คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,640 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6573/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนตัวทนาย & เจตนาประวิงคดี: ศาลชอบที่จะไม่อนุญาตถอนตัวทนาย หากจำเลยทราบวันนัดแต่จงใจไม่มาศาล
การที่ทนายความจะยื่นคำขอต่อศาลให้สั่งถอนตนจากการแต่งตั้งให้เป็นทนาย จะต้องแสดงให้เป็นที่พอใจ แก่ศาลว่าทนายความผู้นั้นได้แจ้งให้ตัวความทราบแล้ว เว้นแต่จะหาตัวความไม่พบ แต่ตามคำร้องที่ทนายจำเลยยื่นต่อศาลชั้นต้นขอถอนตนจากการเป็นทนายจำเลยนั้น ไม่ปรากฏว่าทนายจำเลยได้แจ้งเรื่องการขอถอนตนให้จำเลยทราบแล้ว และมิใช่กรณีที่หาตัวจำเลยไม่พบ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตนจากการเป็นทนาย จึงชอบตาม ป.วิ.พ.มาตรา 65 วรรคหนึ่งแล้ว
ศาลชั้นต้นได้ให้โอกาสจำเลยนำพยานมาสืบถึง 3 นัด และกำชับมิให้จำเลยเลื่อนคดีมาโดยตลอด แต่จำเลยก็มิได้ใส่ใจที่จะนำพยานมาสืบตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ทั้ง ๆ ที่พยานจำเลยก็มีแต่ตัวจำเลยเพียงปากเดียวเท่านั้น ซึ่งสามารถจะสืบให้เสร็จสิ้นได้ในนัดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยังปรากฏจากคำร้องขอถอนตนของทนายจำเลยเองว่า จำเลยทราบวันนัดแล้วแต่ก็มิได้เดินทางมาเบิกความต่อศาลชั้นต้นตามนัด ซึ่งทนายจำเลยเห็นว่า การที่จำเลยไม่มาศาล 3 นัด ติดต่อกันเป็นการจงใจไม่มาศาลมีลักษณะประวิงคดีให้ล่าช้า ทนายจำเลยจึงขอถอนตนจากการเป็นทนายดังกล่าว เป็นการยอมรับว่าจำเลยมีพฤติการณ์ประวิงคดีจริง ตามพฤติการณ์ที่ปรากฏย่อมเป็นที่เห็นได้ว่า จำเลยมีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้า
เมื่อจำเลยแต่งตั้งทนายความให้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตนก็จะต้องรับผิดชอบในการกระทำของทนายความที่ตนแต่งตั้ง จำเลยจะอ้างว่าไม่ทราบวันนัดเพราะทนายความไม่แจ้งให้ทราบไม่ได้ จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6573/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนตัวทนาย & การประวิงคดี: ศาลมีสิทธิไม่อนุญาตถอนตัว & งดสืบพยานจำเลยได้
การที่ทนายความจะยื่นคำขอต่อศาลให้สั่งถอนตนจากการแต่งตั้งให้เป็นทนาย จะต้องแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่าทนายความผู้นั้นได้แจ้งให้ตัวความทราบแล้วเว้นแต่จะหาตัวความไม่พบ แต่ตามคำร้องที่ทนายจำเลยยื่นต่อศาลชั้นต้นขอถอนตนจากการเป็นทนายจำเลยนั้นไม่ปรากฏว่าทนายจำเลยได้แจ้งเรื่องการขอถอนตนให้จำเลยทราบแล้ว และมิใช่กรณีที่หาตัวจำเลยไม่พบการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตนจากการเป็นทนาย จึงชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 65 วรรคหนึ่งแล้ว ศาลชั้นต้นได้ให้โอกาสจำเลยนำพยานมาสืบถึง 3 นัดและกำชับมิให้จำเลยเลื่อนคดีมาโดยตลอด แต่จำเลยก็มิได้ใส่ใจที่จะนำพยานมาสืบตามคำสั่งของศาลชั้นต้นทั้ง ๆ ที่พยานจำเลยก็มีแต่ตัวจำเลยเพียงปากเดียวเท่านั้นซึ่งสามารถจะสืบให้เสร็จสิ้นได้ในนัดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยังปรากฏจากคำร้องขอถอนตนของทนายจำเลยเองว่าจำเลยทราบวันนัดแล้วแต่ก็มิได้เดินทางมาเบิกความต่อศาลชั้นต้นตามนัด ซึ่งทนายจำเลยเห็นว่า การที่จำเลยไม่มาศาล 3 นัด ติดต่อกันเป็นการจงใจไม่มาศาลมีลักษณะประวิงคดีให้ล่าช้า ทนายจำเลยจึงขอถอนตนจากการเป็นทนายดังกล่าว เป็นการยอมรับว่าจำเลยมีพฤติการณ์ประวิงคดีจริง ตามพฤติการณ์ที่ปรากฏย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้า เมื่อจำเลยแต่งตั้งทนายความให้ว่าความและดำเนิน กระบวนพิจารณาแทนตนก็จะต้องรับผิดชอบในการกระทำของทนายความที่ตนแต่งตั้ง จำเลยจะอ้างว่าไม่ทราบวันนัดเพราะทนายความไม่แจ้งให้ทราบไม่ได้ จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6503/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยมีวัตถุออกฤทธิ์เกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด และการแก้ไขโทษทางอาญาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา
อีเฟดรีนของกลางที่จำเลยที่ 1 มีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวต้องรับโทษเพียงใดอยู่ที่ปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ว่าหนักเท่าใด เมื่อข้อเท็จจริง ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 มีอีเฟดรีน ของกลางไว้ในครอบครอง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 13.12 กรัม ซึ่งตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 92(พ.ศ. 2538)รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนดไว้ว่าการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์อีเฟดรีน ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์แล้วต้องไม่เกินปริมาณ 12.000 กรัม การที่จำเลยมีอีเฟดรีน ไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดดังกล่าวจึงเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 มาตรา 106 ทวิ ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1ตามที่โจทก์ฟ้องนั้นได้ หาใช่เป็นการเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ไม่ ขณะเจ้าพนักงานเข้าตรวจค้น พบจำเลยที่ 2 นอนอยู่ที่เพิง ข้างบ้าน โดยจำเลยที่ 2 อ้างว่าไปนอนที่บ้านเกิดเหตุเพื่อดู หนังสือเตรียมตัวสอบ ส่วนจำเลยที่ 3 ไปพบจำเลยที่ 1เพราะจำเลยที่ 1 ชวนให้นอนค้างที่บ้านเกิดเหตุ เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้รู้เห็นในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 หรือสมคบกับจำเลยที่ 1กระทำผิดรายนี้ แม้จำเลยที่ 1 จะให้การในชั้นสอบสวนว่าจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 ช่วยถอดเครื่องมือที่ใช้ผลิตอีเฟดรีน เพื่อนำออกไปซ่อมก็ตาม แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ทราบข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 ผลิตอีเฟดรีน มาก่อน เพียงเท่านี้จึงยังไม่พอชี้ขาดว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีส่วนร่วมกระทำผิดรายนี้ด้วย โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 13 ทวิ,62,86,106 ทวิ ซึ่งการฝ่าฝืนมาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง บทกำหนดโทษคือมาตรา 89การที่โจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 86 แทนที่จะเป็นมาตรา 89 จึงเป็นกรณีโจทก์อ้างบทมาตราผิดศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 ตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 วรรคหนึ่ง,62 วรรคหนึ่ง,89,106 ทวิ ให้ลงโทษฐานผลิตตามมาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง,89 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 นั้น ยังไม่ถูกต้อง เพราะมาตรา 89 และมาตรา 106 ทวิ ต่างก็มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาทเท่ากัน ต้องพิพากษาว่าการกระทำของจำเลยที่ 1เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งมีอัตราโทษเท่ากันให้ลงโทษฐานผลิตวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ตามมาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง และมาตรา 89

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6393/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์โดยสุจริต และผลของการไม่โต้แย้งการแสดงกรรมสิทธิ์ต่อศาล
ซ.ได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่ท.และอ. พร้อมทั้งมอบโฉนดที่ดินให้ไว้ แต่มิได้จดทะเบียนการให้ ท.และอ.ได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า10 ปี แล้วจึงยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทและในการดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนของศาลไม่ปรากฏว่าโจทก์หรือทายาทอื่นของซ.ไปแถลงคัดค้านหรือโต้แย้งทั้งมีการประกาศนัดไต่สวนให้ผู้มีส่วนได้เสียทราบทั้งทางหนังสือพิมพ์และที่หน้าศาลและที่ต่าง ๆ อันเป็นการกระทำโดยเปิดเผยต่อสาธารณชนย่อมถือว่าทุกคนทราบประกาศดังกล่าวแล้ว นอกจากนี้คดีตามคำร้องขอของท. ที่ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและมีคำสั่งดังกล่าวเป็นคำร้องขอฝ่ายเดียวที่ ไม่มีคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งที่จะต้องส่งหมายเรียกให้แก้คดี การที่ศาลไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของท. โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จึงชอบด้วยกฎหมายและถือได้ว่า ท. ใช้สิทธิโดยสุจริตแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6337/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เอกสารปลอมส่งโทรสารสร้างความเสียหายร้ายแรง แม้ยังไม่เกิดความเสียหายจริง ศาลไม่รอการลงโทษ
แม้การกระทำของจำเลยยังไม่ทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหายก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยเป็นการใช้เอกสารปลอมโดยส่งโทรสาร ซึ่งหากผู้รับโทรสารเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงแล้วจะเกิดความเสียหายอย่างมาก แม้จำเลยจะไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนก็ตาม แต่พฤติการณ์แห่งคดีเป็นภัยร้ายแรงต่อสังคม ไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6330/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานโจทก์ไม่เพียงพอ ศาลยกฟ้องจำเลย และคืนของกลางแก่เจ้าของ
โจทก์มีคำขอให้ศาลสั่งคืนอาวุธปืน ซองกระสุนปืนและรถจักรยานยนต์ของกลางแก่เจ้าของ มิได้ขอให้ศาลสั่งริบศาลย่อมริบอาวุธปืน ซองกระสุนปืนและรถจักรยานยนต์ดังกล่าวมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคหนึ่ง การที่ศาลล่างทั้งสองสั่งริบอาวุธปืนซองกระสุนปืนและรถจักรยานยนต์ของกลางจึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6302/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการพิพากษาต้องเป็นไปตามคำขอ ศาลมิอาจวินิจฉัยประเด็นที่มิได้มีการอ้างในคำฟ้อง แม้จะเป็นทางจำเป็น
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางเดินพิพาทในที่ดินของจำเลยโดยอ้างว่าเป็นทางสาธารณะ ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง เสารั้ว หรือวัสดุอื่นใดซึ่งสร้างปิดกั้นทางเดินพิพาทออกไป กับขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในอัตราเดือนละ2,000 บาท แก่โจทก์ จำเลยให้การว่า ทางเดินพิพาทดังกล่าวไม่ใช่ทางสาธารณะจำเลยล้อมรั้วทำประโยชน์ในที่ดินของตน ไม่ได้ปิดกั้นทางสาธารณะ จึงเป็นกรณีที่โจทก์จำเลยพิพาทกันเฉพาะทางเดินพิพาทว่าเป็นทางสาธารณะหรือไม่เท่านั้น และศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า ที่ดินของโจทก์มีทางออกเป็นทางสาธารณะผ่านที่ดินจำเลยหรือไม่ และไม่ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทในเรื่องทางจำเป็นไว้ทั้งกรณีที่จะเป็นเรื่องทางจำเป็นนั้น ในคำฟ้องต้องปรากฏว่าที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ เมื่อคำฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าทางเดินพิพาทเป็นทางจำเป็นตาม ป.พ.พ.มาตรา 1349 ทั้งมิได้บรรยายหรือประสงค์ที่จะขอให้ทางเดินพิพาทเป็นทางจำเป็น การที่ศาลล่างวินิจฉัยฟังว่าทางเดินพิพาทเป็นทางจำเป็นและบังคับให้จำเลยเปิดทางจำเป็นให้แก่โจทก์ จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6251/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของเจ้าหนี้หลายรายและการวินิจฉัยดอกเบี้ยที่มิได้ยกขึ้นในชั้นศาล
ตามสัญญากู้ฉบับพิพาทที่โจทก์นำมาฟ้องได้ระบุวงเงินให้กู้ของโจทก์และของผู้ให้กู้อื่นแก่จำเลยที่ 1 ไว้คนละ จำนวนในวงเงินไม่เท่ากันและเป็นไปตามลำดับ โจทก์และ ผู้ให้กู้อื่นมีส่วนในหนี้นั้นแยกกัน จึงไม่เป็นเจ้าหนี้ร่วมกัน ทั้งตามสัญญาก็มิได้กำหนดว่าการฟ้องคดีโจทก์จะต้องได้รับ ความยินยอมหรือเห็นชอบจากผู้ให้กู้ด้วยกันเสียก่อนจึงจะฟ้องคดีได้ ตามบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องเจ้าหนี้หลายคนก็มิได้ระบุว่าผู้ให้กู้คนใดคนหนึ่งจะต้องได้รับ ความยินยอมหรือเห็นชอบจากผู้ให้กู้คนอื่นก่อนจึงจะฟ้องคดีได้ ดังนั้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้โดยไม่ต้อง ได้รับความยินยอมจากผู้ให้กู้รายอื่นก่อน ที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า อัตราดอกเบี้ยสูงเกินส่วนที่โจทก์ควรจะได้รับโจทก์วิเคราะห์ขนาดของเงินลงทุนผิดพลาด ทำให้จำเลยทั้งสี่เป็นหนี้หลายร้อยล้านบาทและไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษจำเลยทั้งสี่จึงไม่ต้องรับผิดเกินกว่าร้อยละ 13.5 ต่อปี นั้นตามคำให้การของจำเลยทั้งสี่ได้ให้การเกี่ยวกับดอกเบี้ยว่าจำเลยที่ 1 ได้รับเงินตามสัญญากู้ไม่ครบวงเงินกู้ทำให้โครงการขาดทุนหมุนเวียนถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ผิดสัญญาจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งสี่ก็อุทธรณ์ทำนองเดียวกันนี้ ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็วินิจฉัยว่าข้อที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ว่าจำเลยทั้งสี่ไม่ต้องรับผิดดอกเบี้ยเกินอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปีนั้น จำเลยทั้งสี่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จึงไม่รับวินิจฉัยให้ ดังนั้น ปัญหาเรื่องดอกเบี้ยซึ่งโจทก์ฟ้องเรียกในอัตราร้อยละ 21 ต่อปีสูงเกินไปหรือไม่จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ อีกทั้งปัญหาเรื่องนี้มิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6228/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เอกสารประกอบพยานหลักฐาน: การนำส่งเอกสารในศาล
ตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.อ.มาตรา 240 เมื่อโจทก์นำส่งเอกสารในเวลาพยานเบิกความ และศาลให้จำเลยตรวจดูแล้ว ศาลย่อมรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้ ไม่จำเป็นต้องคัดสำเนาให้จำเลยก่อนพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6210/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่อนุญาตแก้คำให้การเพื่อประวิงคดี ศาลใช้ดุลพินิจได้ตามกฎหมาย
คดีอาญานั้นแม้จำเลยจะให้การหรือไม่ให้การซึ่งถือเป็น สิทธิของจำเลยก็ตาม แต่คดีนี้จำเลยได้ให้การรับสารภาพ ตามฟ้องโจทก์ทุกประการแล้ว แสดงว่าจำเลยยอมรับว่าตน กระทำความผิดตามที่โจทก์กล่าวหามาในคำฟ้องนั้น ส่วนการขอแก้คำให้การของจำเลยนั้น ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 วรรคสองจำเลยสามารถยื่นคำร้องขอแก้คำให้การได้ต่อเมื่อมีเหตุอันควรมิใช่เป็นไปตามอำเภอใจของจำเลย อีกทั้งเป็นดุลพินิจของศาลเห็นสมควรจึงอนุญาตให้แก้ได้ การที่จำเลยยื่นคำร้องขอแก้คำให้การในคดีนี้จำเลยกระทำเพื่อประวิงคดีเท่านั้นจึงเป็นกรณีที่ไม่มีเหตุอันควร ศาลไม่อนุญาตให้จำเลยแก้คำให้การ
of 364