คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อำนาจศาล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,218 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1296/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลชั้นต้น: ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาประเด็นและจำเลยแถลงหมดพยาน ชอบที่จะพิพากษาได้
ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่ได้นั่งพิจารณาฟังประเด็นกลับ และจำเลยแถลงหมดพยานในวันดังกล่าว ถือว่าเป็นผู้นั่งพิจารณาคดี ชอบที่จะพิพากษาคดีในศาลชั้นต้นได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 183

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 912/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลไม่ครบและการขอบังคับคดีขับไล่: ศาลมีอำนาจสั่งให้ชำระเพิ่มเติมได้ และคำพิพากษาไม่เกินคำขอ
กรณีที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมาไม่ครบหรือไม่ถูกต้อง ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มให้ครบถ้วนได้ การที่ศาลชั้นต้นมิได้เรียกค่าขึ้นศาลไว้ให้ครบ เป็นการคลาดเคลื่อน และเป็นการผิดพลาดเฉพาะในเรื่องการเรียกค่าธรรมเนียมศาลขาด แต่ไม่กระทบถึงกระบวนพิจารณาอื่น ๆ หรือทำให้คำพิพากษาไม่มีผลบังคับแต่อย่างใด
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยได้นำรถไถเข้าไปไถที่ดินและหว่านกล้าในที่ดินพิพาททั้งแปลง ที่ดินพิพาทสามารถปลูกข้าวและปลูกพืชไร่ได้ตลอดทั้งปี ซึ่งโจทก์ก็ได้เรียกค่าเสียหายจากจำเลยมาเป็นรายปีจำเลยก็เบิกความยอมรับว่าได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท แม้โจทก์จะมีคำขอท้ายฟ้องแต่เพียงว่า ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก็ย่อมมีความหมายว่าขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงไม่นอกเหนือหรือเกินคำขอท้ายฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9081/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปรับบทลงโทษทางอาญา: ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขบทมาตราที่ศาลล่างใช้ผิดได้ แม้โจทก์จะขอให้ลงโทษตามบทมาตราเดิม
จำเลยขับรถจักรยานยนต์โดยไม่มีใบอนุญาต แต่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 62, 43 (2)ซึ่งไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องเป็นมาตรา 42, 43 (6) และแม้โจทก์จะขอให้ลงโทษตามมาตรา 43 (2) ก็ตาม เป็นเพียงแต่โจทก์อ้างบทมาตราผิดไป ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9024-9026/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รวมพิจารณาคดีเช็ค – แม้ฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาถึงสำนวนอื่นได้หากมีมูลเหตุเดียวกัน
แม้คดีอาญาหมายเลขแดงที่18442/2535และหมายเลขแดงที่19080/2536ของศาลชั้นต้นจำเลยจะฎีกาไม่ได้เพราะต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218วรรคหนึ่งก็ตามแต่คดีทั้งสองสำนวนดังกล่าวนั้นศาลชั้นต้นได้รวมพิจารณากับคดีอาญาหมายเลขแดงที่19081/2536ของศาลชั้นต้นเพราะโจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องและนำสืบว่าจำเลยออกเช็คพิพาททั้งสามสำนวนรวม13ฉบับเพื่อชำระหนี้ค่าทำรองเท้าตามใบส่งของเอกสารหมายจ.14หรือจ.18รวมราคา300,000บาทเศษเช่นเดียวกันคดีทั้งสามสำนวนจึงมีมูลกรณีเดียวกันเป็นคดีเกี่ยวพันกันและศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้รวมการพิจารณาเป็นคดีเดียวกันแล้วการฟังพยานหลักฐานก็ต้องฟังรวมเป็นคดีเดียวกันเมื่อจำต้องฟังพยานหลักฐานรวมกันเช่นนี้หากการกระทำของจำเลยในสำนวนใดไม่เป็นความผิดแล้วศาลฎีกาก็ย่อมมีอำนาจพิจารณาไปถึงข้อเท็จจริงในสำนวนนั้นด้วยเมื่อคดีอาญาหมายเลขแดงที่19081/2536ของศาลชั้นต้นจำเลยฎีกาและศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่18442/2535และหมายเลขแดงที่19080/2536ของศาลชั้นต้นศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาถึงคดีดังกล่าวทั้งสองสำนวนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา185

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9018/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลและความผิดเกี่ยวพัน: คดีหมิ่นประมาทจากหนังสือพิมพ์
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ด้วยถ้อยคำซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ และจำเลยที่ 2 บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ซึ่งได้ลงข้อความที่จำเลยที่ 1 ให้สัมภาษณ์ดังกล่าว อันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติการพิมพ์ ถือว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วย จึงเป็นความผิดเกี่ยวพันกันตาม ป.วิ.อ. มาตรา 24 (2) แม้ว่าจำเลยที่ 1 จะให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวที่กรุงเทพมหานคร แต่หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นได้ออกวางจำหน่ายทั่วราชอาณาจักร ซึ่งรวมทั้งจังหวัดปทุมธานี อันถือว่าความผิดได้เกิดในจังหวัดปทุมธานีด้วย โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อศาลจังหวัดปทุมธานีได้ ตามป.วิ.อ. มาตรา 22 และมาตรา 24 ศาลจังหวัดปทุมธานีมีอำนาจพิจารณาคดีนี้ได้ แม้ต่อมาโจทก์จะถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ก็หามีผลทำให้ศาลจังหวัดปทุมธานีไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9018/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาล: คดีหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์ ความผิดเกิดที่ไหนฟ้องได้ที่นั่น แม้ถอนฟ้องจำเลยร่วม
โจทก์ฟ้องจำเลยที่1ผู้ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ด้วยถ้อยคำซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์และจำเลยที่2บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ซึ่งได้ลงข้อความที่จำเลยที่1ให้สัมภาษณ์ดังกล่าวอันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติการพิมพ์ถือว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่2ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยจึงเป็นความผิดเกี่ยวพันกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา24(2)แม้ว่าจำเลยที่1จะให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวที่กรุงเทพมหานครแต่หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นได้ออกวางจำหน่ายทั่วราชอาณาจักรซึ่งรวมทั้งจังหวัดประทุมอันถือว่าความผิดได้เกิดในจังหวัดปทุมธานีด้วยโจทก์จึงฟ้องจำเลยที่1และที่2ต่อศาลจังหวัดปทุมธานีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา22และมาตรา24ศาลจังหวัดปทุมธานีมีอำนาจพิจารณาคดีนี้ได้แม้ต่อมาโจทก์จะถอนฟ้องจำเลยที่2ก็หามีผลทำให้ศาลจังหวัดปทุมธานีไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8185/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ทางสาธารณะ & ค่าฤชาธรรมเนียม: สิทธิในการใช้ยันบุคคลภายนอก และอำนาจศาลในการสั่งจ่าย
ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาคดีถึงที่สุดว่า ทางหน้าตึกที่จำเลยทั้งสองก่อสร้างกำแพงคอนกรีตและเทพื้นคอนกรีตเป็นทางที่เจ้าของที่ดินอุทิศให้เป็นทางสาธารณะ จึงเป็นทางสาธารณะ จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิกระทำเช่นนั้นได้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินเป็นคุณแก่โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองอาจใช้ยันผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่ผู้ร้องจะพิสูจน์ได้ว่าผู้ร้องมีสิทธิดีกว่า ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคสอง (2)
ในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม ไม่ว่าคู่ความจะมีคำขอหรือไม่ศาลต้องสั่งลงไว้ในคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดี ดังนั้น ในกรณีนี้แม้โจทก์ที่ 2 ไม่ได้มีคำขอมาในคำคัดค้านให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ที่ 2 ด้วย ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจสั่งให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ที่ 2 ได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 167

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8013/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลแรงงานมีอำนาจอนุญาตลงโทษทางวินัยลูกจ้างตามระเบียบของนายจ้างได้ โดยไม่เกินกรอบที่กฎหมายกำหนด
แม้ตามคำขอท้ายคำร้องของนายจ้างผู้ร้องได้ขอให้ศาลแรงงานอนุญาตลงโทษลูกจ้างผู้คัดค้านด้วยการตักเตือนเป็นหนังสือก็ตามแต่ตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องได้กำหนดโทษทางวินัยไว้ว่าพนักงานผู้ใดฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานจะถูกพิจารณาลงโทษตามที่เห็นสมควรดังนี้(1)ตักเตือนด้วยวาจา(2)ตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร(3)ตัดค่าจ้าง(4)ลดค่าจ้าง(5)พักงานโดยไม่จ่ายค่าจ้างไม่เกิน7วัน(6)เลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยจะเห็นได้ว่าการพิจารณาลงโทษพนักงานตามระเบียบข้อบังคับดังกล่าวต้องดูพฤติการณ์ของพนักงานที่กระทำการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับตามความร้ายแรงเป็นเรื่องๆไปกรณีคดีนี้ผู้คัดค้านขัดคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเป็นครั้งแรกและผู้ร้องมิได้เกิดความเสียหายที่ศาลแรงงานมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องลงโทษตักเตือนผู้คัดค้านด้วยวาจาจึงเป็นการใช้ดุลพินิจตามที่เห็นสมควรและเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้วทั้งโทษตักเตือนด้วยวาจาที่ศาลแรงงานมีคำสั่งอนุญาตก็เป็นโทษที่กำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของผู้ร้องหาใช่เป็นการอนุญาตให้ลงโทษต่ำกว่าโทษที่กำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานไม่และคำสั่งของศาลแรงงานที่อนุญาตให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ.2518มาตรา52ดังกล่าวมีผลเป็นเพียงการอนุญาตให้สิทธิแก่ผู้ร้องที่จะตักเตือนด้วยวาจาแก่ผู้คัดค้านได้เท่านั้นมิใช่เป็นคำสั่งแทนผู้ร้องให้มีผลลงโทษตักเตือนด้วยวาจาแก่ผู้คัดค้านได้โดยทันทีหากผู้ร้องประสงค์จะใช้สิทธิลงโทษตักเตือนผู้คัดค้านด้วยวาจาดังกล่าวก็จะต้องดำเนินการตักเตือนด้วยวาจาแก่ผู้คัดค้านเป็นอีกส่วนหนึ่งนอกจากนี้โทษตักเตือนด้วยวาจาก็เป็นโทษสถานเบากว่าโทษตักเตือนเป็นหนังสือตามที่ผู้ร้องร้องขอคำสั่งของศาลแรงงานที่อนุญาตให้ลงโทษตักเตือนผู้คัดค้านด้วยวาจาดังกล่าวจึงเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา52ที่บัญญัติห้ามมิให้ศาลแรงงานพิพากษาหรือสั่งเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฎในคำฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7878/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำและความเสียหายจากการบวกโทษ: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจจำกัดในการแก้ไขโทษจำคุก
การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีก่อน มีเจตนาเสนอจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น ส่วนการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีนี้ มีเจตนาเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ เมื่อเจตนาของการกระทำผิดทั้งสองข้อหาแตกต่างกัน การกระทำผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกัน โจทก์ย่อมฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดได้ ฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4)
หลังจากที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่นำโทษจำคุกของจำเลยที่ 2ที่รอไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษจำคุกคดีนี้แล้ว โจทก์ไม่อุทธรณ์ ถือว่าโจทก์พอใจในคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนการพิจารณาพิพากษาชั้นอุทธรณ์ ป.วิ.อ.มาตรา 212 บัญญัติว่า คดีที่จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้ลงโทษ ห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ในทำนองนั้น ฉะนั้นเมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ปัญหาเรื่องการบวกโทษแล้ว บทบัญญัติมาตรานี้ห้ามศาล-อุทธรณ์นำเรื่องการบวกโทษขึ้นมาวินิจฉัยอีก เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษแก่จำเลย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่ามีอำนาจบวกโทษจำเลยที่ 2 ได้เองจึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7878/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำและความชอบด้วยกฎหมายในการบวกโทษจำคุกคดีเก่ากับคดีใหม่ ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจเพิ่มเติมโทษหากโจทก์มิได้อุทธรณ์
การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีก่อนมีเจตนาเสนอจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น ส่วนการกระทำของจำเลยที่ 1และที่ 2 ในคดีนี้ มีเจตนาเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ เมื่อเจตนาของการกระทำผิดทั้งสองข้อหาแตกต่างกันการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกัน โจทก์ย่อมฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1และที่ 2 ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดได้ ฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) หลังจากที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่นำโทษจำคุกของจำเลยที่ 2ที่รอไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษจำคุกคดีนี้แล้ว โจทก์ไม่อุทธรณ์ ถือว่าโจทก์พอใจในคำพิพากษาศาลชั้นต้นส่วนการพิจารณาพิพากษาชั้นอุทธรณ์ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 บัญญัติว่าคดีที่จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้ลงโทษ ห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ในทำนองนั้น ฉะนั้นเมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ปัญหาเรื่องการบวกโทษแล้ว บทบัญญัติมาตรานี้ห้ามศาลอุทธรณ์นำเรื่องการบวกโทษขึ้นมาวินิจฉัยอีก เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษแก่จำเลยการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่ามีอำนาจบวกโทษจำเลยที่ 2 ได้เองจึงไม่ชอบ
of 222