พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6,814 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2176/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องอาญาต้องชัดเจนในองค์ประกอบความผิด การพิพากษาเกินฟ้องเป็นเหตุให้ต้องยกฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องในข้อ 1 วรรคสอง เพียงว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำนวน 540 เม็ด น้ำหนัก 45.679 กรัม ซึ่งคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 5.643 กรัม อันเป็นจำนวนเกินปริมาณที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนดไว้ในครอบครองของจำเลยโดยไม่ได้ใบอนุญาตอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องไว้ในครอบครองเพื่อขาย อันเป็นการขายเมทแอมเฟตามีนตามความหมายของพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 4 ซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่งโจทก์บรรยายฟ้องต่อมาในข้อ 2 ว่าเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อขายตามฟ้องข้อ 1 เป็นของกลางเป็นเพียงขยายความเมทแอมเฟตามีนที่ถูกยึดเป็นของกลางเท่านั้น ไม่ถือว่าโจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย และแม้จะอ้างบทมาตราเกี่ยวกับการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายมาในคำขอท้ายฟ้อง ศาลก็ไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายได้เพราะเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่กล่าวมาในฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง
ศาลฎีกายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายจึงไม่อาจริบเมทแอมเฟตามีนตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯมาตรา 116 ได้ แต่การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเป็นความผิดจึงให้ริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32
ศาลฎีกายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายจึงไม่อาจริบเมทแอมเฟตามีนตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯมาตรา 116 ได้ แต่การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเป็นความผิดจึงให้ริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2160/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบเงินสดจากความผิดยาเสพติด: ศาลต้องพิจารณาความเชื่อมโยงกับความผิดที่ฟ้อง และอำนาจตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานผลิตเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่าย มิได้ขอให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เงินสดที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จึงมิใช่เครื่องมือ เครื่องใช้หรือวัตถุอื่น ซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดตามมาตรา 102 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 หรือเป็นทรัพย์สินซึ่งจำเลยได้มาโดยการกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษอันศาลมีอำนาจสั่งริบได้ตาม ป.อ. มาตรา 33 (2) จึงไม่อาจริบได้ แม้จำเลยไม่ฎีกา แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2156/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิด พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม: การกระทำความผิดหลายกรรมต่างวาระ และการใช้ข้อเท็จจริงจากการสืบเสาะพินิจ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่โจทก์ฟ้องว่าเป็นความผิดและตามบทกฎหมายที่กำหนดโทษไว้ การที่ศาลอุทธรณ์ยกข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ ซึ่งจำเลยทราบแล้วไม่ได้โต้เถียงหรือคัดค้านมากล่าวในคำพิพากษาประกอบการพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการร้ายแรงหรือไม่เพียงใด เพื่อที่ศาลอุทธรณ์จะได้ใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าสมควรจะลงโทษหรือรอการลงโทษให้แก่จำเลย หาใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวมาในฟ้องไม่
ความผิดตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2498 ฐานมีโทรศัพท์มือถืออันเป็นเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 23 และความผิดฐานจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตามมาตรา 26มีองค์ประกอบความผิดต่างกัน กล่าวคือความผิดตามมาตรา 23 เป็นความผิดเพราะจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจออกใบอนุญาต ส่วนความผิดมาตรา 26 เป็นความผิดเพราะจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม แม้จำเลยจะมีโทรศัพท์มือถือโดยได้รับหรือไม่ได้รับอนุญาตก็ตามหากจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมแล้วการกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตาม มาตรา 26 ซึ่งเป็นความผิด 2 กรรมเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระเป็น 2 กรรม ชอบแล้ว
ความผิดตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2498 ฐานมีโทรศัพท์มือถืออันเป็นเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 23 และความผิดฐานจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตามมาตรา 26มีองค์ประกอบความผิดต่างกัน กล่าวคือความผิดตามมาตรา 23 เป็นความผิดเพราะจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจออกใบอนุญาต ส่วนความผิดมาตรา 26 เป็นความผิดเพราะจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม แม้จำเลยจะมีโทรศัพท์มือถือโดยได้รับหรือไม่ได้รับอนุญาตก็ตามหากจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมแล้วการกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตาม มาตรา 26 ซึ่งเป็นความผิด 2 กรรมเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระเป็น 2 กรรม ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2156/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพ.ร.บ.วิทยุคมนาคม: การมี-ใช้โทรศัพท์มือถือโดยไม่ได้รับอนุญาต และการรบกวนสัญญาณ การลงโทษและการรอการลงโทษ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่โจทก์ฟ้องว่าเป็นความผิดและตามบทกฎหมายที่กำหนดโทษไว้ การที่ศาลอุทธรณ์ยกข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ ซึ่งจำเลยทราบแล้วไม่ได้โต้เถียงหรือคัดค้านมากล่าวในคำพิพากษาประกอบการพิจารณาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการร้ายแรงหรือไม่เพียงใด เพื่อที่ศาลอุทธรณ์จะได้ใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าสมควรจะลงโทษหรือรอการลงโทษให้แก่จำเลย หาใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องไม่
ความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498ฐานมีโทรศัพท์มือถืออันเป็นเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 23 และความผิดฐานจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตามมาตรา 26 มีองค์ประกอบความผิดต่างกัน กล่าวคือความผิดตามมาตรา 23 เป็นความผิดเพราะจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจออกใบอนุญาต ส่วนความผิดมาตรา 26 เป็นความผิดเพราะจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม แม้จำเลยจะมีโทรศัพท์มือถือโดยได้รับหรือไม่ได้รับอนุญาตก็ตาม หากจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมแล้ว การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตามมาตรา 26 ซึ่งเป็นความผิด 2 กรรม เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระเป็น 2 กรรม ชอบแล้ว
ความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498ฐานมีโทรศัพท์มือถืออันเป็นเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 23 และความผิดฐานจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตามมาตรา 26 มีองค์ประกอบความผิดต่างกัน กล่าวคือความผิดตามมาตรา 23 เป็นความผิดเพราะจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจออกใบอนุญาต ส่วนความผิดมาตรา 26 เป็นความผิดเพราะจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม แม้จำเลยจะมีโทรศัพท์มือถือโดยได้รับหรือไม่ได้รับอนุญาตก็ตาม หากจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมแล้ว การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตามมาตรา 26 ซึ่งเป็นความผิด 2 กรรม เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระเป็น 2 กรรม ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2156/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพ.ร.บ.วิทยุคมนาคม: การมี-ใช้เครื่องวิทยุโดยไม่ได้รับอนุญาต และการรบกวนสัญญาณ การพิพากษาลงโทษและดุลพินิจศาล
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่โจทก์ฟ้องว่าเป็นความผิดและตามบทกฎหมายที่กำหนดโทษไว้ การที่ศาลอุทธรณ์ยกข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ ซึ่งจำเลยทราบแล้วไม่ได้โต้เถียงหรือคัดค้านมากล่าวในคำพิพากษาประกอบการพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการร้ายแรงหรือไม่เพียงใด เพื่อที่ศาลอุทธรณ์จะได้ใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าสมควรจะลงโทษหรือรอการลงโทษให้แก่จำเลย หาใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวมาในฟ้องไม่
ความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 ฐานมีโทรศัพท์มือถืออันเป็นเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 23 และความผิดฐานจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตามมาตรา 26 มีองค์ประกอบความผิดต่างกัน กล่าวคือความผิดตามมาตรา 23 เป็นความผิดเพราะจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจออกใบอนุญาตส่วนความผิดมาตรา 26 เป็นความผิดเพราะจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม แม้จำเลยจะมีโทรศัพท์มือถือโดยได้รับหรือไม่ได้รับอนุญาตก็ตามหากจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมแล้วการกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตาม มาตรา 26 ซึ่งเป็นความผิด 2 กรรม เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระเป็น 2 กรรม ชอบแล้ว
ความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 ฐานมีโทรศัพท์มือถืออันเป็นเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 23 และความผิดฐานจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตามมาตรา 26 มีองค์ประกอบความผิดต่างกัน กล่าวคือความผิดตามมาตรา 23 เป็นความผิดเพราะจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจออกใบอนุญาตส่วนความผิดมาตรา 26 เป็นความผิดเพราะจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม แม้จำเลยจะมีโทรศัพท์มือถือโดยได้รับหรือไม่ได้รับอนุญาตก็ตามหากจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมแล้วการกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตาม มาตรา 26 ซึ่งเป็นความผิด 2 กรรม เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระเป็น 2 กรรม ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2155/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอม และฉ้อโกง โดยการแสดงตนเป็นผู้อื่น
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ปลอมลายมือชื่อของผู้เสียหายที่ 2 ลงในบัตรเครดิตของผู้เสียหายที่ 2 ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 2 ปลอมลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ลงในใบสั่งซื้อสินค้า (ใบเซ็นชื่อ) แล้วใช้แสดงใบสินค้าต่อพนักงานขายสินค้าของผู้เสียหายที่ 3 โดยแสดงตนเป็นคนอื่นนั้น ย่อมเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 265 และมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265 และฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นตามมาตรา 342 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2000/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยต้องพิสูจน์ว่าไม่ได้รู้ว่าลูกโป่งละเมิดลิขสิทธิ์ การกระทำจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์
