ เมื่อเห็นว่า คำร้องดังกล่าวมิได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บทกฎหมายกำหนดไว้ หาจำต้อง ไต่สวนต่อไปไม่ เพราะเป็นการเปล่าประโยชน์
ศาลชั้นต้นตรวจรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยแล้วการสั่งรับคำร้องเป็นเพียงกระบวนการเบื้องต้นที่จะให้คำร้องนั้นเข้าสู่กระบวนพิจารณาของศาล มิได้ตัดอำนาจของศาลในการพิจารณาคำร้องนั้นต่อไปว่าชอบหรือไม่ ในชั้นตรวจรับคำร้อง แม้ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งยกคำร้องทันที แต่ได้นัดไต่สวนคำร้องไว้ก็ตาม เมื่อถึงวันนัด หากศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งยกคำร้องได้ เมื่อเห็นว่า คำร้องดังกล่าวมิได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บทกฎหมายกำหนดไว้ หาจำต้อง ไต่สวนต่อไปไม่ เพราะเป็นการเปล่าประโยชน์