คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ผลผูกพัน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 804 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2460/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: ผลผูกพันและสิทธิใหม่ทางกฎหมาย
โจทก์ทำเครื่องเฟอร์นิเจอร์ส่งให้จำเลยโดยจำเลยจัดอุปกรณ์หรือมอบเงินให้โจทก์จัดซื้อ และปรากฏว่ามีหนี้สินเกี่ยวค้างกันอยู่แล้วได้ไปคิดบัญชีกันที่สถานีตำรวจปรากฏว่าโจทก์เป็นหนี้จำเลย 11,626 บาท และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บันทึกรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันไว้ มีใจความว่า ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงระงับข้อพิพาทเรื่องเกี่ยวกับการส่งตู้เฟอร์นิเจอร์โดยจำเลยได้ออกทุนค่าส่งวัตถุไปก่อนเพื่อให้โจทก์เป็นผู้ทำเครื่องเฟอร์นิเจอร์ส่งให้จำเลยได้ดำเนินกิจการมา 1 ปีเศษทั้งสองฝ่ายได้คิดบัญชีกันแล้ว แต่ปรากฏว่าโจทก์ยังคงค้างเงินอยู่อีก 11,600 บาท และโจทก์ยอมรับว่าเป็นหนี้อยู่จริงทั้งสองฝ่ายจึงมาแจ้งไว้เป็นหลักฐานและลงชื่อทั้งสองฝ่ายไว้ถือว่าเป็นสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยด้วยใจสมัครมุ่งประสงค์จะระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับหนี้สินที่เกิดขึ้นในการค้าระหว่างโจทก์จำเลย และยังตกลงกันไม่ได้ให้เป็นการเสร็จไปโดยโจทก์ยอมรับว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าหนี้จำเลยดังที่กล่าวอ้างไว้ก่อนตกลงทำสัญญากับจำเลย และจำเลยยอมให้เป็นไปตามบัญชีบันทึกไว้กับยอมตัดเศษเงินที่โจทก์เป็นหนี้ออก อันเป็นการยอมผ่อนผันให้แก่กันจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 มีผลทำให้ข้อเรียกร้องของแต่ละฝ่ายที่มีอยู่ก่อนทำสัญญานั้นระงับสิ้นไป และจำเลยได้สิทธิขึ้นใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 852 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2517)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2159/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจผู้อนุบาลทำนิติกรรมเกี่ยวกับสินสมรสและผลผูกพันของนิติกรรมยกให้เมื่อสามีไร้ความสามารถ
กรณีภริยาเป็นผู้อนุบาลสามีซึ่งเป็นผู้ไร้ความสามารถตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1457 นั้นมาตรา 1581 ไม่ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยความปกครองมาบังคับจึงจะนำมาตรา 1561, 1562, 1563. ซึ่งเป็นบทบัญญัติว่าด้วยความปกครองมาบังคับแก่ภริยาซึ่งเป็นผู้อนุบาลสามีหาได้ไม่
ภริยาซึ่งเป็นผู้อนุบาลสามี มีสิทธิทำนิติกรรมขายสินบริคณห์ได้โดยลำพัง หากกระทำไปเพื่อประโยชน์ของสามีตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 710/2490 แต่การที่ภริยาเอาที่ดินสินบริคณห์ไปยกให้แก่บุตรคนหนึ่งโดยเสน่หา มิใช่กระทำไปเพื่อประโยชน์ของสามีแต่อย่างใด ภริยาในฐานะผู้อนุบาลจึงไม่มีสิทธิเอาที่ดินส่วนที่เป็นของสามีไปยกให้แก่บุตรโดยเสน่หาได้ คงมีสิทธิกระทำได้ในฐานะที่เป็นภริยา ซึ่งมีส่วนเป็นเจ้าของที่ดินสินบริคณห์นั้นด้วย โดยมิพักต้องได้รับอนุญาตจากสามี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 39 นิติกรรมการให้ที่ดินโดยเสน่หาดังกล่าว จึงผูกพันส่วนที่เป็นของภริยา แต่ไม่ผูกพันส่วนของสามี เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าที่ดินสินบริคณห์นั้นสามีกับภริยามีส่วนคนละเท่าใด และภริยาก็ทำนิติกรรมให้บุตรมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกับสามีอันมีผลเท่ากับภริยายอมสละส่วนของตนให้แก่บุตรเท่านั้น นิติกรรมรายนี้จึงไม่เป็นโมฆะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1700/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมแพ้คดีจากการท้าสาบาน: ผลผูกพันการใช้ค่าเสียหายตามฟ้อง
โจทก์ฟ้องอ้างว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ ได้มาโดยนางสีทามารดายกให้แก่โจทก์แต่ผู้เดียว จำเลยบุกรุกเข้าแย่งทำนาของโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายปีละ 2,500 บาท จนกว่าจะออกไปจากที่พิพาท จำเลยให้การปฏิเสธว่านางสีทามารดาไม่ได้ยกนาพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์จำเลยครอบครองนาพิพาทร่วมกันมาเป็นส่วนสัด จำเลยไม่ได้เข้าแย่งทำนาของโจทก์โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ระหว่างสืบพยานโจทก์จำเลยตกลงท้ากันว่า ถ้าโจทก์ยอมสาบานและดื่มน้ำสาบานต่อหน้าพระสังกัดจายวัดสระทอง ว่านางสีทายกนาพิพาทให้โจทก์ทั้งหมด จำเลยยอมแพ้คดี ถ้าโจทก์ไม่ยอมสาบานและดื่มน้ำสาบาน โจทก์ยอมแพ้คดี ดังนี้ เมื่อโจทก์ได้สาบานและดื่มน้ำสาบานตามคำท้าแล้วจำเลยย่อมจะต้องแพ้คดีทั้งหมดรวมทั้งต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งหมดตามฟ้องจำเลยจะอ้างว่าศาลอาจกำหนดค่าเสียหายให้ได้ตามสมควรหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1700/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของการท้าสาบานในคดีแพ่ง: การยอมแพ้คดีทั้งหมดและการรับผิดค่าเสียหาย
โจทก์ฟ้องอ้างว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ ได้มาโดยนางสีทามารดายกให้แก่โจทก์แต่ผู้เดียว จำเลยบุกรุกเข้าแย่งทำนาของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายปีละ 2,500 บาทจนกว่าจะออกไปจากที่พิพาท จำเลยให้การปฏิเสธว่านางสีทามารดาไม่ได้ยกนาพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์จำเลยครอบครองนาพิพาทร่วมกันมาเป็นส่วนสัด จำเลยไม่ได้เข้าแย่งทำนาของโจทก์ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ระหว่างสืบพยาน โจทก์จำเลยตกลงท้ากันว่า ถ้าโจทก์ยอมสาบานและดื่มน้ำสาบานต่อหน้าพระสังกัดจายวัดสระทอง ว่านางสีทายกนาพิพาทให้โจทก์ทั้งหมด จำเลยยอมแพ้คดี ถ้าโจทก์ไม่ยอมสาบานและดื่มน้ำสาบาน โจทก์ยอมแพ้คดี ดังนี้ เมื่อโจทก์ได้สาบานและดื่มน้ำสาบานตามคำท้าแล้วจำเลยย่อมจะต้องแพ้คดีทั้งหมด รวมทั้งต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งหมดตามฟ้อง จำเลยจะอ้างว่าศาลอาจกำหนดค่าเสียหายให้ได้ตามสมควรหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1173/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำพิพากษาตามยอมต่อผู้เยาว์โดยผู้แทนเฉพาะคดี การบังคับคดีตามคำพิพากษา
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยโอนที่ดินและเรือนให้โจทก์ กับให้ขับไล่จำเลยออกไปแล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมออกจากทรัพย์พิพาทและยอมโอนให้โจทก์ ศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว แม้จำเลยบางคนจะเป็นผู้เยาว์ แต่คำพิพากษาตามยอมนั้นก็มีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 จำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์เป็นคู่ความในคดีอยู่แล้ว โดยมี ก. เป็นผู้แทนเฉพาะคดี และไม่มีอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมจนคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีแก่จำเลยตามคำพิพากษาตามยอมได้ ศาลจะปฏิเสธการบังคับคดีแก่จำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์โดยอ้างว่า ก.ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์โดยมิได้รับอนุญาตจากศาลก่อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546(4) ดังนี้ หาชอบไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1173/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำพิพากษาตามยอมต่อผู้เยาว์โดยมีผู้แทนเฉพาะคดี ศาลอนุญาตให้ทำสัญญาประนีประนอมได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยโอนที่ดินและเรือนให้โจทก์กับให้ขับไล่จำเลยออกไปแล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยอมออกจากทรัพย์พิพาทและยอมโอนให้โจทก์ ศาลได้พิพากษาตามยอมแล้วแม้จำเลยบางคนจะเป็นผู้เยาว์ แต่คำพิพากษาตามยอมนั้นก็มีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 จำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์เป็นคู่ความในคดีอยู่แล้วโดยมี ก. เป็นผู้แทนเฉพาะคดี และไม่มีอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมจนคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีแก่จำเลยตามคำพิพากษาตามยอมได้ ศาลจะปฏิเสธการบังคับคดีแก่จำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์โดยอ้างว่า ก.ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์โดยมิได้รับอนุญาตจากศาลก่อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546(4) ดังนี้ หาชอบไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3376/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินเด็ก ต้องได้รับอนุญาตจากศาลคดีเด็กและเยาวชนก่อน จึงจะมีผลผูกพัน
การทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับทรัพย์สินของเด็กตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 ผู้ใช้อำนาจปกครองจะทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาลก่อน และศาลดังกล่าวนั้นจะต้องเป็นศาลที่มีอำนาจอนุญาตด้วย
ขณะที่ผู้ใช้อำนาจปกครองทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับทรัพย์สินของเด็กในศาลแพ่ง ศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางเปิดดำเนินการแล้วผู้ใช้อำนาจปกครองจึงต้องได้รับอนุญาตจากศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ.2494 มาตรา 8 ก่อนมิฉะนั้นเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวและคำพิพากษาตามยอมไม่ผูกพันเด็ก ไม่ว่าเด็กจะรู้เห็นยินยอมหรือไม่
โจทก์ฟ้องคดีขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างบิดาผู้ใช้อำนาจปกครองกับจำเลยร่วมเป็นโมฆะ และให้เพิกถอนเสียการที่ศาลพิพากษาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีผลผูกพันเด็กนั้นไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142
คดีที่พนักงานอัยการฟ้องเพื่อประโยชน์ของเด็กในฐานะโจทก์มิใช่ฐานะทนายความ ศาลไม่สั่งให้ค่าทนายความแก่พนักงานอัยการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3376/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินเด็กต้องได้รับอนุญาตจากศาลคดีเด็กและเยาวชนก่อน จึงจะมีผลผูกพัน
การทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับทรัพย์สินของเด็กตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 ผู้ใช้อำนาจปกครองจะทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาลก่อน และศาลดังกล่าวนั้นจะต้องเป็นศาลที่มีอำนาจอนุญาตด้วย
ขณะที่ผู้ใช้อำนาจปกครองทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับทรัพย์สินของเด็กในศาลแพ่ง ศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางเปิดดำเนินการแล้ว ผู้ใช้อำนาจปกครองจึงต้องได้รับอนุญาตจากศาลคดีเด็กและเยาวชนกลาง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ.2494 มาตรา 8 ก่อนมิฉะนั้นเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวและคำพิพากษาตามยอม ไม่ผูกพันเด็ก ไม่ว่าเด็กจะรู้เห็นยินยอมหรือไม่
โจทก์ฟ้องคดีขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างบิดาผู้ใช้อำนาจปกครองกับจำเลยร่วมเป็นโมฆะ และให้เพิกถอนเสีย การที่ศาลพิพากษาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีผลผูกพันเด็กนั้น ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142
คดีที่พนักงานอัยการฟ้องเพื่อประโยชน์ของเด็กในฐานะโจทก์มิใช่ฐานะทนายความ ศาลไม่สั่งให้ค่าทนายความแก่พนักงานอัยการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1848/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลมีผลผูกพัน ไม่ต้องติดข้อจำกัดคำขอในฟ้อง ค่าทนายตกลงกันได้
สัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลและศาลพิพากษาตามยอมนั้นมิใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทอย่างคดีธรรมดาที่ต้องสืบพยานกันจึงไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142ซึ่งห้ามมิให้พิพากษาเกินคำขอหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง การที่คู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลตามมาตรา 138คงบังคับไว้แต่เพียงต้องตกลงกันในประเด็นแห่งคดี ซึ่งรวมถึงที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นด้วย ถ้านอกประเด็น ศาลก็ไม่มีหน้าที่ทำยอมให้ และเมื่อปรากฏชัดว่า ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย หรือเห็นว่าชอบด้วยกฎหมายแล้ว. ก็ต้องพิพากษาคดีให้เสร็จไปตามยอมนั้น ไม่มีหน้าที่ต้องย้อนไปดูว่าเกินคำขอในฟ้องหรือไม่
ส่วนที่ทนายจำเลยตกลงยอมให้ค่าทนายโจทก์ 3,000 บาทเมื่อทนายจำเลยมีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับฝ่ายโจทก์ได้ตามใบแต่งทนายจำเลย. จำเลยจะมาปฏิเสธไม่ยอมรับผิดชอบไม่ได้และกรณีเช่นนี้คู่ความจะตกลงค่าทนายความมากน้อยเท่าใดก็ได้เพราะเป็นเรื่องตกลงกันให้จำเลยรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมอันได้แก่ค่าทนายความด้วย ไม่จำต้องถือตามบัญชีอัตราค่าทนายความตามตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพราะมิใช่เรื่องที่ศาลกำหนดค่าทนายความให้ฝ่ายแพ้ใช้แทน ข้อตกลงเกี่ยวกับค่าทนายความนี้ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 163 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1848/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลมีผลผูกพันจำเลย แม้เกินคำขอในฟ้อง ค่าทนายตกลงกันได้
สัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลและศาลพิพากษาตามยอมนั้นมิใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทอย่างคดีธรรมดาที่ต้องสืบพยานกันจึงไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142ซึ่งห้ามมิให้พิพากษาเกินคำขอหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง การที่คู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลตามมาตรา 138 คงบังคับไว้แต่เพียงต้องตกลงกันในประเด็นแห่งคดี ซึ่งรวมถึงที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นด้วย ถ้านอกประเด็น ศาลก็ไม่มีหน้าที่ทำยอมให้ และเมื่อปรากฏชัดว่า ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือเห็นว่าชอบด้วยกฎหมายแล้ว. ก็ต้องพิพากษาคดีให้เสร็จไปตามยอมนั้น ไม่มีหน้าที่ต้องย้อนไปดูว่าเกินคำขอในฟ้องหรือไม่
ส่วนที่ทนายจำเลยตกลงยอมให้ค่าทนายโจทก์ 3,000 บาทเมื่อทนายจำเลยมีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับฝ่ายโจทก์ได้ตามใบแต่งทนายจำเลย. จำเลยจะมาปฏิเสธไม่ยอมรับผิดชอบไม่ได้และกรณีเช่นนี้คู่ความจะตกลงค่าทนายความมากน้อยเท่าใดก็ได้เพราะเป็นเรื่องตกลงกันให้จำเลยรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมอันได้แก่ค่าทนายความด้วย ไม่จำต้องถือตามบัญชีอัตราค่าทนายความตามตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพราะมิใช่เรื่องที่ศาลกำหนดค่าทนายความให้ฝ่ายแพ้ใช้แทน ข้อตกลงเกี่ยวกับค่าทนายความนี้ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 163 แล้ว
of 81