พบผลลัพธ์ทั้งหมด 546 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19287/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จเกี่ยวกับโฉนดที่ดิน ทำให้ผู้อื่นเสียหาย ถือเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย
จำเลยเป็นเพียงผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนโจทก์ การที่จำเลยรู้อยู่แล้วว่าโฉนดที่ดินพิพาทอยู่ในความครอบครองของโจทก์มิได้สูญหาย แต่กลับไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าโฉนดที่ดินพิพาทสูญหาย แล้วนำบันทึกคำแจ้งความไปขอออกใบแทนโฉนดที่ดินแล้วโอนขายที่ดินพิพาทให้บุคคลภายนอก เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จตาม ป.อ. มาตรา 137 และโจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายเป็นพิเศษในการกระทำความผิดดังกล่าว มีอำนาจฟ้องคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15508/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องทุเลาการบังคับคดีในศาล ไม่ถือเป็นการแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน
การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล ถือว่าศาลทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานในการยุติธรรมในการพิจารณาคดี มิได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานอย่างเจ้าพนักงานทั่วไป การที่จำเลยทั้งสองกับพวกยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับในคดีส่วนแพ่งอันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งในศาล จึงมิใช่เป็นเรื่องการแจ้งความแก่เจ้าพนักงาน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เข้าลักษณะความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานตาม ป.อ. มาตรา 137
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12019/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จเกี่ยวกับสมุดคู่มือรถยนต์เพื่อขายรถ ศาลลงโทษเฉพาะผู้แจ้งเท็จ
การกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 267 ผู้กระทำต้องแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันทุจริตแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวนว่า สมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์พิพาทซึ่งอยู่กับโจทก์ได้สูญหายไป ทำให้พนักงานสอบสวนรับแจ้งความและออกหลักฐานการแจ้งความให้แก่จำเลยทั้งสอง แล้วจำเลยทั้งสองนำไปแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานขนส่งเพื่อให้ออกสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์พิพาทเล่มใหม่ให้แก่จำเลยทั้งสองนั้น เห็นได้ว่าโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองแจ้งให้เจ้าพนักงานของสำนักงานขนส่งจดข้อความอันเป็นเท็จใดลงในเอกสารราชการใดซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานอย่างไร ข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายฟ้องคงมีเพียงว่าจำเลยทั้งสองนำหลักฐานการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์พิพาทหายไป เอามาแสดงเพื่อขอให้เจ้าพนักงานของสำนักงานขนส่งออกสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์เล่มใหม่ให้แทนเล่มที่หายไป เช่นนี้ สมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์เล่มใหม่ที่นายทะเบียนออกให้นั้น ก็ย่อมต้องมีข้อความตามความเป็นจริงเหมือนกับเล่มเดิมที่มีการอ้างว่าหาย ไม่มีข้อความเท็จใด ๆ อยู่ในสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์เล่มใหม่เลย การกระทำของจำเลยทั้งสองตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมาจึงไม่อาจเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 267 และมาตรา 268 แต่เนื้อหาของข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายฟ้องพอที่จะรับฟังได้ว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองแจ้งข้อความเท็จต่อพนักงานสอบสวนตาม ป.อ. มาตรา 137 ซึ่งหากข้อเท็จจริงปรากฏตามที่โจทก์บรรยายฟ้องต่อไปว่า เมื่อแจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนแล้ว จำเลยทั้งสองนำหลักฐานการแจ้งความไปขอออกสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์เล่มใหม่ แล้วจำเลยที่ 1 ใช้สมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการโอนขายรถยนต์พิพาทให้แก่บุคคลภายนอก เช่นนี้ โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายเป็นพิเศษในการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 137 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2555)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2555)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11985/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาลและการแจ้งความเท็จ: ศาลชั้นต้นประทับฟ้องคดีที่เกินอำนาจ ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาและคืนฟ้อง
คดีนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยแจ้งความร้องทุกข์และให้การต่อพนักงานสอบสวนตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามความเข้าใจของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นชอบที่จะไม่ประทับฟ้องและโอนคดีไปให้ศาลที่มีอำนาจพิพากษาคดี การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งประทับรับฟ้องและพิจารณาพิพากษาคดีไปนั้นเป็นการไม่ชอบ จำหน่ายคดีของโจทก์ออกจากสารบบความ และพิพากษายกคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้นที่ประทับรับฟ้อง ให้คืนฟ้องโจทก์เพื่อให้นำไปดำเนินคดีในศาลที่มีอำนาจ มีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง จำเลยฎีกาไม่ได้ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11765/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานแจ้งความเท็จและใช้เอกสารเท็จเพื่อขอใบแทนโฉนด ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นกรรมเดียว
จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรธัญบุรีว่า ได้ทำโฉนดที่ดินเลขที่ 14120 เล่มที่ 142 หน้า 20 ตำบลคำใหญ่ อำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ ของจำเลยสูญหายไป และแจ้งให้พนักงานสอบสวนจดข้อความอันเป็นเท็จลงในบันทึกรายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารหายนั้น เพียงเพื่อนำบันทึกรายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารหายดังกล่าวไปใช้และอ้างแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดกาฬสินธุ์ สาขาหนองกุงศรี ในการขอรับใบแทนโฉนดที่ดินเท่านั้น การกระทำของจำเลยแม้จะเป็นการกระทำคนละวันและต่อเจ้าพนักงานคนละหน่วยงานกันแต่ก็เป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกันคือ เพื่อขอรับใบแทนโฉนดที่ดิน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10942/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเลือกตั้งและการแจ้งความเท็จ: ผู้เสียหายต้องเป็น กกต. หรือผู้สมัคร และอายุความหมิ่นประมาท
พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คณะกรรมการการเลือกตั้งควบคุมและดำเนินการจัดหรือจัดให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม การกระทำใดที่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว จึงมีผลกระทบโดยตรงต่อการเลือกตั้งและผู้สมัครรับเลือกตั้งเท่านั้น มิได้มีผลต่อบุคคลภายนอก ประกอบกับมาตรา 135 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว ยังบัญญัติว่า "ในกรณีที่ปรากฏว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เกิดขึ้นในเขตเลือกตั้งใด ให้ถือว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือผู้สมัครในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา" เมื่อโจทก์มิใช่คณะกรรมการการเลือกตั้งและมิใช่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง โจทก์จึงไม่เป็นผู้เสียหายตามที่กฎหมายบัญญัติรับรองไว้อีกด้วย ส่วนที่การกระทำของจำเลยอาจทำให้โจทก์ต้องรับโทษทางอาญาและถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง โจทก์ก็เป็นผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 137, 174 ได้อยู่แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10276/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: ปลอมเอกสาร-แจ้งความเท็จ ศาลฎีกาแก้เป็นกรรมเดียวลงโทษฐานใช้เอกสารปลอม
การที่จำเลยนำเอกสารใบลาออกของโจทก์ปลอมไปใช้แจ้งให้ อ. รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารใบอนุญาตต่าง ๆ (ร.12) เป็นหลักฐานว่า อนุญาตให้โจทก์ลาออกจากตำแหน่งครูโรงเรียนนั้น จำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาเดียวคือเพื่อให้เจ้าพนักงานผู้กระทำตามหน้าที่หลงเชื่อข้อความในเอกสารที่จำเลยทำปลอมขึ้นว่าถูกต้องแท้จริงนั่นเอง การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 969/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันในความผิดเกี่ยวกับเอกสารทางราชการและการแจ้งความเท็จ การปรับบทกฎหมายและขอบเขตการแก้ไขโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องแยกการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ออกเป็นสามกรรมต่างกันและมีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 91 แม้ความผิดดังกล่าวจำเลยที่ 1 จะกระทำเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ของระบบงานทะเบียนราษฎรและมีจุดประสงค์ในการกระทำความผิดเพียงอย่างเดียวคือเพื่อให้ได้อาศัยอยู่กับสามีและบุตรในประเทศไทยอย่างถาวรก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระและอาศัยเจตนาในการกระทำความผิดแยกต่างหากจากกัน เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องแยกการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันโดยชัดแจ้งและจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดเฉพาะตาม ป.