งานภาพพิมพ์รูปการ์ตูนหมีพูห์ (WinniethePooh) ของผู้เสียหายอันเป็นศิลปกรรมอยู่ในประเภทของงานอันมีลิขสิทธิ์ที่ผู้เสียหายสร้างสรรค์จินตนาการนั้นเป็นการสร้างสรรค์จินตนาการโดยวิจักขณ์จากธรรมชาติซึ่งเป็นสัตว์โลกที่เรียกกันว่า "หมี"(BEAR) มาเป็นงานศิลปกรรมในรูปการ์ตูนสัตว์โลกที่เป็น "หมี" เป็นสัตว์ธรรมชาติที่มีชีวิตที่งดงามแปลกหูแปลกตาและแปลกไปจากสัตว์อื่น มนุษย์ทุกคนย่อมมีปรัชญาศิลปะอยู่ในตัวบ้างไม่มากก็น้อย เมื่อพบเห็นสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติก็สามารถสร้างสรรค์จินตนาการในศิลปะในลักษณะต่าง ๆ กันได้เมื่อการสร้างสรรค์จินตนาการภาพการ์ตูนมีที่มาจากสัตว์ธรรมชาติอย่างเดียวกันโดยการริเริ่มขึ้นเองของผู้สร้างสรรค์แต่ละคน งานศิลปกรรมดังกล่าวจึงอาจจะเหมือนหรือคล้ายกันได้โดยไม่จำต้องมีการลอกเลียนทำซ้ำกันหรือดัดแปลงงานของกันและกันแต่อย่างใด พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 6 วรรคสอง ไม่ได้ให้ความคุ้มครองแก่ความคิดในการสร้างสรรค์งาน การใช้ความคิดริเริ่มนำเอาความสวยงามตามธรรมชาติของสัตว์โลกมาสร้างสรรค์จินตนาการเป็นภาพการ์ตูนจึงเป็นความคิดที่กฎหมายไม่ได้ให้ความคุ้มครองเอาไว้เพราะมิฉะนั้นจะเป็นการผูกขาดจินตนาการหรือสุนทรียภาพในทางความคิดก่อให้เกิดผลเสียแก่มนุษยชาติ เนื่องจากจะมีผลทำให้บุคคลอื่นไม่สามารถสร้างสรรค์จินตนาการของตนเองเป็นภาพการ์ตูนจากสัตว์ธรรมชาติหรือจากสิ่งที่เป็นธรรมชาติชนิดเดียวกันหรือประเภทเดียวกันได้ กฎหมายลิขสิทธิ์จึงคุ้มครองเฉพาะการแสดงออกซึ่งความคิดซึ่งอยู่ภายใต้เงื่อนไขของมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ
เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ในงานศิลปกรรมภาพพิมพ์ตัวการ์ตูนรูปหมีพูห์ของผู้เสียหายโดยนำลูกโป่งที่มีภาพการ์ตูนรูปหมีพูห์ซึ่งได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายจำนวน 4,435 ใบ ออกขายเสนอขายแก่บุคคลทั่วไปเพื่อหากำไรและเพื่อการค้า โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่ารูปหมีพูห์ดังกล่าวเป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายโจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบให้ฟังได้ว่า ลูกโป่งจำนวนดังกล่าวที่มีภาพตัวการ์ตูนรูปหมีพูห์ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย และจำเลยรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่ารูปหมีพูห์บนลูกโป่งดังกล่าวเป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย เมื่อปรากฏว่าจำเลยรับซื้อลูกโป่งจากบุคคลอื่นมาบรรจุแผงขาย เจ้าพนักงานตำรวจค้นและแยกลูกโป่งออกจากกันแล้ว พบว่ามีลูกโป่งที่มีภาพการ์ตูนหมีพูห์ที่คล้ายภาพหมีพูห์ซึ่งเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายได้เพียง 4,435 ใบจากจำนวนลูกโป่งทั้งหมดเกือบ 1,000,000 ใบ ซึ่งมีภาพการ์ตูนสัตว์หลายประเภทปะปนกันนับว่าเป็นจำนวนน้อยมาก ข้อเท็จจริงมีน้ำหนักและเหตุผลให้เชื่อได้ดังที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยสั่งซื้อลูกโป่งมาขายแก่ลูกค้าโดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับภาพพิมพ์บนลูกโป่งว่าจะเป็นภาพใดแต่เน้นที่สีของลูกโป่ง เนื้อของลูกโป่งความยืดหยุ่น และลูกโป่งที่ไม่รั่วเท่านั้น โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดมานำสืบให้ฟังได้ว่า ภาพหมีพูห์บนลูกโป่งของกลางคือภาพที่ได้ทำขึ้นโดยมิได้มีการริเริ่มสร้างสรรค์ขึ้นเอง แต่เป็นการทำซ้ำหรือดัดแปลงงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย
แม้จะฟังว่าภาพการ์ตูนหมีพูห์บนลูกโป่งของกลางได้มีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ในงานภาพพิมพ์หมีพูห์ของผู้เสียหาย แต่พยานหลักฐานเท่าที่โจทก์นำสืบมายังไม่พอให้ฟังได้ว่า จำเลยรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานภาพพิมพ์บนลูกโป่งของกลางนั้นได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ในงานศิลปกรรมภาพพิมพ์รูปหมีพูห์ของผู้เสียหาย แล้วจำเลยยังนำลูกโป่งที่มีภาพพิมพ์นั้นออกขายแก่ลูกค้าทั่วไป จำเลยจึงยังไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 31 และ 70 วรรคสอง
เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ในงานศิลปกรรมภาพพิมพ์ตัวการ์ตูนรูปหมีพูห์ของผู้เสียหายโดยนำลูกโป่งที่มีภาพการ์ตูนรูปหมีพูห์ซึ่งได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายจำนวน 4,435 ใบ ออกขายเสนอขายแก่บุคคลทั่วไปเพื่อหากำไรและเพื่อการค้า โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่ารูปหมีพูห์ดังกล่าวเป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายโจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบให้ฟังได้ว่า ลูกโป่งจำนวนดังกล่าวที่มีภาพตัวการ์ตูนรูปหมีพูห์ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย และจำเลยรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่ารูปหมีพูห์บนลูกโป่งดังกล่าวเป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย เมื่อปรากฏว่าจำเลยรับซื้อลูกโป่งจากบุคคลอื่นมาบรรจุแผงขาย เจ้าพนักงานตำรวจค้นและแยกลูกโป่งออกจากกันแล้ว พบว่ามีลูกโป่งที่มีภาพการ์ตูนหมีพูห์ที่คล้ายภาพหมีพูห์ซึ่งเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายได้เพียง 4,435 ใบจากจำนวนลูกโป่งทั้งหมดเกือบ 1,000,000 ใบ ซึ่งมีภาพการ์ตูนสัตว์หลายประเภทปะปนกันนับว่าเป็นจำนวนน้อยมาก ข้อเท็จจริงมีน้ำหนักและเหตุผลให้เชื่อได้ดังที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยสั่งซื้อลูกโป่งมาขายแก่ลูกค้าโดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับภาพพิมพ์บนลูกโป่งว่าจะเป็นภาพใดแต่เน้นที่สีของลูกโป่ง เนื้อของลูกโป่งความยืดหยุ่น และลูกโป่งที่ไม่รั่วเท่านั้น โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดมานำสืบให้ฟังได้ว่า ภาพหมีพูห์บนลูกโป่งของกลางคือภาพที่ได้ทำขึ้นโดยมิได้มีการริเริ่มสร้างสรรค์ขึ้นเอง แต่เป็นการทำซ้ำหรือดัดแปลงงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย
แม้จะฟังว่าภาพการ์ตูนหมีพูห์บนลูกโป่งของกลางได้มีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ในงานภาพพิมพ์หมีพูห์ของผู้เสียหาย แต่พยานหลักฐานเท่าที่โจทก์นำสืบมายังไม่พอให้ฟังได้ว่า จำเลยรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานภาพพิมพ์บนลูกโป่งของกลางนั้นได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ในงานศิลปกรรมภาพพิมพ์รูปหมีพูห์ของผู้เสียหาย แล้วจำเลยยังนำลูกโป่งที่มีภาพพิมพ์นั้นออกขายแก่ลูกค้าทั่วไป จำเลยจึงยังไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 31 และ 70 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1915/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ พิจารณาจากพฤติการณ์และคำพูดของผู้กระทำ หากไม่มีเจตนาเอาทรัพย์ไปเป็นการถาวร ไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
จำเลยทั้งสองว่าจ้างให้ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ไปส่งระหว่างทางมีการบังคับให้ผู้เสียหายเข้าไปในกระท่อมแต่ผู้เสียหายไม่ยอม จำเลยที่ 2 เอามือรัดคอผู้เสียหายและดึงเอากุญแจมาส่งให้จำเลยที่ 1 ซึ่งนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์อยู่ เมื่อมีคนขับรถจักรยานยนต์รับจ้างเข้ามาช่วย จำเลยทั้งสองก็เอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายขับหลบหนีไป ก่อนจำเลยทั้งสองขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปมีจำเลยคนหนึ่งพูดว่าให้ผู้เสียหายไปเอารถจักรยานยนต์คืนที่โรงเรียนวัด บ. แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองเพียงต้องการนำรถจักรยานยนต์คันที่ผู้เสียหายขับไปใช้ชั่วคราวโดยตั้งใจจะคืนให้ภายหลัง มิได้กระทำเพื่อเป็นการตัดกรรมสิทธิ์ตลอดไป จึงมิใช่เป็นการกระทำที่ถือว่าเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไป อันจะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1863/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ปล้นทรัพย์โดยใช้กำลังและความร่วมมือ จำเลยมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด
รถคู่กรณีทั้งสองคันจอดติดสัญญาณไฟจราจรสีแดง แต่จำเลยที่ 1กลับขับรถชนท้ายรถผู้เสียหายเพื่อให้ผู้เสียหายลงจากรถมาเจรจา ต่อมาผู้เสียหายเผลอ จำเลยที่ 2 ขึ้นรถของผู้เสียหายจะขับหลบหนีไป เมื่อผู้เสียหายได้ร้องห้าม กลับขับรถพุ่งเข้าใส่ผู้เสียหาย โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งให้จำเลยที่ 2นำรถของผู้เสียหายไป เจ้าพนักงานตำรวจยึดรถของผู้เสียหายได้ห่างจากที่เกิดเหตุหลายร้อยเมตร จึงเป็นการเอาทรัพย์ไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น อันเป็นการเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยทุจริตแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ได้ใช้มือตีแขนและคอของผู้เสียหายขณะผู้เสียหายพยายามจะหยุดรถที่จำเลยที่ 1 ขับตามจำเลยที่ 2ไป เป็นการใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายเพื่อให้ความสะดวกแก่การพาทรัพย์นั้นไป จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานปล้นทรัพย์
จำเลยที่ 3 นั่งรถมากับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตั้งแต่ต้น ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 3 อยู่ด้วยตลอดเวลา แสดงว่าจำเลยที่ 3 ทราบการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 มาโดยตลอด และหลังเกิดเหตุก็หลบหนีไปด้วยกันเชื่อว่ามีการวางแผนร่วมกันมาก่อน และเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ พฤติการณ์เช่นนี้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 3 มีเจตนาร่วมกระทำความผิดกับพวก จึงเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์
จำเลยที่ 3 นั่งรถมากับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตั้งแต่ต้น ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 3 อยู่ด้วยตลอดเวลา แสดงว่าจำเลยที่ 3 ทราบการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 มาโดยตลอด และหลังเกิดเหตุก็หลบหนีไปด้วยกันเชื่อว่ามีการวางแผนร่วมกันมาก่อน และเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ พฤติการณ์เช่นนี้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 3 มีเจตนาร่วมกระทำความผิดกับพวก จึงเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1823/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา (มีเหตุทำร้ายร่างกาย) และช่วยเหลือตัวผู้กระทำผิด
++ เรื่อง ความผิดต่อชีวิต ++
++ ทดสอบทำงานในเครื่อง ++
++
++
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่7 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 7 นาฬิกา มีผู้พบศพนายอุรินทร์หาญเสือเหลือง ผู้ตายอยู่ในร่องน้ำข้างสะพาน ริมถนนจากบ้านหนองหมูไปบ้านป่าแขมใต้ ตำบลบ้านมาง อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา
++
++ ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1 มีว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่
++ โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบเพื่อให้เห็นสาเหตุว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตายเพราะว่าจำเลยทั้งสองเป็นชู้กัน โดยโจทก์ร่วมทั้งสองเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายเล่าให้ฟังว่าจำเลยที่ 2 เป็นชู้กับจำเลยที่ 1 ผู้ตายจะหย่ากับจำเลยที่ 2 โจทก์ร่วมทั้งสองห้ามปรามไว้เนื่องจากเห็นว่ามีบุตรด้วยกัน ผู้ตายพูดว่าเมื่อไม่หย่าก็จะร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 นอกจากนี้โจทก์และโจทก์ร่วมยังมีนางจันทนา เงินวงศ์นัยครูโรงเรียนเดียวกันกับผู้ตายเบิกความเป็นพยานว่า เมื่อประมาณปี 2536ถึงปี 2537 เคยไปบ้านจำเลยที่ 2 เพื่อจะนำมะม่วงไปให้ พบจำเลยที่ 2นั่งคลอเคลียพลอดรักอยู่กับจำเลยที่ 1 จึงทำทีออกมาเรียกว่ามีใครอยู่ในบ้านบ้าง เมื่อเข้าไปใหม่จำเลยทั้งสองจึงแยกจากกันและได้ยินข่าวว่าจำเลยทั้งสองมีเรื่องชู้สาวกัน