คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ไม่สุจริต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 369 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1105/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้สิทธิฎีกาโดยไม่สุจริต และการไม่โต้แย้งประเด็นแจ้งนัดในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกามิพักการไต่สวน
จำเลยฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับฟ้องแย้งของจำเลยและโจทก์ไม่คัดค้าน เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย จำเลยก็ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งในเรื่องนี้ ครั้นศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยเห็นว่าการนำสืบของจำเลยเป็นการนำสืบข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากที่ฟ้องแย้ง จำเลยจึงได้ยื่นฎีกาและยกปัญหาว่าฟ้องแย้งของจำเลยไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมขึ้นเพื่อให้ศาลฎีกาวินิจฉัยและพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นให้สั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย ไม่ว่าจะโดยเจตนาเพื่อที่จำเลยจะได้มีโอกาสดำเนินคดีแก่โจทก์ในเรื่องนี้ใหม่หรือไม่ก็ตาม การใช้สิทธิฎีกาของจำเลยส่อไปในทางไม่สุจริตในอันที่จะแสวงหาความยุติธรรมต่อศาลในทางใดทางหนึ่งให้เสร็จสิ้นกันไปในคราวเดียวกัน กรณีไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยปัญหาว่าฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมหรือไม่
จำเลยทราบวันนัดสืบพยานโจทก์ที่เหลือต่อและวันนัดดังกล่าวเป็นวันที่ศาลนัดฟังคำพิพากษาแล้ว แต่จำเลยไม่มาศาล ศาลจึงประกาศแจ้งวันนัดให้จำเลยทราบที่หน้าศาล และเมื่อศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังแล้ว จำเลยได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้นรวม 4 ครั้ง ซึ่งทุกครั้งศาลชั้นต้นก็ได้อนุญาตให้ขยายระยะเวลาตามที่จำเลยขอทุกครั้ง และต่อมาจำเลยก็ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดที่ศาลชั้นต้นขยายระยะเวลาให้ แสดงว่าจำเลยได้ทราบคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว อีกทั้งในชั้นยื่นอุทธรณ์จำเลยมิได้โต้แย้งในเรื่องการแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาไว้ในฟ้องอุทธรณ์ของจำเลย จำเลยเพิ่งยกปัญหานี้ขึ้นเป็นข้อโต้แย้งในชั้นฎีกา กรณีจึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะมีคำสั่งย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นมีหมายแจ้งนัดฟังคำพิพากษาให้จำเลยทราบใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7440/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เพิกถอนการโอนทรัพย์สินหลังล้มละลาย: ผู้รับโอนไม่สุจริต/ไม่มีสิทธิคุ้มครองตามมาตรา 116
ผู้ร้องร้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้านที่ 1 ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 114 และระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 2 และให้เพิกถอนการจำนองที่ดินพิพาท พร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างผู้คัดค้านที่ 2 กับผู้คัดค้านที่ 3 ตามมาตรา 116 สำหรับการโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้านที่ 1 ดังนี้ ผู้คัดค้านที่ 1มีภาระการพิสูจน์ว่าผู้คัดค้านที่ 1 รับโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน
ผู้คัดค้านที่ 1 ผู้รับโอนรับโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินจากลูกหนี้โดยรู้อยู่ว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ผู้คัดค้านที่ 1 จึงรับโอนโดยไม่สุจริต เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 114
ผู้คัดค้านที่ 2 รับโอนที่ดินพิพาทจากผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 3 รับจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากผู้คัดค้านที่ 2 โดยมิได้รับโอนหรือกระทำการใด ๆเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้กับลูกหนี้แต่อย่างใด ผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลภายนอกตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 116 เมื่อผู้คัดค้านที่ 1 รับโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยไม่สุจริตแล้ว ผู้คัดค้านที่ 1 ย่อมไม่ได้สิทธิในที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยชอบ จึงไม่มีสิทธิที่จะโอนทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่ผู้อื่น ผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 จะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 116 ดังกล่าวจะต้องได้ความว่าผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 รับโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย
คดีนี้แม้ข้อเท็จจริง จะได้ความว่าก่อนที่มีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย ผู้คัดค้านที่ 3รับจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากลูกหนี้ แต่ก่อนที่ผู้คัดค้านที่ 3 จะรับจำนองจากผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ได้มีการชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 3 และไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างแล้วทุกครั้ง การรับจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้านที่ 3 กับระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 3และระหว่างผู้คัดค้านที่ 2 กับผู้คัดค้านที่ 3 จึงหาใช่เป็นกรณีสืบเนื่องมาจากสัญญาจำนองเดิมเพียงแต่เป็นการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามสัญญาจำนองเดิมที่ลูกหนี้ทำกับผู้คัดค้านที่ 3ผู้คัดค้านที่ 2 รับโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 3รับจำนองจากผู้คัดค้านที่ 2 หลังจากมีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย ผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 116ไม่จำต้องวินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 สุจริต และเสียค่าตอบแทนหรือไม่
การฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนทรัพย์สินหรือการกระทำใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ตามมาตรา 114 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 นั้น มิใช่เป็นการเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา 113 ไม่มีบทบัญญัติกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6696/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คไม่มีมูลหนี้-การรับโอนโดยไม่สุจริต-จำเลยไม่ต้องรับผิด
โจทก์รับโอนเช็คพิพาทจาก ส.โดยรู้ว่าเป็นเช็คที่จำเลยออกให้แก่ ส.ทนายความเพื่อให้ ส.ช่วยเหลือคดีที่จำเลยถูกฟ้องในความผิดฐานให้ที่พักแก่คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่ไม่มีมูลหนี้ในอันที่จำเลยจะต้องรับผิด โจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาโดยไม่สุจริต จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6696/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คไม่มีมูลหนี้ & การรับโอนโดยไม่สุจริต จำเลยไม่ต้องรับผิด
โจทก์รับโอนเช็คพิพาทจาก ส. โดยรู้ว่าเป็นเช็คที่จำเลยออกให้แก่ ส. ทนายความเพื่อให้ ส. ช่วยเหลือคดีที่จำเลยถูกฟ้องในความผิดฐานให้ที่พักแก่คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่ไม่มีมูลหนี้ในอันที่จำเลยจะต้องรับผิด โจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาโดยไม่สุจริต จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5909/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรุกล้ำที่ดินโดยไม่สุจริต ผู้สืบสิทธิไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย
จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ปลูกสร้างบ้านรุกล้ำที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 จึงต้องทำที่ดินให้เป็นตามเดิมแล้วส่งคืนเจ้าของ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1311 และจำเลยผู้สืบสิทธิของเจ้าของเดิมผู้ปลูกสร้างบ้านโดยไม่สุจริตย่อมไม่ได้รับความคุ้มครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312 เช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 549/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่นำสืบ - การรับโอนทรัพย์สินโดยไม่สุจริต - สิทธิในการครอบครองปรปักษ์
คดีไม่มีการชี้สองสถาน แม้ศาลชั้นต้นกำหนดให้ฝ่ายโจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อนแล้วไม่มีฝ่ายใดสืบพยาน การที่ศาลจะพิพากษาให้ฝ่ายใดชนะคดีก็จะต้องถือหน้าที่นำสืบที่ถูกต้องตามกฎหมายเป็นหลัก ฟ้องโจทก์บรรยายว่า ขณะโจทก์ใช้ชื่อว่า ส. ได้ซื้อที่ดินพร้อมอาคารพิพาท โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมอาคารพิพาทตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารท้ายฟ้อง จำเลยและบริวารเข้าไปอยู่อาศัยในอาคารพิพาทโดยมิชอบจำเลยให้การตอนแรกว่าโจทก์ในขณะนั้นจะใช้ชื่อว่า ส. และจะได้ซื้อที่ดินพร้อมอาคารพิพาทหรือไม่ จำเลยไม่ทราบและไม่รับรอง คำให้การของจำเลยเป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน ถือไม่ได้ว่าจำเลยให้การปฏิเสธคดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทที่ต้องนำสืบในเรื่องชื่อของโจทก์ ที่จำเลยให้การต่อมาว่า โจทก์ได้สมคบกับ ร. และ ป.ฉ้อโกงจำเลย โดย ร. ผู้ทำสัญญาจะขายที่ดินพร้อมอาคารพิพาทให้แก่จำเลย ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมอาคารพิพาทให้แก่ป. และ ป. ได้โอนให้โจทก์โดยโจทก์ทราบดีว่าจำเลยมีสิทธิที่จะได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมอาคารพิพาทตามสัญญาจะซื้อขายที่ได้ทำไว้กับ ร. ดังนี้คำให้การของจำเลยในตอนต่อมานอกจากจะถือว่ารับข้อเท็จจริงในเรื่องชื่อของโจทก์แล้ว ยังถือว่ารับข้อเท็จจริงต่อไปว่าโจทก์คดีนี้ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมอาคารพิพาทอีกด้วย แต่จำเลยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นต่อสู้ว่าโจทก์สมคบกับ ร. และป.โอนที่ดินพร้อมอาคารพิพาทเป็นของโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมอาคารพิพาทให้แก่จำเลย อันเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมอาคารพิพาทโดยไม่สุจริตซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าโจทก์กระทำการโดยสุจริต จำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความตามข้อกล่าวอ้างของจำเลย เมื่อคดีนี้ไม่มีการชี้สองสถานและศาลมีคำสั่งให้โจทก์นำสืบก่อน และเมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์โจทก์ขอเลื่อนคดี ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลไม่รับบัญชีพยานโจทก์ไปแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบต่อไปทั้งหมดและให้นัดสืบพยานจำเลย แต่จำเลยกลับแถลงไม่ติดใจสืบพยานดังนี้ คดีจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์รับโอนที่ดินพร้อมอาคารพิพาทโดย ไม่สุจริต

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3755/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนที่ดินโดยไม่สุจริตและผลกระทบต่อสิทธิของทายาท จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชอบในความเสียหาย
ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์มิได้ขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทเพียงอย่างเดียว แต่มีคำขอให้โอนที่ดินพิพาทและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทให้แก่โจทก์ หากไม่สามารถโอนได้ให้ใช้เงิน 520,000 บาท แก่โจทก์ด้วยดังนั้น ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้รับโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทจาก ส.มาโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทน และจำเลยที่ 2 ยังไม่โอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทต่อไป ที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทก็ต้องกลับมาเป็นของ ส.ซึ่งเป็นมรดกตกได้แก่ทายาท จำเลยที่ 1 ในฐานะทายาทของ ส.ก็ย่อมสามารถโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทแก่โจทก์ได้ แต่คดีนี้จำเลยที่ 2 ได้โอนต่อไปยังจำเลยที่ 3ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่รับโอนโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนอันไม่สามารถเพิกถอนการโอนได้เสียแล้ว การโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทให้แก่โจทก์ย่อมไม่สามารถทำได้อันเนื่องมาจากความผิดของจำเลยที่ 2 ดังนี้ จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมใช้เงิน520,000 บาท แก่โจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยปัญหาที่ว่าการจดทะเบียนโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทระหว่าง ส.และจำเลยที่ 2 เป็นการโอนโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทนจึงเป็นการไม่ชอบ
หนังสือสัญญาขายที่ดินระบุว่าเป็นการซื้อขายที่ดินพร้อมอาคารเลขที่ 288/98 และ 288/99 ระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 การที่จำเลยที่ 3นำสืบว่า ส.ตกลงขายที่ดินและอาคารดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 3 แล้ว แต่ไม่สามารถโอนได้เพราะนำไปโอนให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 จะดำเนินคดีกับ ส.ส.จึงไปขอร้องจำเลยที่ 2 ให้จัดการโอนให้แก่จำเลยที่ 3 เป็นการอธิบายให้เห็นว่าการซื้อขายที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความเป็นมาอย่างไรเท่านั้น ไม่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 รับโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอน โดยมิได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3และไม่มีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นการไม่ชอบ แม้โจทก์อุทธรณ์ฝ่ายเดียวและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยมิได้พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้ก็เป็นการไม่ชอบเช่นกัน และเมื่อโจทก์ฎีกาและฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเรื่องเหล่านี้ให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3755/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนที่ดินโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทน การเพิกถอนนิติกรรม และความรับผิดของทายาท
ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์มิได้ขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ ห้องพิพาทเพียงอย่างเดียว แต่มีคำขอให้โอนที่ดินพิพาทและทาวน์เฮาส์ ห้องพิพาทให้แก่โจทก์ หากไม่สามารถโอนได้ให้ใช้เงิน 520,001 บาท แก่โจทก์ด้วยดังนั้น ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้รับโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ ห้องพิพาทจาก ส. มาโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทน และจำเลยที่ 2ยังไม่โอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทต่อไปที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทก็ต้องกลับมาเป็นของ ส.ซึ่งเป็นมรดกตกได้แก่ทายาทจำเลยที่ 1 ในฐานะทายาทของ ส. ก็ย่อมสามารถโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ ห้องพิพาทแก่โจทก์ได้ แต่คดีนี้จำเลยที่ 2ได้โอนต่อไปยังจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่รับโอนโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนอันไม่สามารถเพิกถอนการโอนได้เสียแล้วการโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ ห้องพิพาทให้แก่โจทก์ย่อมไม่สามารถทำได้อันเนื่องมาจากความผิดของจำเลยที่ 2 ดังนี้ จำเลยที่ 2จึงต้องร่วมใช้เงิน 520,000 บาท แก่โจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยปัญหาที่ว่าการจดทะเบียนโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ห้องพิพาทระหว่าง ส. และจำเลยที่ 2 เป็นการโอนโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทนจึงเป็นการไม่ชอบ หนังสือสัญญาขายที่ดินระบุว่าเป็นการซื้อขายที่ดินพร้อมอาคารเลขที่ 288/98 และ 288/99 ระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3การที่จำเลยที่ 3 นำสืบว่า ส.ตกลงขายที่ดินและอาคารดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 3 แล้ว แต่ไม่สามารถโอนได้เพราะนำไปโอนให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 จะดำเนินคดีกับ ส.ส. จึงไปขอร้องจำเลยที่ 2 ให้จัดการโอนให้แก่จำเลยที่ 3เป็นการอธิบายให้เห็นว่าการซื้อขายที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความเป็นมาอย่างไรเท่านั้น ไม่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 รับโอนที่ดินและทาวน์เฮาส์ ห้องพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอน โดยมิได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 และไม่มีคำส่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นการไม่ชอบ แม้โจทก์อุทธรณ์ฝ่ายเดียวและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยมิได้พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้ก็เป็นการไม่ชอบเช่นกันและเมื่อโจทก์ฎีกาและฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเรื่องเหล่านี้ให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3148/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินป่าช้า: ทรัสต์เพื่อการกุศลและการครอบครองปรปักษ์ที่ไม่สุจริต
ป่าช้าจีนบ้าบ๋าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาท ที่ชาวจีนฮกเกี้ยนได้ช่วยกันออกเงินซื้อที่ดินโดยให้ ล.เป็นผู้จัดการ ขณะร่วมกันออกเงินซื้อที่พิพาทซึ่งยังไม่มีใบสำคัญสำหรับที่ดินเพื่อทำเป็นป่าช้าฝังศพ โดยตั้งเป็นทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าและให้ ล.เป็นทรัสตี ต่อมา ล.ได้ไปดำเนินการออกโฉนดที่พิพาทและเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในฐานะเป็นทรัสตีป่าช้าจีนบ้าบ๋า อันเป็นการกระทำที่สอดคล้องกับ พ.ร.บ.การออกโฉนดที่ดิน ฉบับที่ 2 พ.ศ.2459 มาตรา 8 การตั้งทรัสต์และทรัสตีดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนวันใช้ ป.พ.พ.มาตรา 1686 แม้จะไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้มีการจดทะเบียนกันไว้หรือไม่ก็มีผลบังคับได้
ลักษณะของป่าช้าจีนบ้าบ๋าไม่ใช่สถานที่ฝังศพสำหรับเฉพาะคนในตระกูลหรือกลุ่มพวกพ้องของ ล.เท่านั้น แต่ใช้เป็นที่ฝังศพของชาวจีนฮกเกี้ยนที่มาจากประเทศสิงคโปร์ซึ่งเป็นกลุ่มคนจำนวนมาก โดยไม่มีข้อจำกัดว่าเป็นใคร ถือได้ว่าทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าตั้งขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ฝังศพและบำเพ็ญกุศลให้ผู้ตายอันเป็นประโยชน์ต่อชาวจีนฮกเกี้ยนทั่วไป ลักษณะของทรัสต์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นทรัสต์เพื่อการกุศลหรือทรัสต์มหาชน จึงเป็นทรัสต์ถาวรไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดไปเองดังเช่นทรัสต์เอกชนทั่วไป แม้ต่อมา ล.ได้ถึงแก่กรรมที่ประเทศสิงคโปร์แล้วก็ตาม แต่ทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าก็ไม่ได้เลิกหรือสิ้นสภาพไป ผู้มีส่วนได้เสียของทรัสต์ดังกล่าวหรือพนักงานอัยการอาจร้องขอต่อศาลให้ตั้งทรัสตีคนใหม่แทนได้
แม้ผู้ร้องจะยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของ ล.คนในบังคับอังกฤษ ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์และศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ก็ตาม แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงในชั้นบังคับคดีว่าที่พิพาทเป็นของ ล.ในหน้าที่ทรัสตีป่าช้าจีนบ้าบ๋า ไม่ใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของ ล.ดังที่ผู้ร้องอ้างในคำร้องขอ ทั้งตามลักษณะที่พิพาทในขณะนั้นก็ยังเป็นป่าช้าฝังศพของชาวจีนอยู่ และที่พิพาทส่วนใหญ่เป็นที่ฝังศพก่อปูนซีเมนต์มีรูปแบบเป็นฮวงซุ้ยของชาวจีนทั่วไป จากสภาพของป่าช้าดังกล่าวย่อมไม่มีบุคคลใดเข้าไปยึดถือเพื่อตน ทั้งตามพฤติการณ์ของผู้ร้องตั้งแต่ยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่พิพาทและนำสืบพยานผู้ร้องในชั้นไต่สวนคำร้องเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้ร้องมีเจตนาปกปิดไม่ให้ศาลทราบความจริงว่าที่พิพาทเป็นป่าช้าฝังศพเนื่องจากผู้ร้องเกรงว่าจะเป็นสาเหตุให้ศาลทราบว่าผู้ร้องไม่ได้เข้าไปครอบครองที่พิพาทอย่างเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตามที่ผู้ร้องอ้าง การดำเนินคดีของผู้ร้องดังกล่าวมาทั้งหมดเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต ขัดต่อ ป.พ.พ.มาตรา 5ไม่สมควรที่ผู้ร้องจะได้รับประโยชน์จากการกระทำอันไม่สุจริตของตน คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์จึงไม่อาจบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3148/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์เป็นโมฆะ หากได้มาจากการปกปิดข้อเท็จจริงว่าที่ดินเป็นป่าช้าและกระทำการไม่สุจริต
ป่าช้าจีนบ้าบ๋าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทที่ชาวจีนฮกเกี้ยนได้ช่วยกันออกเงินซื้อที่ดินโดยให้ล.เป็นผู้จัดการขณะร่วมกันออกเงินซื้อที่พิพาทซึ่งยังไม่มีใบสำคัญสำหรับที่ดินเพื่อทำเป็นป่าช้าฝังศพโดยตั้งเป็นทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าและให้ล. เป็นทรัสตีต่อมาล.ได้ไปดำเนินการออกโฉนดที่พิพาทและเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในฐานะเป็นทรัสตีป่าช้าจีนบ้าบ๋าอันเป็นการกระทำที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการออกโฉนดที่ดินฉบับที่2พ.ศ.2459มาตรา8การตั้งทรัสต์และทรัสตีดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1686แม้จะไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้มีการจดทะเบียนกันไว้หรือไม่ก็มีผลบังคับได้ ลักษณะของป่าช้าจีนบ้าบ๋าไม่ใช่สถานีที่ฝังศพสำหรับเฉพาะคนในตระกูลหรือกลุ่มพวกพ้องของล. เท่านั้นแต่ใช้เป็นที่ฝังศพของชาวจีนฮกเกี้ยนที่มาจากประเทศสิงคโปร์ซึ่งเป็นกลุ่มคนจำนวนมากโดยไม่มีข้อจำกัดว่าเป็นใครถือได้ว่าทรัสตีป่าช้าจีนบ้าบ๋าตั้งขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ฝังศพและบำเพ็ญกุศลให้ผู้ตายอันเป็นประโยชน์ต่อชาวจีนฮกเกี้ยนทั่วไปลักษณะของทรัสต์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นทรัสต์เพื่อการกุศลหรือทรัสต์มหาชนจึงเป็นทรัสต์ถาวรไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดไปเองดังเช่นทรัสต์เอกชนทั่วไปแม้ต่อมาล. ได้ถึงแก่กรรมที่ประเทศสิงคโปร์แล้วก็ตามแต่ทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าก็ไม่ได้เลิกหรือสิ้นสภาพไปผู้มีส่วนได้เสียของทรัสต์ดังกล่าวหรือพนักงานอัยการอาจร้องขอต่อศาลให้ตั้งทรัสตีคนใหม่แทนได้ แม้ผู้ร้องจะยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของล. คนในบังคับอังกฤษผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์และศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ก็ตามแต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงในชั้นบังคับคดีว่าที่พิพาทเป็นของล. ในหน้าที่ทรัสตีป่าช้าจีนบ้าบ๋าไม่ใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของล. ดังที่ผู้ร้องอ้างในคำร้องขอทั้งตามลักษณะที่พิพาทในขณะนั้นก็ยังเป็นป่าช้าฝังศพของชาวจีนอยู่และที่พิพาทส่วนใหญ่เป็นที่ฝังศพก่อปูนซีเมนต์มีรูปแบบเป็นฮวงซุ้ยของชาวจีนทั่วไปจากสภาพของป่าช้าดังกล่าวย่อมไม่มีบุคคลใดเข้าไปยึดถือเพื่อตนทั้งตามพฤติการณ์ของผู้ร้องตั้งแต่ยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่พิพาทและนำสืบพยานผู้ร้องในชั้นไต่สวนคำร้องเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้ร้องมีเจตนาปกปิดไม่ให้ศาลทราบความจริงว่าที่พิพาทเป็นป่าช้าฝังศพเนื่องจากผู้ร้องเกรงว่าจะเป็นสาเหตุให้ศาลทราบว่าผู้ร้องไม่ได้เข้าไปครอบครองที่พิพาทอย่างเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตามที่ผู้ร้องอ้างการดำเนินคดีของผู้ร้องดังกล่าวมาทั้งหมดเป็นการกระทำที่ไม่สุจริตขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา5ไม่สมควรที่ผู้ร้องจะได้รับประโยชน์จากการกระทำอันไม่สุจริตของตนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์จึงไม่อาจบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งนั้นได้
of 37