อ. มาตรา 137, 265, 267, 268 วรรคแรก เป็นความผิดสามกรรม จำคุกกระทงละ 2 ปี ลดโทษตาม ป.อ. มาตรา 78 ให้กระทงกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 3 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน ฯ มาตรา 14 (1) (3) วรรคสองด้วย และลงโทษจำเลยที่ 1 สองกระทง กระทงละ 2 ปี ลดโทษตาม ป.อ. มาตรา 78 ให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี เป็นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องจึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 แต่ละกระทงไม่เกินห้าปี ฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นฎีกาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้และคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้พร้อมฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3
ตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน ฯ มาตรา 14 วรรคท้าย บัญญัติว่าถ้าผู้กระทำความผิดตาม (1) หรือ (2) หรือ (3) เป็นผู้ไม่มีสัญชาติไทยต้องระวางโทษหนักขึ้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน ฯ มาตรา 14 (1) (3) วรรคสอง จึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง แต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์และฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขโทษให้หนักขึ้นได้ เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดเฉพาะตาม ป.อ. มาตรา 137, 265, 267, 268 วรรคแรก เป็นความผิดสามกรรม จำคุกกระทงละ 2 ปี ลดโทษตาม ป.อ. มาตรา 78 ให้กระทงกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 3 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน ฯ มาตรา 14 (1) (3) วรรคสองด้วย และลงโทษจำเลยที่ 1 สองกระทง กระทงละ 2 ปี ลดโทษตาม ป.อ. มาตรา 78 ให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี เป็นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องจึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 แต่ละกระทงไม่เกินห้าปี ฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นฎีกาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้และคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้พร้อมฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3
ตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน ฯ มาตรา 14 วรรคท้าย บัญญัติว่าถ้าผู้กระทำความผิดตาม (1) หรือ (2) หรือ (3) เป็นผู้ไม่มีสัญชาติไทยต้องระวางโทษหนักขึ้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน ฯ มาตรา 14 (1) (3) วรรคสอง จึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง แต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์และฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขโทษให้หนักขึ้นได้ เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8815/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เอกสารอันเกิดจากการแจ้งความเท็จ และการลงโทษซ้ำซ้อนในความผิดอาญา
เอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ คือ รายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารหาย มิใช่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ซึ่งเป็นเอกสารที่เป็นผลมาจากการแจ้งดังกล่าว ดังนั้น การที่จำเลยใช้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) แสดงต่อธนาคาร พ. สาขาบ้านไร่ จึงไม่ใช่การใช้เอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรา 267
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1424/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จและฟ้องเท็จ กรณีปลอมแปลงเอกสารและเบิกความเท็จต่อศาล
จำเลยทราบว่าลายมือชื่อที่จำเลยอ้างว่าปลอม ความจริงเป็นลายมือชื่อของจำเลยซึ่งลงชื่อไว้ มิใช่ลายมือชื่อปลอม การที่จำเลยแจ้งว่ามีการปลอมลายมือชื่อจึงเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดทางอาญาแก่พนักงานสอบสวนโดยรู้อยู่แล้วว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 173 และเมื่อจำเลยเอาความเป็นเท็จฟ้องโจทก์ต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการฟ้องเท็จอันเป็นความผิดตามมาตรา 175 อีกกระทงหนึ่ง ส่วนความผิดตามมาตรา 174 วรรคสอง ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยแจ้งความเท็จเพื่อจะแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษ จำเลยมิได้ยืนยันว่าผู้ที่ปลอมเอกสารคือโจทก์ โดยจำเลยแจ้งความเพียงว่าจำเลยสงสัยโจทก์ ยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษ ไม่อาจเป็นความผิดตามมาตรานี้