นายสินธุ ทนันชัย พยานโจทก์และโจทก์ร่วมอีกปากหนึ่งก็เบิกความว่าทราบข่าวว่าจำเลยทั้งสองเป็นชู้กัน และชาวบ้านพูดกันว่าจำเลยที่ 2 เป็นชู้กับจำเลยที่ 1 พยานหลักฐานโดยตรงเกี่ยวกับจำเลยที่ 1นั้น โจทก์และโจทก์ร่วมมีนายสินธุเบิกความว่า เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2537มีการแข่งขันฟุตบอลที่โรงเรียนชุมชนบ้านมาง หลังจากเสร็จการแข่งขันแล้วเวลาประมาณ 17.30 นาฬิกา ได้มีการร่วมวงดื่มสุรากันข้างสนามฟุตบอลโดยมีผู้ตายร่วมด้วย เวลาประมาณ 18 นาฬิกา จำเลยที่ 1 มาร่วมดื่มสุราด้วย จากนั้นอีกประมาณ 1 ชั่วโมง คนที่ร่วมวงได้ขอตัวกลับคงเหลือแต่นายสินธุกับผู้ตายและจำเลยที่ 1 อีกประมาณ 15 นาทีทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับ นายสินธุเดินมาเอารถจักรยานยนต์ของตนเองผู้ตายกับจำเลยที่ 1 เดินคู่กันไปเอารถยนต์ของผู้ตายซึ่งจอดอยู่ที่โรงอาหารเมื่อนายสินธุขับรถผ่านผู้ตายตะโกนถามว่า จะไปต่อบนดอยซึ่งหมายถึงบ้านของจำเลยที่ 1 หรือไม่ นายสินธุตอบว่าขอคิดดูก่อน แล้วนายสินธุขับรถมาที่ประตูหน้าโรงเรียน แวะบ้านนายฮดที่หน้าโรงเรียน ระหว่างนั้นเห็นรถผู้ตายออกมา แต่ไม่ได้สังเกตว่าใครเป็นคนขับรถของผู้ตายเลี้ยวขึ้นไปจอดทางขึ้นบ้านจำเลยที่ 1 ห่างจากที่นายสินธุยืนอยู่ประมาณ 80 เมตร ขณะนั้นเวลาประมาณ 19.30 นาฬิกา นายสินธุคุยกับนายฮดต่ออีกประมาณ 10 นาที จึงกลับบ้าน ขณะนั้นรถของผู้ตายยังจอดอยู่ที่เดิม มีนางมาลัย ประสงค์ เบิกความว่า เป็นภิรยาของนายธานีประสงค์ ซึ่งเป็นนักการของโรงเรียนชุมชนบ้านมาง เห็นจำเลยที่ 1นั่งรถไปกับผู้ตายเพราะตอนนั้นพยานเข้าไปเก็บของ และมีนายธานีมาเบิกความสนับสนุนว่า เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ไปกับผู้ตายเพราะได้ถามจำเลยที่ 1 ว่าจะให้พยานไปส่งหรือไม่ เนื่องจากเห็นว่าไม่ได้เอารถมา จำเลยที่ 1 บอกว่า ผู้ตายจะไปส่ง มีนายสวน ขันทะบุตรเบิกความว่า เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 22 นาฬิกาได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วยทางทิศเหนือของบ้านห่างจากบ้านประมาณ400 เมตร จำได้ว่าเป็นเสียงของผู้ตาย และมีนายวิน ตั๋นแก้วเบิกความสนับสนุนว่า มารับจ้างก่อสร้างห้องน้ำห้องส้วมที่โรงเรียนชุมชนบ้านมาง พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักครูในโรงเรียนดังกล่าวในวันที่6 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา ขณะนอนหลับอยู่สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอนและได้ยินเสียงแว่ว ๆ มาเป็นเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือทางทิศเหนือบริเวณเชิงดอยประมาณ 10 นาทีและเมื่อพบศพผู้ตายแล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมมีพันตำรวจโททักษ์พลเมืองดี เบิกความว่า เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ6 ถึง 7 นาฬิกา ได้รับแจ้งจากร้อยตำรวจเอกสนิท เหมืองอุ่น ว่ามีรถแฉลบอยู่บริเวณถนนสายบ้านหนองหมู - ป่าแขม และมีศพคนตายนอนอยู่บริเวณร่องน้ำ จึงสั่งให้พนักงานสอบสวนไปที่เกิดเหตุและพันตำรวจโททักษ์ได้ติดตามไปด้วย จากการตรวจที่เกิดเหตุและประสบการณ์ที่ผ่านมา พันตำรวจโททักษ์มีความคลางแคลงใจว่าไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุโดยสังเกตบริเวณที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยเบรกของรถ รถอยู่ในสภาพเกียร์ว่างไม่มีรอยครูดของถนนบริเวณที่ผู้ตายตกลงไป ระหว่างรถกับศพมีต้นไม้ขึ้นอยู่ไม่มีลักษณะผิดปกติ ต่อมาวันที่ 12 ธันวาคม 2537 พันตำรวจโททักษ์พันตำรวจโทสงวน เขื่อนคำ จ่าสิบตำรวจกมล วงศ์แพทย์ และนายแก้วเมืองมีทรัพย์ทองทวี ได้ไปตรวจค้นบ้านของจำเลยที่ 1 พบจอบ 1 เล่ม ก้อนหิน3 ถึง 4 ก้อน และบริเวณโต๊ะยาว ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้านของจำเลยที่ 1มีคราบโลหิตติดอยู่ พันตำรวจโททักษ์สั่งให้จ่าสิบตำรวจกมลเก็บหลักฐานร่องรอยคราบโลหิตที่พบและต่อมาวันที่ 13 ธันวาคม 2537 พันตำรวจโทสงวนร้อยตำรวจเอกสนิท และจ่าสิบตำรวจกมลไปตรวจบ้านจำเลยที่ 1 อีกครั้งที่ห้างห่างจากบ้านจำเลยที่ 1 ประมาณ 50 เมตร พบกางเกงเก่าอยู่บนห้างมีคราบโลหิตติดอยู่เต็มไปหมดและมีรอยคราบโลหิตใหม่ประมาณ 5 วันติดอยู่บนพื้นห้างไหลหยดลงใต้ถุนห้างด้วย พันตำรวจโททักษ์ได้ส่งคราบโลหิตทั้งหมดไปตรวจพิสูจน์ที่ภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังส่งศพผู้ตายไปให้แพทย์ตรวจโดยละเอียดอีกครั้งนายแพทย์สมศักดิ์ วงไวเวช เบิกความว่า พยานจบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่ปี 2529 ได้รับบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขานิติเวชศาสตร์ จากแพทยสภาเมื่อปี 2534 และรับราชการเป็นอาจารย์ประจำภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีหน้าที่ชันสูตรพลิกศพและตรวจวัตถุพยานในคดีต่าง ๆ เกี่ยวกับคดีนี้เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2537 พยานได้รับถุงพลาสติกบรรจุสิ่งของเป็นคราบลักษณะเป็นผงหยาบคล้ายคราบโลหิตจำนวน 2 ถุง จากพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยาตามหนังสือนำส่งแจ้งว่าพบกองโลหิตอยู่ที่พื้นดินห่างจากศพผู้ตายประมาณ1 เมตร ขอทราบว่าโลหิตแห้งที่ส่งมาตรวจเป็นหมู่โลหิตของผู้ตายหรือไม่ผลการตรวจเป็นคราบโลหิตมนุษย์หมู่บี ซึ่งเป็นโลหิตหมู่เดียวกับผู้ตายวันที่ 12 ธันวาคม 2537 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงม่วนได้ส่งศพผู้ตายมาตรวจเพื่อหาสาเหตุการตายและรายละเอียดต่าง ๆจากการตรวจศพปรากฏว่าสภาพศพเน่า ผ่านการฉีดฟอร์มาลินมาแล้วพบบาดแผลถลอกบริเวณคาง บาดแผลฟกช้ำที่เข่าซ้าย บาดแผลฟกช้ำที่บริเวณกลางทรวงอก บาดแผลฟกช้ำที่ศีรษะบาดแผลฉีกขาดบริเวณศีรษะด้านขวา ยาว 2 เซนติเมตร 3 เซนติเมตร อีกสองแผลยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ตามลำดับอยู่เหนือใบหูขวามีลักษณะเป็นกลุ่มชิดกันยังพบบาดแผลใต้แผลฉีกขาดจนกะโหลกศีรษะมีลักษณะยุบ วัดความกว้างยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ลึก 0.5 เซนติเมตร สันนิษฐานว่า ลักษณะบาดแผลทั้งหมดเกิดจากกระทบของแข็งไม่มีคมและบาดแผลที่ศีรษะด้านขวาน่าจะถูกของแข็งไม่มีคมแต่มีลักษณะเป็นเหลี่ยมเป็นมุมบาดแผลที่ตรวจพบไม่เป็นสาเหตุให้ตายทันที แต่การตายน่าจะเกิดจากการจมน้ำตาย เนื่องจากตรวจพบน้ำปนเมือกในทางเดินหายใจ ซึ่งน้ำเข้าไปในทางเดินหายใจมากจะทำให้ขาดอากาศหายใจ บาดแผลที่ศพไม่น่าเกิดจากเหตุที่รถจักรยานยนต์ล้ม เนื่องจากบาดแผลบริเวณกลางทรวงอกช้ำและกระดูกส่วนดังกล่าวไม่มีการแตกหัก หากเกิดจากอุบัติเหตุรถชนกันหรือรถล้ม บาดแผลที่เกิดบริเวณทรวงอกส่วนใหญ่จะพบว่าอวัยวะบริเวณใต้ตำแหน่งนั้นจะได้รับอันตรายร่วมด้วย แต่ศพของผู้ตายไม่มี และบาดแผลที่ศีรษะด้านขวาเป็นบาดแผลฉีกขาดมี 4 แผล อยู่ติดบริเวณกลุ่มเดียวกัน สันนิษฐานว่า บาดแผลทั้ง 4 แผล น่าจะเกิดจากการกระทำหลายครั้ง และต่อมาวันที่ 16 ธันวาคม 2537 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงม่วนส่งวัตถุพยานมีจอบพร้อมด้าม จำนวน 1 เล่มก้อนหิน 2 ก้อน เศษไม้ 4 ชิ้น แผ่นไม้ 1 แผ่น และกางเกงขายาว 1 ตัวมาให้ตรวจหาคราบโลหิต และหมู่โลหิตที่ติดกับของกลางดังกล่าวผลการตรวจสอบพบว่าวัตถุทุกชิ้นติดคราบโลหิตมนุษย์หมู่บี โดยเฉพาะจอบพบคราบโลหิตที่หัวจอบ และนายสินธุยังเบิกความด้วยว่า เมื่อวันที่8 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 16.30 นาฬิกา พยานได้มาที่โรงเรียนชุมชนบ้านมาง ขณะที่กำลังเดินไปที่รถพบจำเลยที่ 1 กำลังจะขับรถออกจากโรงเรียน จำเลยที่ 1 ได้เรียกพยานให้ไปหายื่นกระดาษให้ 1 แผ่นบอกว่าเมื่อพนักงานสอบสวนถามให้ตอบตามข้อความในกระดาษซึ่งมีข้อความว่าออกจากโรงเรียน 2 ทุ่มกว่า อยู่กัน 2 คน กับผู้ตาย คุยกันเรื่องกีฬา ไม่ได้ทะเลาะกัน
++
++ เห็นว่า โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตาย คงมีแต่พยานแวดล้อมเริ่มตั้งแต่นำสืบว่าจำเลยทั้งสองเป็นชู้กัน ในวันเกิดเหตุมีผู้พบเห็นจำเลยที่ 1 นั่งรถยนต์ไปกับผู้ตายในเส้นทางไปบ้านจำเลยที่ 1 ตกกลางคืนมีเสียงผู้ตายร้องขอความช่วยเหลือมาจากทางบ้านจำเลยที่ 1 พนักงานสอบสวนได้ตรวจพบวัตถุพยานมีจอบพร้อมด้ามจำนวน 1 เล่ม ก้อนหิน 2 ก้อน เศษไม้ 4 ชิ้นแผ่นไม้ 1 แผ่น และกางเกงขายาว 1 ตัว ในบริเวณบ้านของจำเลยที่ 1วัตถุพยานทุกชิ้นมีคราบโลหิตหมู่บี ซึ่งเป็นหมู่โลหิตเดียวกับผู้ตาย โดยเฉพาะจอบพบคราบโลหิตที่หัวจอบ หลังจากเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เขียนข้อความในกระดาษสั่งให้นายสินธุให้การต่อพนักงานสอบสวนบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าผู้ตายไม่ได้ไปกับจำเลยที่ 1 เป็นลักษณะป้องกันตัว นอกจากนี้พนักงานสอบสวนผู้ไปตรวจที่พบศพและแพทย์ผู้ทำการชันสูตรพลิกศพต่างก็ไม่เชื่อว่าผู้ตายจะประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนยต์ล้มเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายเพราะขัดต่อหลักฐานในที่พบศพและลักษณะของบาดแผล
++ พยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีเชื่อได้ว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 นั่งรถยนต์ของผู้ตายไปบ้านจำเลยที่ 1 ผู้ตายถูกทำร้ายจากบ้านของจำเลยที่ 1 แล้วถูกนำมาทิ้งไว้ในร่องน้ำจนถึงแก่ความตายเพื่อเป็นการอำพรางคดี
++ จึงเชื่อได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำร้ายผู้ตายและจากบาดแผลของผู้ตายที่ถูกตีอย่างแรงจนกะโหลกศีรษะยุบแสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้ตายแม้ว่าผู้ตายจะไม่ถึงแก่ความตายในทันที แต่การที่ผู้ตายจมน้ำตายก็เป็นผลโดยตรงและต่อเนื่องจากการทำร้าย จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น
++ แต่พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดอาจเกิดขึ้นในทันทีเพราะจำเลยที่ 1 และผู้ตายดื่มสุรากันแล้วพากันไปบ้านของจำเลยที่ 1อาวุธที่ใช้ทำร้ายผู้ตายก็มีแต่เพีงจอบเท่านั้น หากจำเลยที่ 1 วางแผนจะฆ่าผู้ตายมาก่อนน่าจะต้องใช้อาวุธที่ดีกว่านี้ ดังนั้นจะฟังว่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนไม่ถนัดนัก จำเลยที่ 1 อาจคิดฆ่าผู้ตายในขณะที่พูดคุยกันที่บ้านของจำเลยที่ 1 ในตอนหลังก็เป็นได้ จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ++
++
++ สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังในเบื้องต้นได้ว่าเป็นชู้กับจำเลยที่ 1 ก่อนเกิดเหตุจะเคยไปขอซื้อยาสลบจากโรงพยาบาลให้จำเลยที่ 1 แต่ก็ซื้อไม่ได้ หลังจากเกิดเหตุแล้ว จำเลยที่ 2 ได้แนะนำนายสินธุให้ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าในวันเกิดเหตุมีนายสินธุอยู่กับผู้ตายสองคนเท่านั้น และแยกกับผู้ตายบริเวณสะพานน้ำพื้ คุยกับผู้ตายเกี่ยวกับเรื่องกีฬาไม่ได้ดื่มสุรา อันเป็นลักษณะช่วยเหลือกันตัวจำเลยที่ 1 ให้ออกไปไม่ให้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยไม่มีเหตุผลเป็นพิรุธเหมือนหนึ่งตนมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย แต่ก็เป็นที่น่าสงสัยเท่านั้น เพราะไม่ปรากฏว่ามีพยานผู้ใดรู้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ได้ไปที่บ้านของจำเลยที่ 1 ในวันเกิดเหตุ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของผู้ตาย
++ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดด้วยหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยที่ 2 ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ++
++ ทดสอบทำงานในเครื่อง ++
++
++
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่7 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 7 นาฬิกา มีผู้พบศพนายอุรินทร์หาญเสือเหลือง ผู้ตายอยู่ในร่องน้ำข้างสะพาน ริมถนนจากบ้านหนองหมูไปบ้านป่าแขมใต้ ตำบลบ้านมาง อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา
++
++ ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1 มีว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่
++ โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบเพื่อให้เห็นสาเหตุว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตายเพราะว่าจำเลยทั้งสองเป็นชู้กัน โดยโจทก์ร่วมทั้งสองเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายเล่าให้ฟังว่าจำเลยที่ 2 เป็นชู้กับจำเลยที่ 1 ผู้ตายจะหย่ากับจำเลยที่ 2 โจทก์ร่วมทั้งสองห้ามปรามไว้เนื่องจากเห็นว่ามีบุตรด้วยกัน ผู้ตายพูดว่าเมื่อไม่หย่าก็จะร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 นอกจากนี้โจทก์และโจทก์ร่วมยังมีนางจันทนา เงินวงศ์นัยครูโรงเรียนเดียวกันกับผู้ตายเบิกความเป็นพยานว่า เมื่อประมาณปี 2536ถึงปี 2537 เคยไปบ้านจำเลยที่ 2 เพื่อจะนำมะม่วงไปให้ พบจำเลยที่ 2นั่งคลอเคลียพลอดรักอยู่กับจำเลยที่ 1 จึงทำทีออกมาเรียกว่ามีใครอยู่ในบ้านบ้าง เมื่อเข้าไปใหม่จำเลยทั้งสองจึงแยกจากกันและได้ยินข่าวว่าจำเลยทั้งสองมีเรื่องชู้สาวกัน นายสินธุ ทนันชัย พยานโจทก์และโจทก์ร่วมอีกปากหนึ่งก็เบิกความว่าทราบข่าวว่าจำเลยทั้งสองเป็นชู้กัน และชาวบ้านพูดกันว่าจำเลยที่ 2 เป็นชู้กับจำเลยที่ 1 พยานหลักฐานโดยตรงเกี่ยวกับจำเลยที่ 1นั้น โจทก์และโจทก์ร่วมมีนายสินธุเบิกความว่า เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2537มีการแข่งขันฟุตบอลที่โรงเรียนชุมชนบ้านมาง หลังจากเสร็จการแข่งขันแล้วเวลาประมาณ 17.30 นาฬิกา ได้มีการร่วมวงดื่มสุรากันข้างสนามฟุตบอลโดยมีผู้ตายร่วมด้วย เวลาประมาณ 18 นาฬิกา จำเลยที่ 1 มาร่วมดื่มสุราด้วย จากนั้นอีกประมาณ 1 ชั่วโมง คนที่ร่วมวงได้ขอตัวกลับคงเหลือแต่นายสินธุกับผู้ตายและจำเลยที่ 1 อีกประมาณ 15 นาทีทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับ นายสินธุเดินมาเอารถจักรยานยนต์ของตนเองผู้ตายกับจำเลยที่ 1 เดินคู่กันไปเอารถยนต์ของผู้ตายซึ่งจอดอยู่ที่โรงอาหารเมื่อนายสินธุขับรถผ่านผู้ตายตะโกนถามว่า จะไปต่อบนดอยซึ่งหมายถึงบ้านของจำเลยที่ 1 หรือไม่ นายสินธุตอบว่าขอคิดดูก่อน แล้วนายสินธุขับรถมาที่ประตูหน้าโรงเรียน แวะบ้านนายฮดที่หน้าโรงเรียน ระหว่างนั้นเห็นรถผู้ตายออกมา แต่ไม่ได้สังเกตว่าใครเป็นคนขับรถของผู้ตายเลี้ยวขึ้นไปจอดทางขึ้นบ้านจำเลยที่ 1 ห่างจากที่นายสินธุยืนอยู่ประมาณ 80 เมตร ขณะนั้นเวลาประมาณ 19.30 นาฬิกา นายสินธุคุยกับนายฮดต่ออีกประมาณ 10 นาที จึงกลับบ้าน ขณะนั้นรถของผู้ตายยังจอดอยู่ที่เดิม มีนางมาลัย ประสงค์ เบิกความว่า เป็นภิรยาของนายธานีประสงค์ ซึ่งเป็นนักการของโรงเรียนชุมชนบ้านมาง เห็นจำเลยที่ 1นั่งรถไปกับผู้ตายเพราะตอนนั้นพยานเข้าไปเก็บของ และมีนายธานีมาเบิกความสนับสนุนว่า เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ไปกับผู้ตายเพราะได้ถามจำเลยที่ 1 ว่าจะให้พยานไปส่งหรือไม่ เนื่องจากเห็นว่าไม่ได้เอารถมา จำเลยที่ 1 บอกว่า ผู้ตายจะไปส่ง มีนายสวน ขันทะบุตรเบิกความว่า เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 22 นาฬิกาได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วยทางทิศเหนือของบ้านห่างจากบ้านประมาณ400 เมตร จำได้ว่าเป็นเสียงของผู้ตาย และมีนายวิน ตั๋นแก้วเบิกความสนับสนุนว่า มารับจ้างก่อสร้างห้องน้ำห้องส้วมที่โรงเรียนชุมชนบ้านมาง พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักครูในโรงเรียนดังกล่าวในวันที่6 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา ขณะนอนหลับอยู่สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอนและได้ยินเสียงแว่ว ๆ มาเป็นเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือทางทิศเหนือบริเวณเชิงดอยประมาณ 10 นาทีและเมื่อพบศพผู้ตายแล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมมีพันตำรวจโททักษ์พลเมืองดี เบิกความว่า เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ6 ถึง 7 นาฬิกา ได้รับแจ้งจากร้อยตำรวจเอกสนิท เหมืองอุ่น ว่ามีรถแฉลบอยู่บริเวณถนนสายบ้านหนองหมู - ป่าแขม และมีศพคนตายนอนอยู่บริเวณร่องน้ำ จึงสั่งให้พนักงานสอบสวนไปที่เกิดเหตุและพันตำรวจโททักษ์ได้ติดตามไปด้วย จากการตรวจที่เกิดเหตุและประสบการณ์ที่ผ่านมา พันตำรวจโททักษ์มีความคลางแคลงใจว่าไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุโดยสังเกตบริเวณที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยเบรกของรถ รถอยู่ในสภาพเกียร์ว่างไม่มีรอยครูดของถนนบริเวณที่ผู้ตายตกลงไป ระหว่างรถกับศพมีต้นไม้ขึ้นอยู่ไม่มีลักษณะผิดปกติ ต่อมาวันที่ 12 ธันวาคม 2537 พันตำรวจโททักษ์พันตำรวจโทสงวน เขื่อนคำ จ่าสิบตำรวจกมล วงศ์แพทย์ และนายแก้วเมืองมีทรัพย์ทองทวี ได้ไปตรวจค้นบ้านของจำเลยที่ 1 พบจอบ 1 เล่ม ก้อนหิน3 ถึง 4 ก้อน และบริเวณโต๊ะยาว ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้านของจำเลยที่ 1มีคราบโลหิตติดอยู่ พันตำรวจโททักษ์สั่งให้จ่าสิบตำรวจกมลเก็บหลักฐานร่องรอยคราบโลหิตที่พบและต่อมาวันที่ 13 ธันวาคม 2537 พันตำรวจโทสงวนร้อยตำรวจเอกสนิท และจ่าสิบตำรวจกมลไปตรวจบ้านจำเลยที่ 1 อีกครั้งที่ห้างห่างจากบ้านจำเลยที่ 1 ประมาณ 50 เมตร พบกางเกงเก่าอยู่บนห้างมีคราบโลหิตติดอยู่เต็มไปหมดและมีรอยคราบโลหิตใหม่ประมาณ 5 วันติดอยู่บนพื้นห้างไหลหยดลงใต้ถุนห้างด้วย พันตำรวจโททักษ์ได้ส่งคราบโลหิตทั้งหมดไปตรวจพิสูจน์ที่ภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังส่งศพผู้ตายไปให้แพทย์ตรวจโดยละเอียดอีกครั้งนายแพทย์สมศักดิ์ วงไวเวช เบิกความว่า พยานจบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่ปี 2529 ได้รับบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขานิติเวชศาสตร์ จากแพทยสภาเมื่อปี 2534 และรับราชการเป็นอาจารย์ประจำภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีหน้าที่ชันสูตรพลิกศพและตรวจวัตถุพยานในคดีต่าง ๆ เกี่ยวกับคดีนี้เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2537 พยานได้รับถุงพลาสติกบรรจุสิ่งของเป็นคราบลักษณะเป็นผงหยาบคล้ายคราบโลหิตจำนวน 2 ถุง จากพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยาตามหนังสือนำส่งแจ้งว่าพบกองโลหิตอยู่ที่พื้นดินห่างจากศพผู้ตายประมาณ1 เมตร ขอทราบว่าโลหิตแห้งที่ส่งมาตรวจเป็นหมู่โลหิตของผู้ตายหรือไม่ผลการตรวจเป็นคราบโลหิตมนุษย์หมู่บี ซึ่งเป็นโลหิตหมู่เดียวกับผู้ตายวันที่ 12 ธันวาคม 2537 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงม่วนได้ส่งศพผู้ตายมาตรวจเพื่อหาสาเหตุการตายและรายละเอียดต่าง ๆจากการตรวจศพปรากฏว่าสภาพศพเน่า ผ่านการฉีดฟอร์มาลินมาแล้วพบบาดแผลถลอกบริเวณคาง บาดแผลฟกช้ำที่เข่าซ้าย บาดแผลฟกช้ำที่บริเวณกลางทรวงอก บาดแผลฟกช้ำที่ศีรษะบาดแผลฉีกขาดบริเวณศีรษะด้านขวา ยาว 2 เซนติเมตร 3 เซนติเมตร อีกสองแผลยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ตามลำดับอยู่เหนือใบหูขวามีลักษณะเป็นกลุ่มชิดกันยังพบบาดแผลใต้แผลฉีกขาดจนกะโหลกศีรษะมีลักษณะยุบ วัดความกว้างยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ลึก 0.5 เซนติเมตร สันนิษฐานว่า ลักษณะบาดแผลทั้งหมดเกิดจากกระทบของแข็งไม่มีคมและบาดแผลที่ศีรษะด้านขวาน่าจะถูกของแข็งไม่มีคมแต่มีลักษณะเป็นเหลี่ยมเป็นมุมบาดแผลที่ตรวจพบไม่เป็นสาเหตุให้ตายทันที แต่การตายน่าจะเกิดจากการจมน้ำตาย เนื่องจากตรวจพบน้ำปนเมือกในทางเดินหายใจ ซึ่งน้ำเข้าไปในทางเดินหายใจมากจะทำให้ขาดอากาศหายใจ บาดแผลที่ศพไม่น่าเกิดจากเหตุที่รถจักรยานยนต์ล้ม เนื่องจากบาดแผลบริเวณกลางทรวงอกช้ำและกระดูกส่วนดังกล่าวไม่มีการแตกหัก หากเกิดจากอุบัติเหตุรถชนกันหรือรถล้ม บาดแผลที่เกิดบริเวณทรวงอกส่วนใหญ่จะพบว่าอวัยวะบริเวณใต้ตำแหน่งนั้นจะได้รับอันตรายร่วมด้วย แต่ศพของผู้ตายไม่มี และบาดแผลที่ศีรษะด้านขวาเป็นบาดแผลฉีกขาดมี 4 แผล อยู่ติดบริเวณกลุ่มเดียวกัน สันนิษฐานว่า บาดแผลทั้ง 4 แผล น่าจะเกิดจากการกระทำหลายครั้ง และต่อมาวันที่ 16 ธันวาคม 2537 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงม่วนส่งวัตถุพยานมีจอบพร้อมด้าม จำนวน 1 เล่มก้อนหิน 2 ก้อน เศษไม้ 4 ชิ้น แผ่นไม้ 1 แผ่น และกางเกงขายาว 1 ตัวมาให้ตรวจหาคราบโลหิต และหมู่โลหิตที่ติดกับของกลางดังกล่าวผลการตรวจสอบพบว่าวัตถุทุกชิ้นติดคราบโลหิตมนุษย์หมู่บี โดยเฉพาะจอบพบคราบโลหิตที่หัวจอบ และนายสินธุยังเบิกความด้วยว่า เมื่อวันที่8 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 16.30 นาฬิกา พยานได้มาที่โรงเรียนชุมชนบ้านมาง ขณะที่กำลังเดินไปที่รถพบจำเลยที่ 1 กำลังจะขับรถออกจากโรงเรียน จำเลยที่ 1 ได้เรียกพยานให้ไปหายื่นกระดาษให้ 1 แผ่นบอกว่าเมื่อพนักงานสอบสวนถามให้ตอบตามข้อความในกระดาษซึ่งมีข้อความว่าออกจากโรงเรียน 2 ทุ่มกว่า อยู่กัน 2 คน กับผู้ตาย คุยกันเรื่องกีฬา ไม่ได้ทะเลาะกัน
++
++ เห็นว่า โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตาย คงมีแต่พยานแวดล้อมเริ่มตั้งแต่นำสืบว่าจำเลยทั้งสองเป็นชู้กัน ในวันเกิดเหตุมีผู้พบเห็นจำเลยที่ 1 นั่งรถยนต์ไปกับผู้ตายในเส้นทางไปบ้านจำเลยที่ 1 ตกกลางคืนมีเสียงผู้ตายร้องขอความช่วยเหลือมาจากทางบ้านจำเลยที่ 1 พนักงานสอบสวนได้ตรวจพบวัตถุพยานมีจอบพร้อมด้ามจำนวน 1 เล่ม ก้อนหิน 2 ก้อน เศษไม้ 4 ชิ้นแผ่นไม้ 1 แผ่น และกางเกงขายาว 1 ตัว ในบริเวณบ้านของจำเลยที่ 1วัตถุพยานทุกชิ้นมีคราบโลหิตหมู่บี ซึ่งเป็นหมู่โลหิตเดียวกับผู้ตาย โดยเฉพาะจอบพบคราบโลหิตที่หัวจอบ หลังจากเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เขียนข้อความในกระดาษสั่งให้นายสินธุให้การต่อพนักงานสอบสวนบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าผู้ตายไม่ได้ไปกับจำเลยที่ 1 เป็นลักษณะป้องกันตัว นอกจากนี้พนักงานสอบสวนผู้ไปตรวจที่พบศพและแพทย์ผู้ทำการชันสูตรพลิกศพต่างก็ไม่เชื่อว่าผู้ตายจะประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนยต์ล้มเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายเพราะขัดต่อหลักฐานในที่พบศพและลักษณะของบาดแผล
++ พยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีเชื่อได้ว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 นั่งรถยนต์ของผู้ตายไปบ้านจำเลยที่ 1 ผู้ตายถูกทำร้ายจากบ้านของจำเลยที่ 1 แล้วถูกนำมาทิ้งไว้ในร่องน้ำจนถึงแก่ความตายเพื่อเป็นการอำพรางคดี
++ จึงเชื่อได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำร้ายผู้ตายและจากบาดแผลของผู้ตายที่ถูกตีอย่างแรงจนกะโหลกศีรษะยุบแสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้ตายแม้ว่าผู้ตายจะไม่ถึงแก่ความตายในทันที แต่การที่ผู้ตายจมน้ำตายก็เป็นผลโดยตรงและต่อเนื่องจากการทำร้าย จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น
++ แต่พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดอาจเกิดขึ้นในทันทีเพราะจำเลยที่ 1 และผู้ตายดื่มสุรากันแล้วพากันไปบ้านของจำเลยที่ 1อาวุธที่ใช้ทำร้ายผู้ตายก็มีแต่เพีงจอบเท่านั้น หากจำเลยที่ 1 วางแผนจะฆ่าผู้ตายมาก่อนน่าจะต้องใช้อาวุธที่ดีกว่านี้ ดังนั้นจะฟังว่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนไม่ถนัดนัก จำเลยที่ 1 อาจคิดฆ่าผู้ตายในขณะที่พูดคุยกันที่บ้านของจำเลยที่ 1 ในตอนหลังก็เป็นได้ จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ++
++
++ สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังในเบื้องต้นได้ว่าเป็นชู้กับจำเลยที่ 1 ก่อนเกิดเหตุจะเคยไปขอซื้อยาสลบจากโรงพยาบาลให้จำเลยที่ 1 แต่ก็ซื้อไม่ได้ หลังจากเกิดเหตุแล้ว จำเลยที่ 2 ได้แนะนำนายสินธุให้ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าในวันเกิดเหตุมีนายสินธุอยู่กับผู้ตายสองคนเท่านั้น และแยกกับผู้ตายบริเวณสะพานน้ำพื้ คุยกับผู้ตายเกี่ยวกับเรื่องกีฬาไม่ได้ดื่มสุรา อันเป็นลักษณะช่วยเหลือกันตัวจำเลยที่ 1 ให้ออกไปไม่ให้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยไม่มีเหตุผลเป็นพิรุธเหมือนหนึ่งตนมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย แต่ก็เป็นที่น่าสงสัยเท่านั้น เพราะไม่ปรากฏว่ามีพยานผู้ใดรู้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ได้ไปที่บ้านของจำเลยที่ 1 ในวันเกิดเหตุ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของผู้ตาย
++ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดด้วยหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยที่ 2 ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ++