พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6,814 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 290/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำทางอาญา: การกระทำความผิดกรรมเดียวกัน แม้ต่างฐานความผิด สิทธิฟ้องระงับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(4)
ความผิดฐานบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐในคดีก่อนกับความผิดตามฟ้องคดีนี้ ระยะเวลาที่เกิดเหตุ สถานที่เกิดเหตุและการกระทำของจำเลยเป็นครั้งเดียวกัน แม้ฐานความผิดจะต่างกันก็เป็นความผิดกรรมเดียวกัน เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยในการกระทำความผิดดังกล่าวจนศาลพิพากษาลงโทษคดีถึงที่สุดไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้อง ย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4) โจทก์มาฟ้องจำเลยอีก แม้จะอ้างบทลงโทษตาม พ.ร.บ. แร่ ก็เป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2899/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การที่เจ้าหนี้ไม่ทวงถามหนี้ก่อนการโอนทรัพย์สินของผู้กู้ ทำให้ความผิดฐานฉ้อโกงยังไม่เกิดขึ้น
ก่อนที่จำเลยจะโอนขายที่ดินให้ผู้อื่น โจทก์มิได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้เงิน อันเป็นการแสดงว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ยังไม่คิดจะฟ้องคดีให้จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ให้ชำระหนี้ ความผิดตาม ป.อ.มาตรา 350 จึงยังไม่เกิดขึ้น และในกรณีเช่นนี้แม้จำเลยเป็นหนี้เงินกู้โจทก์ ก็หาทำให้ผลการกระทำของจำเลยอันไม่เป็นความผิดเปลี่ยนแปลงไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2845/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานเพียงพอเชื่อได้ว่าจำเลยกระทำความผิดลักทรัพย์ ศาลฎีกาพิพากษากลับ
จ. ไม่เคยรู้จักผู้เสียหายและจำเลยมาก่อน ทุกครั้งที่ จ. ได้พบเห็นจำเลยก็ได้บอกกล่าวยืนยันตลอดมาว่า จำเลยเป็นคนร้ายลักกระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหาย จ. กับจำเลยไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกันมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะเบิกความใส่ร้ายจำเลยโดยปราศจากมูลความจริง จ. เห็นการกระทำของจำเลยหลายครั้งหลายหนรวมทั้งที่มีอากัปกิริยาเป็นพิรุธ ซึ่งเชื่อว่าจดจำจำเลยได้แม่นยำไม่ผิดพลาด พยานหลักฐานโจทก์มีเหตุผลและน้ำหนักให้รับฟัง คำเบิกความของพยานโจทก์ระหว่างตัวผู้เสียหายกับ จ. ที่เบิกความแตกต่างกันไปบ้าง ถือว่าเป็นข้อแตกต่างในส่วนที่เป็นสิ่งประกอบเล็กน้อย แต่มิใช่เรื่องอันเป็นข้อสำคัญเกี่ยวกับการบ่งบอกหรือบ่งชี้ถึงลักษณะอาการของจำเลยโดยตรงหรือขัดกันระหว่างประจักษ์พยานโจทก์สองปากที่รู้เห็นรูปลักษณ์หรือวิธีการกระทำผิดของจำเลยที่แตกต่างกันหรือขัดกัน จึงไม่ถือเป็นข้อพิรุธอันน่าสงสัยและไม่ทำให้น้ำหนักของพยานหลักฐานโจทก์ที่รับฟังได้ต้องลดน้อยลง
โรงอาหารของมหาวิทยาลัยที่ซึ่งนักศึกษาหรือประชาชนอื่นใดผู้ที่เข้ามาติดต่อราชการกับมหาวิทยาลัยอันมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปนั่งรับประทานอาหารได้เป็นที่ซึ่งอยู่ภายในบริเวณรั้วของมหาวิทยาลัย แต่เป็นบริเวณนอกอาคารเรียนหรือนอกสถานที่ตั้งอันเป็นที่ปฏิบัติงานของราชการหรือข้าราชการตามปกติ การกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(8) คงมีความผิดตามมาตรา 334
โรงอาหารของมหาวิทยาลัยที่ซึ่งนักศึกษาหรือประชาชนอื่นใดผู้ที่เข้ามาติดต่อราชการกับมหาวิทยาลัยอันมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปนั่งรับประทานอาหารได้เป็นที่ซึ่งอยู่ภายในบริเวณรั้วของมหาวิทยาลัย แต่เป็นบริเวณนอกอาคารเรียนหรือนอกสถานที่ตั้งอันเป็นที่ปฏิบัติงานของราชการหรือข้าราชการตามปกติ การกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(8) คงมีความผิดตามมาตรา 334
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2787/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่เชื่อมโยงกัน
ตามฟ้องข้อ 1 (ก) โจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันผลิตอีเฟดรีนจำนวน 1,770 เม็ด หนัก 157 กรัม และเมทแอมเฟตามีนจำนวน 31 เม็ด หนัก 2.7 กรัม ซึ่งเป็นจำนวนเดียวกันกับที่จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในส่วนนี้จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ส่วนอีเฟดรีนชนิดผงจำนวน 2 ถุง น้ำหนัก 74 กรัม แม้โจทก์จะแยกฟ้องมาเป็นฟ้องข้อ 1 (ข) เพื่อให้เห็นว่าเป็นคนละจำนวนกับอีเฟดรีนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันผลิตและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายตามฟ้องข้อ 1 (ก) แต่โจทก์ก็บรรยายว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันมีอีเฟดรีนชนิดผงดังกล่าวไว้เพื่อใช้ในการผลิตเพื่อขายนั่นเอง ทั้งเป็นอีเฟดรีนที่เจ้าพนักงานตำรวจพบในเวลาและสถานที่เดียวกันกับอีเฟดรีนและเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยผลิตในฟ้องข้อ 1 (ก) จึงถือได้ว่าเป็นความผิดกรรมเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2786/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมียาเสพติดไว้ครอบครองเพื่อจำหน่ายและการซื้อขายยาเสพติดประเภท 1 จำเลยต้องทราบประกาศกระทรวงสาธารณสุข
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงในประเภท 1 ตามกฎหมายจำนวน 1,030 เม็ด น้ำหนัก 95.736กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 17.041 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและได้จำหน่ายโดยขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไป 2 เม็ด แก่สายลับผู้ล่อซื้อในราคา160 บาท อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ตรงตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 66 วรรคหนึ่ง ย่อมมีความหมายชัดเจนอยู่ในตัวว่า ไม่ว่ากรณีใด ๆเมทแอมเฟตามีนเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และจำเลยได้ทราบว่าเมทแอมเฟตามีนนั้นเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 โจทก์ยังบรรยายฟ้องต่อท้ายข้อความที่ว่า "ยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงในประเภท 1" ด้วยข้อความว่า"ตามกฎหมาย" อันเป็นการกล่าวย้ำ ข้อความที่กล่าวมาก่อน คำฟ้องโจทก์จึงมีรายละเอียดพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีและชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 158 (5)แล้ว โจทก์ไม่จำต้องระบุอ้างถึงประกาศกระทรวงสาธารณสุขดังกล่าวรวมทั้งได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และจำเลยได้ทราบประกาศดังกล่าวแล้วด้วยไม่
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135 (พ.ศ. 2539) เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษ ตามความใน พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2539 และประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไปประกาศข้างต้นจึงมีผลบังคับเช่นกฎหมาย ทั้งจำเลยไม่อาจแก้ตัวได้ว่า จำเลยไม่ทราบประกาศนั้น
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135 (พ.ศ. 2539) เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษ ตามความใน พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2539 และประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไปประกาศข้างต้นจึงมีผลบังคับเช่นกฎหมาย ทั้งจำเลยไม่อาจแก้ตัวได้ว่า จำเลยไม่ทราบประกาศนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2773/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำอนาจารเด็กและการพรากเด็ก: การพิจารณาความผิดฐานพรากเด็กเมื่อเด็กอยู่ในบริเวณวัด
ผู้เสียหายเป็นเด็กมีอายุ 8 ปี 6 เดือน ได้ไปที่วัดที่จำเลยจำพรรษาอยู่ ขณะที่ผู้เสียหายกำลังจะกลับบ้าน จำเลยได้จูงมือผู้เสียหายและเด็กหญิง ก. ชวนไปรับประทานขนมที่กุฏิของจำเลยการที่จำเลยจูงมือผู้เสียหายซึ่งไปที่วัดช่วยพระทำงานอยู่ในบริเวณวัดไปที่กุฏิของจำเลยซึ่งอยู่ในวัดนั่นเอง ยังไม่ถือว่าเป็นการพรากผู้เสียหายไปจากความปกครองดูแลของบิดามารดา การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2743/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดฐานมีอาวุธปืน พาอาวุธปืน และทำร้ายร่างกาย รวมถึงการกำหนดโทษจำคุกที่ถูกต้องตามกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องไว้ครบถ้วนแล้วว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง แต่ในคำขอท้ายฟ้องกลับขอให้ลงโทษตาม พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8,72 ทวิโดยมาตรา 72 ทวิ เป็นบทลงโทษผู้ฝ่าฝืนมาตรา 8 ทวิ ด้วย เห็นได้ว่าโจทก์อ้างบทมาตราผิด เมื่อข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์สืบสม ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้าไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6)และมาตรา 192 วรรคหนึ่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนจำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน แล้วรวมโทษ 2 กระทงเข้าเป็นจำคุก 1 ปี เมื่อรวมโทษฐานทำร้ายร่างกายเป็นจำคุก 2 ปีนั้นไม่ถูกต้อง เพราะการกำหนดโทษจำคุกเป็นเดือนให้นับสามสิบวันเป็นหนึ่งเดือน แต่ถ้ากำหนดเป็นปีให้คำนวณตามปีปฏิทินในราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 21 วรรคสอง ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนจำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน แล้วรวมโทษ 2 กระทงเข้าเป็นจำคุก 1 ปี เมื่อรวมโทษฐานทำร้ายร่างกายเป็นจำคุก 2 ปีนั้นไม่ถูกต้อง เพราะการกำหนดโทษจำคุกเป็นเดือนให้นับสามสิบวันเป็นหนึ่งเดือน แต่ถ้ากำหนดเป็นปีให้คำนวณตามปีปฏิทินในราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 21 วรรคสอง ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2712/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานใช้เครื่องชั่งผิดอัตราและลดเครื่องชั่งที่ได้รับการรับรอง
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานมีเครื่องชั่งซึ่งไม่ถูกต้องตามความประสงค์ทุกประการของ พ.ร.บ. มาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 ไว้เพื่อใช้ในกิจการต่อเนื่องกับผู้อื่นและในพาณิชยกิจจำเลยตาม พ.ร.บ. มาตรา ชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 มาตรา 31 กับฐานมีไว้เพื่อใช้ซึ่งเครื่องชั่งที่ผิดอัตราเพื่อเอาเปรียบในการค้าตาม ป.อ. มาตรา 270 ฐานใช้เครื่องชั่งซึ่งไม่ถูกต้องตามความประสงค์ทุกประการของ พ.ร.บ. มาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 ในกิจการ ต่อเนื่องกับผู้อื่นและในพาณิชยกิจของจำเลยตาม พ.ร.บ. มาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 มาตรา 31 กับฐานใช้เครื่องชั่ง ที่ผิดอัตราเพื่อเอาเปรียบในการค้าตาม ป.อ. มาตรา 270 เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ความผิดฐานมีไว้เพื่อใช้ซึ่งเครื่องชั่งที่ผิดอัตราเพื่อเอาเปรียบในการค้าและฐานใช้เครื่องชั่งที่ผิดอัตราเพื่อ เอาเปรียบในการค้า ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดมีระวางโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานใช้เครื่องชั่งที่ผิดอัตราเพื่อเอาเปรียบในการค้าตาม ป.อ. มาตรา 90 กระทงหนึ่ง และมีความผิดฐานลดเครื่องชั่งซึ่งเจ้าพนักงานตรวจสอบให้คำรับรองแล้วตาม พ.ร.บ. มาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 มาตรา 32 วรรคหนึ่ง อีกกระทงหนึ่ง การที่ศาลล่างทั้งสอง ปรับบทลงโทษจำเลยไม่ครบถ้วน และพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานใช้เครื่องชั่ง ซึ่งไม่ถูกต้องตามความประสงค์ ทุกประการฯ ว่าเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. มาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 มาตรา 32 วรรคสอง อันเป็นบทลงโทษผู้ใช้เครื่องชั่งโดยรู้อยู่ว่าเป็นเครื่องชั่งที่ถูกแก้เปลี่ยน และมิได้พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานลดเครื่องชั่งซึ่ง เจ้าพนักงานตรวจสอบให้คำรับรองแล้ว ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็ปรับลงโทษและพิพากษาให้ถูกต้องได้ ส่วนโทษที่ลงแก่จำเลยคงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เพราะต้องห้ามเพิ่มเติมโทษจำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225
ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกามี พ.ร.บ. มาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2542 ใช้บังคับ ให้ยกเลิก พ.ร.บ. มาตราชั่ง ตวง วัดเดิมทุกฉบับ ซึ่งตาม พ.ร.บ. มาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2542 ได้บัญญัติความผิดฐานใช้หรือมีเครื่องชั่งโดยรู้ว่าเครื่องชั่งนั้นมีความเที่ยงผิดอัตราไว้ในมาตรา 79 ฐานกระทำการใด ๆ เพื่อให้เครื่องชั่งที่มีการให้คำรับรองแล้วแสดงน้ำหนักผิดไปจากที่ได้รับการตรวจสอบความเที่ยงไว้ในมาตรา 75 และมีระวางโทษเป็นคุณกว่าโทษตาม พ.ร.บ. มาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 มาตรา 31 และมาตรา 32 วรรคหนึ่ง จึงต้องใช้กฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรคหนึ่ง ด้วย
ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกามี พ.ร.บ. มาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2542 ใช้บังคับ ให้ยกเลิก พ.ร.บ. มาตราชั่ง ตวง วัดเดิมทุกฉบับ ซึ่งตาม พ.ร.บ. มาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2542 ได้บัญญัติความผิดฐานใช้หรือมีเครื่องชั่งโดยรู้ว่าเครื่องชั่งนั้นมีความเที่ยงผิดอัตราไว้ในมาตรา 79 ฐานกระทำการใด ๆ เพื่อให้เครื่องชั่งที่มีการให้คำรับรองแล้วแสดงน้ำหนักผิดไปจากที่ได้รับการตรวจสอบความเที่ยงไว้ในมาตรา 75 และมีระวางโทษเป็นคุณกว่าโทษตาม พ.ร.บ. มาตราชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2466 มาตรา 31 และมาตรา 32 วรรคหนึ่ง จึงต้องใช้กฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรคหนึ่ง ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2683/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจการริบทรัพย์สินในคดียาเสพติด: การพิจารณาความผิดตาม พ.ร.บ.มาตรการปราบปรามยาเสพติด
การร้องขอให้ริบรถยนต์กระบะของกลางโดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้เป็นพาหนะนำเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมาไว้ในครอบครองและพายาเสพติดดังกล่าวไปเพื่อให้ได้รับผลในการกระทำความผิด ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดของพนักงานอัยการเป็นการยื่นคำร้องโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31 ซึ่งความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 ไม่ได้รวมถึงการมียาเสพติดไว้ในครอบครองด้วย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ใช่คดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามพ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินของกลางดังกล่าวให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามมาตรา 30 และ 31 แห่งพ.ร.บ.ดังกล่าวได้ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ใช่คดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามพ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจร้องขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินของกลางดังกล่าวให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามมาตรา 30 และ 31 แห่งพ.ร.บ.ดังกล่าวได้ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2652/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทุจริตตั้งแต่แรกและการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงที่เชื่อมโยงกับการรับเงิน
ความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคหนึ่งจะเป็นความผิดก็ต่อเมื่อได้กระทำภายหลังที่การกระทำความผิดในการได้ทรัพย์มานั้นสำเร็จไปแล้ว ม. กับพวกมีเจตนาทุจริตมาแต่แรกโดยหลอกลวงว่าจะซื้อที่ดินจากโจทก์ร่วม เมื่อโจทก์ร่วมมาที่บ้าน ม. เพื่อทำสัญญาจะซื้อจะขายและให้วางเงินมัดจำ ม. กลับชักชวนโจทก์ร่วมให้ร่วมกับ ม. เล่นการพนันกับพวกของ ม. โจทก์ร่วมเล่นการพนันเสียการติดต่อขอซื้อที่ดินและการเล่นการพนันจึงเป็นเพียงเหตุการณ์ที่ ม. กับพวกสร้างขึ้นเพื่อหลอกลวงเอาเงินของโจทก์ร่วมและโดยการหลอกลวงดังกล่าวทำให้ ม. กับพวกได้ไปซึ่งเงินจากโจทก์ร่วมกับเงินที่โจทก์ร่วมให้ จ. โอนมาให้แก่จำเลยแสดงว่า จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงของ ม. หาใช่เข้าไปเกี่ยวข้องภายหลัง ม. ได้เงินมาแล้วไม่ จำเลยจึงเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดฐานฉ้อโกง แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 อันเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง แต่ข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่ข้อสาระสำคัญและไม่เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้เพราะจำเลยนำสืบปฏิเสธว่าไม่มีส่วนร่วมกระทำความผิดเกี่ยวกับเงินจำนวนที่จำเลยเป็นผู้เบิก ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม