พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,244 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5939/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนสิทธิบัตรออกแบบผลิตภัณฑ์: ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยผิดหมวดกฎหมาย
ตามคำฟ้องโจทก์มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่า การออกแบบผลิตภัณฑ์โครงสำหรับยึดหลอดนีออนที่จำเลยนำไปขอรับสิทธิบัตรต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. สิทธิบัตร พ.ศ.2522มาตรา 56 หรือไม่ หากฟังได้ว่าไม่ใช่เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ สิทธิบัตรพิพาทที่จำเลยได้รับมาก็ออกโดยไม่ชอบด้วยมาตรา 56 ศาลย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนสิทธิบัตรพิพาทได้ตามมาตรา 64 แต่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่า ผลิตภัณฑ์ที่จำเลยขอรับสิทธิบัตรไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่หรือเป็นการประดิษฐ์ที่มีขั้นประดิษฐ์สูงขึ้นและไม่เป็นการประดิษฐ์ที่สามารถประยุกต์ในทางอุตสาหกรรม การได้รับสิทธิบัตรพิพาทของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. สิทธิบัตร พ.ศ.2522โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนได้ตามมาตรา 54 ดังนี้ ศาลอุทธรณ์ไปวินิจฉัยเรื่องการเพิกถอนสิทธิบัตรการประดิษฐ์ ซึ่งเป็นการวินิจฉัยโดยอาศัยบทบัญญัติในหมวด 2 แห่ง พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.2522 แต่สิทธิบัตรพิพาทที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนเป็นสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติเรื่องการเพิกถอนสิทธิบัตรที่ออกไปโดยไม่ชอบไว้ในหมวด 3 เป็นบทกฎหมายต่างหมวดกันหลักเกณฑ์ในการพิจารณาว่าจะเพิกถอนสิทธิบัตรการประดิษฐ์กับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ได้หรือไม่ได้ มีข้อบัญญัติแตกต่างกันหลายประการ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ยังคลาดเคลื่อนไม่ตรงกับประเด็นตามที่โจทก์ฟ้อง ปัญหาดังกล่าวนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่าย-ใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นกล่าวได้เอง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5), 246และ 247 คดีนี้แม้คู่ความจะสืบพยานมาเสร็จสิ้นแล้ว แต่เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาล เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควร ก็ชอบที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีใหม่ทั้งหมดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5813/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาลและการย้อนสำนวนเพื่อวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
โจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดนครราชสีมาซึ่งเป็นศาลชั้นต้นโดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ 50,000 บาท ตามหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารท้ายฟ้องหมาย 2 ซึ่งระบุว่า ทำที่ 395 - 399 ถนนมิตรภาพ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เมื่อเอกสารท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นโดยโจทก์อ้างว่ามูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลชั้นต้น จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าสัญญามิได้ทำขึ้นที่บ้านเลขที่ดังกล่าว มูลคดีมิได้เกิดขึ้นในเขตศาลชั้นต้น และชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 นำสืบว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม ฉะนั้นเมื่อโจทก์อ้างว่ามูลคดีเกิดในเขตศาลชั้นต้นและตามข้อเท็จจริงในสำนวนไม่ปรากฏว่าข้ออ้างของโจทก์ไม่เป็นความจริง ศาลจังหวัดนครราชสีมาจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ แม้จำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลจังหวัดสีคิ้วก็ตาม
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์ด้วยว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินจากโจทก์ สัญญากู้เอกสารหมาย จ.2 เป็นเอกสารปลอม โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 เพียง 5 ปี ซึ่งอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวบางข้อเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัย แต่คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา 247
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์ด้วยว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินจากโจทก์ สัญญากู้เอกสารหมาย จ.2 เป็นเอกสารปลอม โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 เพียง 5 ปี ซึ่งอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวบางข้อเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัย แต่คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5760/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากข้อกล่าวหาไม่ชัดเจนและข้อเท็จจริงเกินกรอบที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย รวมถึงจำนวนทุนทรัพย์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์ฟ้องอย่างหนึ่งแต่กลับนำสืบพยานหลักฐานไปอีกอย่างหนึ่งนอกเหนือจากคำฟ้องแต่ฎีกาของจำเลยทั้งสองไม่มีรายละเอียดว่าโจทก์ฟ้องอย่างไรแล้วไปนำสืบพยานหลักฐานอย่างไรอันนอกเหนือไปจากคำฟ้องไม่อาจเข้าใจได้ว่าพยานหลักฐานอันใดนอกเหนือไปจากคำฟ้องถือว่าเป็นฎีกาไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าการแก้ไขเลขโฉนดที่ดินและจำนวนเนื้อที่ดินในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นไปตามเจตนาของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายหาทำให้สัญญาตกเป็นโมฆะจำเลยทั้งสองฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยที่1มิได้ตกลงยินยอมให้แก้ไขเลขโฉนดที่ดินและจำนวนเนื้อที่ดินและที่ดินที่จำเลยที่1โอนแก่จำเลยที่2เป็นที่ดินคนละแปลงกันจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อคดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5700/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนคดีเนื่องจากทนายความป่วย ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้เลื่อนคดีได้ การใช้ดุลพินิจศาล
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ทนายโจทก์มอบฉันทะให้เสมียนทนายนำคำร้องขอเลื่อนคดีมายื่นอ้างว่าทนายโจทก์ป่วยกะทันหันไม่สามารถมาว่าความได้โดยมีใบรับรองแพทย์มาแสดงซึ่งตามใบรับรองแพทย์ระบุว่าทนายโจทก์เป็นไข้หวัดเจ็บคอต่อมทอนซิลอักเสบอ่อนเพลียอันเป็นการอ้างเหตุขอเลื่อนคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา41หากข้ออ้างดังกล่าวเป็นความจริงก็ถือได้ว่ากรณีมีเหตุจำเป็นและมีเหตุสมควรที่ศาลชั้นต้นให้เลื่อนคดีตามมาตรา40จำเลยแถลงคัดค้านแต่เพียงว่าศาลได้กำชับไว้ในครั้งก่อนแล้วมิได้คัดค้านว่าคำร้องของทนายโจทก์ที่อ้างว่าป่วยเจ็บไม่เป็นความจริงจึงเท่ากับจำเลยยอมรับว่าทนายโจทก์ป่วยเจ็บจริงตามที่อ้างมาในคำร้องและใบรับรองแพทย์นอกจากนี้หากศาลมีความสงสัยว่าทนายโจทก์ป่วยเจ็บจริงหรือไม่ศาลก็มีอำนาจไต่สวนคำร้องขอเลื่อนคดีเสียก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา21(4)หรือจะตั้งเจ้าพนักงานศาลไปตรวจดูว่าทนายโจทก์ป่วยเจ็บจริงหรือไม่ก็ได้การที่ศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าวย่อมแสดงว่าศาลชั้นต้นมิได้สงสัยในเรื่องที่ทนายโจทก์อ้างว่าป่วยเจ็บจึงรับฟังได้ว่าทนายโจทก์ไม่สามารถมาศาลได้อันเป็นกรณีมีเหตุจำเป็นสมควรให้เลื่อนคดีตามคำร้อง คดีนี้จำเลยฎีกาเฉพาะเรื่องที่ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีเท่านั้นจึงควรเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ส่วนที่จำเลยขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุกประการนั้นเป็นคำขอที่เกินเลยไปจากคำฟ้องฎีกาที่ฎีกาคัดค้านเฉพาะเรื่องการเลื่อนคดีและเมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีว่าผู้ใดควรชนะคดีจำเลยก็ไม่อาจฎีกาในเนื้อหาแห่งคดีได้จำเลยจึงหาต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์ในคดีไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 556/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้แม้คดีอาญาจบแล้ว
โจทก์ที่1ในคดีนี้ไม่ใช่ผู้เสียหายหรือคู่ความในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่1ในคดีนี้ฐานขับรถโดยประมาทแม้โจทก์ที่1จะเป็นเจ้าของรถยนต์ซึ่งเกิดเหตุชนกันผลของคำพิพากษาในคดีอาญาก็ไม่ผูกพันโจทก์ที่1ศาลอุทธรณ์ภาค1จึงชอบที่จะฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในคดีใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5559/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยศาลอุทธรณ์นอกประเด็นเรื่องการรุกล้ำที่ดิน และสิทธิในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเสารั้วพร้อมลวดหนามซึ่งรุกล้ำที่ดินโจทก์ออกไปจากที่ดินโจทก์ จำเลยที่ 3 ให้การสู้คดีไว้แต่เพียงว่า จำเลยที่ 3 ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยสุจริต ไม่ได้ให้การว่าจำเลยที่ 3 ปลูกสร้างทาวน์เฮาส์รุกล้ำที่ดินโจทก์โดยสุจริต การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า การก่อสร้างรุกล้ำของจำเลยเป็นการก่อสร้างโดยสุจริตและพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 แต่ไม่ตัดสิทธิคู่ความที่จะไปว่ากล่าวกันตาม ป.พ.พ.มาตรา 1312 นั้น จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
คำขอของโจทก์ที่ว่าให้จำเลยที่ 3 รื้อถอนส่วนที่รุกล้ำออกไปจากแนวเขตที่ดินโจทก์ หากจำเลยที่ 3 ไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยที่ 3 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนั้น หากจำเลยที่ 3 ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลโจทก์อาจยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการให้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 296 ทวิ ได้อยู่แล้ว โจทก์จะขอรื้อถอนกำแพงทาวน์เฮาส์ส่วนที่รุกล้ำของจำเลยที่ 3 เองโดยให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหาได้ไม่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
คำขอของโจทก์ที่ว่าให้จำเลยที่ 3 รื้อถอนส่วนที่รุกล้ำออกไปจากแนวเขตที่ดินโจทก์ หากจำเลยที่ 3 ไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยที่ 3 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนั้น หากจำเลยที่ 3 ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลโจทก์อาจยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการให้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 296 ทวิ ได้อยู่แล้ว โจทก์จะขอรื้อถอนกำแพงทาวน์เฮาส์ส่วนที่รุกล้ำของจำเลยที่ 3 เองโดยให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหาได้ไม่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5358/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และการใช้ดุลพินิจของศาลชั้นอุทธรณ์ในคดีขับไล่
คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าตามสัญญาเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท แม้โจทก์ทั้งสองจะกล่าวมาในฟ้องด้วยว่าหากโจทก์ทั้งสองจะให้ผู้อื่นเช่าในปัจจุบันจะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าเดือนละ 45,000 บาท และโจทก์ทั้งสองใช้เป็นเกณฑ์คำนวณในการเรียกร้องค่าเสียหายไปตามอัตราจำนวน 45,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินพิพาทก็ตาม แต่โจทก์ทั้งสองมิได้เรียกร้องค่าเสียหายนี้มาอย่างเอกเทศในข้อหาอื่น หากแต่เรียกร้องมาเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์ตามบทบัญญัติดังกล่าวเท่านั้น คู่ความจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248วรรคสอง
ที่จำเลยฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจเชื่อว่าลายมือชื่อของผู้เช่าในสัญญาเช่าเป็นลายมือชื่อของจำเลย โดยเหตุผลว่าตามสัญญาเช่าจะเขียนคล้ายหมึกต่างสีกันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาเพราะปากกาที่ใช้เขียนหมึกอาจจะออกมาไม่สม่ำเสมอหรือหมึกหมดแล้วเปลี่ยนด้ามใหม่ก็ได้ อันเป็นความเห็นซึ่งโจทก์จำเลยมิได้นำสืบไว้ จึงเป็นการรับฟังโดยไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. นั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยดังกล่าวก็โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งสามารถตรวจดูด้วยสายตาและศาลอุทธรณ์สามารถใช้ดุลพินิจได้ การที่จำเลยฎีกาโต้แย้งดังกล่าวจึงเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้สร้างอาคารในที่ดินพิพาทและโจทก์ที่ 1 สัญญาจะให้จำเลยเช่าอยู่ต่อไปอีก 10 ปี หลังจากสัญญาเช่าสิ้นสุดลง สัญญาเช่าที่ดินพิพาทจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดานั้น คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าข้ออ้างของจำเลยที่ว่าโจทก์ที่ 1 จะให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาท 10 ปี โดยมีค่าตอบแทนอันมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนนั้นไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง การที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานของจำเลยฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 ตกลงให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาทต่อไปอีก 10 ปี ตามสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าที่มีต่อกัน จึงเป็นฎีกาเถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาจำเลยทั้งหมดเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ที่จำเลยฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจเชื่อว่าลายมือชื่อของผู้เช่าในสัญญาเช่าเป็นลายมือชื่อของจำเลย โดยเหตุผลว่าตามสัญญาเช่าจะเขียนคล้ายหมึกต่างสีกันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาเพราะปากกาที่ใช้เขียนหมึกอาจจะออกมาไม่สม่ำเสมอหรือหมึกหมดแล้วเปลี่ยนด้ามใหม่ก็ได้ อันเป็นความเห็นซึ่งโจทก์จำเลยมิได้นำสืบไว้ จึงเป็นการรับฟังโดยไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. นั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยดังกล่าวก็โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งสามารถตรวจดูด้วยสายตาและศาลอุทธรณ์สามารถใช้ดุลพินิจได้ การที่จำเลยฎีกาโต้แย้งดังกล่าวจึงเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้สร้างอาคารในที่ดินพิพาทและโจทก์ที่ 1 สัญญาจะให้จำเลยเช่าอยู่ต่อไปอีก 10 ปี หลังจากสัญญาเช่าสิ้นสุดลง สัญญาเช่าที่ดินพิพาทจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดานั้น คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าข้ออ้างของจำเลยที่ว่าโจทก์ที่ 1 จะให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาท 10 ปี โดยมีค่าตอบแทนอันมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนนั้นไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง การที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานของจำเลยฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 ตกลงให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาทต่อไปอีก 10 ปี ตามสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าที่มีต่อกัน จึงเป็นฎีกาเถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาจำเลยทั้งหมดเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5358/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 248 วรรคสอง ปัญหาข้อเท็จจริง และการโต้แย้งดุลพินิจของศาล
คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าตามสัญญาเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ10,000บาทแม้โจทก์ทั้งสองจะกล่าวมาในฟ้องด้วยว่าหากโจทก์ทั้งสองจะให้ผู้อื่นเช่าในปัจจุบันจะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าเดือนละ45,000บาทและโจทก์ทั้งสองใช้เป็นหลักเกณฑ์คำนวณในการเรียกร้องค่าเสียหายไปตามอัตราจำนวน45,000บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินพิพาทก็ตามแต่โจทก์ทั้งสองมิได้เรียกร้องค่าเสียหายนี้มาอย่างเอกเทศในข้อหาอื่นหากแต่เรียกร้องมาเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์ตามบทบัญญัติดังกล่าวเท่านั้นคู่ความจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคสอง ที่จำเลยฎีกาว่าการที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจเชื่อว่าลายมือชื่อของผู้เช่าในสัญญาเช่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยโดยเหตุผลว่าตามสัญญาเช่าจะเขียนคล้ายหมึกต่างสีกันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาเพราะปากกาที่ใช้เขียนหมึกอาจจะออกมาไม่สม่ำเสมอหรือหมึกหมดแล้วเปลี่ยนด้ามใหม่ก็ได้อันเป็นความเห็นซึ่งโจทก์จำเลยมิได้นำสืบได้จึงเป็นการรับฟังโดยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยดังกล่าวก็โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งสามารถตรวจดูด้วยสายตาและศาลอุทธรณ์สามารถใช้ดุลพินิจได้การที่จำเลยฎีกาโต้แย้งดังกล่าวจึงเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงส่วนที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้สร้างอาคารในที่ดินพิพาทและโจทก์ที่1สัญญาจะให้จำเลยเช่าอยู่ต่อไปอีก10ปีหลังจากสัญญาเช่าสิ้นสุดลงสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดานั้นคดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าข้ออ้างของจำเลยที่ว่าโจทก์ที่1จะให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาท10ปีโดยมีค่าตอบแทนอันมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนนั้นไม่มีน้ำหนักให้รับฟังการที่จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานของจำเลยฟังได้ว่าโจทก์ที่1ตกลงให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาทต่อไปอีก10ปีตามสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าที่มีต่อกันจึงเป็นฎีกาเถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเป็นปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาจำเลยทั้งหมดเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 528/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อเท็จจริงศาลอุทธรณ์ยุติ จำเลยผิดสัญญาซื้อขายที่ดิน แม้ฎีกาปัญหาข้อกฎหมาย
คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยไม่ยอมรับแคชเชียร์เช็คแทนการชำระหนี้ด้วยเงินสดจากโจทก์ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2531จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้ไม่นั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2531 โจทก์พร้อมที่จะชำระราคาที่ดินให้แก่จำเลยและรับโอนกรรมสิทธิ์ แต่จำเลยกลับเป็นฝ่ายที่ไม่พร้อมที่จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์เพราะที่ดินที่ขายติดจำนอง และจำเลยมิได้ติดต่อกับผู้รับจำนองเพื่อให้ผู้รับจำนองนำโฉนดที่ดินและเอกสารมาที่สำนักงานที่ดินเพื่อจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและโอนขายให้แก่โจทก์ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ดังนั้นไม่ว่าผลแห่งคำวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยจะออกมาในรูปใดก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังเป็นยุติแล้วได้ ผลแห่งคดีก็คงเป็นเช่นเดิมปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยฎีกา จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 528/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีซื้อขายที่ดิน: ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงยุติแล้ว แม้ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายก็ไม่กระทบผลคดี
คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งที่จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่าการที่จำเลยไม่ยอมรับแคชเชียร์เช็คแทนการชำระหนี้ด้วยเงินสดจากโจทก์ในวันที่16พฤศจิกายน2531จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้ไม่นั้นเมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าในวันที่16พฤศจิกายน2531โจทก์พร้อมที่จะชำระราคาที่ดินให้แก่จำเลยและรับโอนกรรมสิทธิ์แต่จำเลยกลับเป็นฝ่ายที่ไม่พร้อมที่จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์เพราะที่ดินที่ขายติดจำนองและจำเลยมิได้ติดต่อกับผู้รับจำนองเพื่อให้ผู้รับจำนองนำโฉนดที่ดินและเอกสารมาที่สำนักงานที่ดินเพื่อจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและโอนขายให้แก่โจทก์จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาดังนั้นไม่ว่าผลแห่งคำวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฏีกาของจำเลยจะออกมาในรูปใดก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังเป็นยุติแล้วได้ผลแห่งคดีก็คงเป็นเช่นเดิมปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยฎีกาจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย