คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฟ้องร้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 993 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2571/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการตามคำสั่งนายกฯ และขอบเขตการฟ้องร้องโต้แย้งคำวินิจฉัย
คำสั่งของนายกรัฐมนตรีสั่งโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2515 ให้ทรัพย์สินของบุคคลที่ระบุในคำสั่งซึ่งอายัดไว้แล้วตกเป็นของรัฐ หากบุคคลใดอ้างว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของตนให้ยื่นคำร้องขอคืนต่อคณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้น เมื่อตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีดังกล่าวระบุว่าในการที่คณะกรรมการเห็นว่าผู้ยื่นคำร้องไม่อาจพิสูจน์ให้เป็นที่ พอใจได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่ตนได้มาโดยสุจริตโดยชอบ ให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดไม่คืนทรัพย์สินให้และการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด ดังนี้ ตามปกติผู้ยื่นคำร้องหาอาจนำเรื่องราวมาฟ้องร้องต่อศาลเกี่ยวกับการวินิจฉัยชี้ขาดอันเป็นดุลยพินิจในการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการได้อีกไม่ เว้นแต่จะปรากฏว่าการใช้ดุลยพินิจในการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการนั้นเป็นการใช้โดยไม่สุจริต เพื่อกลั่นแกล้งผู้ยื่นคำร้องหรือเป็นการใช้ดุลยพินิจชี้ขาดอันขัดแย้งต่อพยานหลักฐาน
แม้โจทก์จะกล่าวอ้างในฟ้องที่เรียกทรัพย์ซึ่งคณะกรรมการไม่คืนให้โจทก์ว่าการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการ เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยเหตุผลทั้งในด้านกฎหมายและข้อเท็จจริง ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมต่อโจทก์โดยชอบด้วยหลักนิติศาสตร์ เป็นการวินิจฉัยที่ไม่สุจริตก็ตามแต่เหตุผลที่โจทก์อ้างว่าคำวินิจฉัยนั้นไม่ชอบด้วยเหตุผลและไม่สุจริตก็ปรากฏ เพียงว่าคณะกรรมการมิได้สอบสวนหรือพิสูจน์ หรือไม่เรียกโจทก์ไปสอบสวนหรือพิสูจน์ก่อนทั้ง ๆ ที่โจทก์มีพยานหลักฐานพร้อมเหตุผลเพียงเท่านี้จะถือว่าคณะกรรมการกระทำโดยไม่ชอบด้วยเหตุผลและไม่สุจริต หาได้ไม่ เพราะเมื่อคณะกรรมการเห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์ยื่น เพื่อขอรับทรัพย์สินคืนไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ได้มาโดยสุจริตและโดยชอบ คณะกรรมการก็ชอบที่จะวินิจฉัยชี้ขาดไปได้ทีเดียว หาจำต้องทำการสอบสวนหรือพิสูจน์ต่อไปอีกไม่ศาลจึงชอบที่จะไม่รับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2292/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องร้องกรรมสิทธิ์ที่ดิน: การบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมไม่เชื่อมโยงกับคดีขอให้พิพากษาถึงที่สุด
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินครึ่งหนึ่งในโฉนดที่พิพาทโดยได้รับมรดกแล้วครอบครองที่ดินส่วนของโจทก์ด้วยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมากว่า 10 ปีแล้ว มารดาจำเลยเคยเป็นความกับโจทก์ แล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอมให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง และให้แบ่งที่ดินให้โจทก์ต่อมามารดาจำเลยถึงแก่กรรม จำเลยได้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินตามโฉนดดังกล่าวทั้งโฉนด ดังนี้ แม้ได้ความว่าโจทก์มิได้ดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมในคดีที่โจทก์พิพาทกับมารดาจำเลยเสียภายใน 10 ปีก็ตาม แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดครึ่งหนึ่ง และขอแบ่งแยกที่พิพาท โจทก์มิได้ร้องขอให้บังคับคดีในคดีก่อน กรณีจึงเป็นคนละเรื่องกัน จะนำอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 มาใช้บังคับในคดีนี้ไม่ได้ และจำเลยได้โต้แย้งสิทธิในที่พิพาทขึ้นใหม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1733/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องเรียกหนี้เช็ค: ระยะเวลา 1 ปีนับจากวันที่ลงในเช็ค
จำเลยออกเช็คผู้ถือชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์โอนต่อไปแล้วธนาคารไม่จ่ายเงิน โจทก์ชำระเงินแก่ผู้ทรงที่ไม่ได้รับเงินจากธนาคารปัญหาเรื่องอายุความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 กำหนด 1 ปี นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ลงในเช็คตามมาตรา 158 เช็คลงวันที่ 30 ตุลาคม 2517 ฟ้องวันที่ 30 ตุลาคม 2518 เป็นวันสุดท้ายของ 1 ปี ไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1511/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องจำเลยต่างประเทศ: การมีตัวแทนในไทยไม่ถือเป็นภูมิลำเนา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 มีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ตั้งจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ตั้งจำเลยที่ 5 เป็นตัวแทนในประเทศไทยเพื่อดูแลกิจการและผลประโยชน์ของจำเลย โดยให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 3 ที่ 5 ฐานละเมิดต่อโจทก์ ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ตั้งตัวแทนดังกล่าวก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย เพราะจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ไม่มีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศไทยหรือเลือกเอาประเทศไทยเป็นภูมิลำเนาในส่วนกิจการ อันทำในประเทศไทยด้วย โจทก์จึงไม่มี อำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ต่อศาลในประเทศไทย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1511/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาล: การฟ้องจำเลยต่างประเทศ แม้มีตัวแทนในไทย ต้องมีสำนักงานหรือเลือกไทยเป็นภูมิลำเนา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 มีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ตั้งจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ตั้งจำเลยที่ 5 เป็นตัวแทนในประเทศไทยเพื่อดูแลกิจการและผลประโยชน์ของจำเลยโดยให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 3 ที่ 5 ฐานละเมิดต่อโจทก์ ดังนี้ เมื่อจำเลยที่1 ที่ 2 ที่ 4 ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ตั้งตัวแทนดังกล่าวก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย เพราะจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ไม่มีสำนักงานสาขาอยู่ประเทศไทยหรือเลือกเอาประเทศไทยเป็นภูมิลำเนาในส่วนกิจการอันทำในประเทศไทยด้วย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ต่อศาลในประเทศไทย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1362/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีไม่มีทุนทรัพย์: การฟ้องขอคืนเช็คเพื่อระงับหนี้ ไม่ใช่การฟ้องเพื่อเอาทรัพย์สิน
ตามฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องอ้างว่าหนี้ระงับแล้ว ขอให้บังคับจำเลยส่งคืนเช็คสองฉบับให้โจทก์ตามสัญญา มิใช่เป็นการฟ้องเรียกร้องกระดาษเช็คในฐานะที่เป็นทรัพย์สินที่มีราคามาเป็นของโจทก์ เพราะโจทก์หาได้ประสงค์จะถือเอาประโยชน์จากเช็คอันมีมูลค่าฉบับละ 25 สตางค์นั้นไม่ และหาใช่หนี้ตามเช็คระงับต่อเมื่อโจทก์ได้รับเช็คพิพาทคืนมาไม่แต่เป็นคำฟ้องที่อ้างว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้แล้ว ดังนี้ เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ อยู่ในอำนาจศาลจังหวัดพิจารณาพิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงชื่อหนังสือพิมพ์ในการฟ้องร้องค่าจ้างพิมพ์ ไม่ถือว่าเป็นการนอกฟ้อง หากยังคงเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกัน
ฟ้องโจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระค่าจ้างพิมพ์หนังสือพิมพ์ที่จำเลยจ้างโจทก์พิมพ์ แม้ชื่อหนังสือพิมพ์ที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยจ้างโจทก์พิมพ์จะแตกต่างกับชื่อที่ปรากฏในทางพิจารณา ก็ไม่ถือว่าเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 974/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกกล่าวหนี้ก่อนฟ้องล้มละลาย ไม่ใช่ข้อบังคับ แต่เป็นเพียงเหตุสันนิษฐาน
การบอกกล่าวให้ชำระหนี้ก่อนไม่น้อยกว่าสองครั้ง มีระยะห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 (9) นั้น เป็นเพียงข้อสันนิษฐานว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวข้อหนึ่งเท่านั้น หาใช่เป็นบทบังคับให้โจทก์ต้องบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ก่อนฟ้องไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 659/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษจำเลยเกินคำขอในฟ้องฐานปล้นทรัพย์ ศาลฎีกาพิพากษากลับ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์ โดยมิได้บรรยายว่าจำเลยกับพวกมีอาวุธใช้ในการปล้นทรัพย์ด้วย ดังนี้ จะให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธไม่ได้ เพราะเกินคำขอที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2857/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องกรมสรรพากรเพื่อเรียกร้องภาษี และผลกระทบของการทุเลาภาษีต่อเงินเพิ่ม
โจทก์มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการเสียภาษีอากรฝ่ายสรรพากรโจทก์ฟ้องกรมสรรพากรจำเลยได้ ไม่ต้องฟ้องคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
เมื่อโจทก์ไม่เสียภาษีการค้าตามกำหนด โจทก์ต้องเสียเงินเพิ่ม การที่กรมสรรพากรทุเลาการเสียภาษีให้ระหว่างอุทธรณ์ ไม่ทำให้เงินเพิ่มที่ต้องเสียนั้นเปลี่ยนแปลงไป
of 100