พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,473 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7279/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สนับสนุนการมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แม้ไม่มีตัวการ ศาลพิจารณาจากคำรับสารภาพและลดโทษได้
จำเลยยินยอมให้ พ. นำเฮโรอีนไปซุกซ่อนไว้ในที่ดินของจำเลยอันเป็นการให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ พ. กับพวกมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แม้โจทก์จะยังไม่ได้ฟ้อง พ. และยังไม่ได้ตัว น.ผู้ว่าจ้างให้ พ. ทำการซุกซ่อนเฮโรอีนมาดำเนินคดีก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยพ้นจากการเป็นผู้สนับสนุนไปได้
จำเลยกระทำความผิดต้องรับโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสอง ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53 โทษที่ศาลล่างทั้งสองวางลงโทษจำเลยจากฐานจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษต่ำสุดที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแล้ว จึงวางโทษจำคุกสถานเบากว่านี้อีกไม่ได้
คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนที่จำเลยให้การว่าได้อนุญาตให้ พ. นำเฮโรอีนไปซุกซ่อนในที่ดินของจำเลยเท่ากับจำเลยรับสารภาพในความผิดฐานสนับสนุนการมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและคำรับดังกล่าวนั้นได้ใช้ประกอบการวินิจฉัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดอันเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาของศาล จึงสมควรลดโทษให้จำเลย
จำเลยกระทำความผิดต้องรับโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสอง ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53 โทษที่ศาลล่างทั้งสองวางลงโทษจำเลยจากฐานจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษต่ำสุดที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแล้ว จึงวางโทษจำคุกสถานเบากว่านี้อีกไม่ได้
คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนที่จำเลยให้การว่าได้อนุญาตให้ พ. นำเฮโรอีนไปซุกซ่อนในที่ดินของจำเลยเท่ากับจำเลยรับสารภาพในความผิดฐานสนับสนุนการมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและคำรับดังกล่าวนั้นได้ใช้ประกอบการวินิจฉัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดอันเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาของศาล จึงสมควรลดโทษให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7263/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษจำเลยในคดียาเสพติด: เหตุผลทางกฎหมายและข้อจำกัดในการเพิ่มโทษซ้ำ
จำเลยให้การรับสารภาพผิดตามฟ้อง ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดตามฟ้อง ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ด. เพื่อนจำเลยเป็นคนยัดเฮโรอีนของกลางใส่กระเป๋าจำเลย จากนั้นจำเลยเดินมาก็ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมพร้อมของกลาง จำเลยกระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้น ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คดีก่อนศาลพิพากษาลงโทษจำคุกแต่ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี คดีถึงที่สุดดังนี้ จำเลยย่อมยังไม่ได้รับโทษจำคุก จึงไม่มีวันพ้นโทษที่จะถือเอาเป็นเกณฑ์ในการเพิ่มโทษจำเลยได้
การที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทเพิ่มโทษจำเลยมาโดยไม่ชอบ แม้จำเลยมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 เป็นให้ยกคำขอให้เพิ่มโทษจำเลย
คดีก่อนศาลพิพากษาลงโทษจำคุกแต่ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี คดีถึงที่สุดดังนี้ จำเลยย่อมยังไม่ได้รับโทษจำคุก จึงไม่มีวันพ้นโทษที่จะถือเอาเป็นเกณฑ์ในการเพิ่มโทษจำเลยได้
การที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทเพิ่มโทษจำเลยมาโดยไม่ชอบ แม้จำเลยมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 เป็นให้ยกคำขอให้เพิ่มโทษจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7263/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษจำเลยในคดียาเสพติด: ศาลฎีกาแก้ไขโทษที่ไม่ชอบ และวินิจฉัยข้อจำกัดการเพิ่มโทษจากคดีก่อน
จำเลยให้การรับสารภาพผิดตามฟ้อง ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดตามฟ้อง ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ด. เพื่อนจำเลยเป็นคนยัดเฮโรอีนของกลางใส่กระเป๋าจำเลย จากนั้นจำเลยเดินมาก็ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมพร้อมของกลาง จำเลยกระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้น ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คดีก่อนศาลพิพากษาลงโทษจำคุกแต่ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี คดีถึงที่สุดดังนี้ จำเลยย่อมยังไม่ได้รับโทษจำคุก จึงไม่มีวันพ้นโทษที่จะถือเอาเป็นเกณฑ์ในการเพิ่มโทษจำเลยได้
การที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทเพิ่มโทษจำเลยมาโดยไม่ชอบ แม้จำเลยมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 เป็นให้ยกคำขอให้เพิ่มโทษจำเลย
คดีก่อนศาลพิพากษาลงโทษจำคุกแต่ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี คดีถึงที่สุดดังนี้ จำเลยย่อมยังไม่ได้รับโทษจำคุก จึงไม่มีวันพ้นโทษที่จะถือเอาเป็นเกณฑ์ในการเพิ่มโทษจำเลยได้
การที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทเพิ่มโทษจำเลยมาโดยไม่ชอบ แม้จำเลยมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 เป็นให้ยกคำขอให้เพิ่มโทษจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7262/2541 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งกระทงความผิดค้ายาเสพติด และการโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ.มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 5 ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำคุก 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ.มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และยังคงให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า ของกลางเป็นเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียวนั้น โดยเจตนารมณ์เป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ฟังว่าของกลางเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 จึงเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ย่อมต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7262/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานเรื่องประเภทของยาเสพติด ถือเป็นการฎีกาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,66 จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 5 ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำคุก 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และยังคงให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า ของกลางเป็นเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียวนั้น โดยเจตนารมณ์เป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ฟังว่าของกลางเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 จึงเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ย่อมต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7262/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขกระทงความผิดจากกรรมเดียวเป็นสองกรรม และข้อจำกัดในการฎีกาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเภทของยาเสพติด
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,66 จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 5 ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำคุก 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และยังคงให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า ของกลางเป็นเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียวนั้น โดยเจตนารมณ์เป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ฟังว่าของกลางเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 จึงเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ย่อมต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7178/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษความผิดหลายกระทงจากครอบครองอาวุธปืน, กระสุนปืน, และยาเสพติด
การมีอาวุธปืนในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตและการมีกระสุนปืนที่นายทะเบียนอนุญาตให้มีในครอบครองไม่ได้ กฎหมายบัญญัติบทความผิดและบทลงโทษไว้คนละมาตรา ย่อมเห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ว่ามีความประสงค์จะแยกความผิดสองฐานนี้ออกจากกัน และการกระทำความผิดสองฐานดังกล่าวแยกออกได้จากการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนในครอบครอง ดังนี้แม้จำเลยมีอาวุธปืน กระสุนปืนและเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องในครอบครองในเวลาเดียวกันก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7074/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดร้ายแรง ไม่มีเหตุสมควรให้รอการลงโทษ
จำเลยมีกัญชาไว้เพื่อจำหน่ายจำนวน 7 ถุง น้ำหนัก 14.70 กรัม และจำหน่ายไปจำนวน 4 ถุง เป็นความผิดเกี่ยวโยงกับความสงบสุขและความปลอดภัยของสังคมเป็นความผิดร้ายแรงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7064/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดอำนาจฎีกาซ้ำในคดีเดิม: คดีจำเลยรับสารภาพผิด พ.ร.บ.ยาเสพติด แต่พ้นข้อหาขับรถภายใต้ยาเสพติด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษพ.ศ.2522 มาตรา 57, 91 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43ทวิ, 157 ทวิ ป.อ.มาตรา 91 และพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของจำเลย จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 57, 91 จำคุก 1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือนการที่จำเลยเสพเมทแอมเฟตามีนในขณะขับรถยนต์นับแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2539เป็นต้นไป อันเป็นวันที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 97 (พ.ศ.2539)มีผลบังคับ จึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา43 ทวิ ไม่อาจนำมาตรา 157 ทวิ มาบังคับใช้กับกรณีนี้ได้อีก คำขอนอกจากนี้ให้ยกศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง, 157 ทวิวรรคหนึ่ง แล้ว โจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยและให้พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของจำเลยในความผิดข้อหาดังกล่าวอีกไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย ก็ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7010/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบเงินสดของกลางในคดียาเสพติด: ต้องพิสูจน์ความเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.มาตรการปราบปรามยาเสพติด
พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 3 ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า "ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด" ว่า หมายความว่าการผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติด และให้หมายความรวมถึงการสมคบ สนับสนุน ช่วยเหลือ หรือพยายามกระทำความผิดดังกล่าวด้วย เมื่อคดีสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ถึงที่สุดโดยศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษา ยกฟ้อง และคดีสำหรับจำเลยที่ 4 ถึงที่สุดโดยศาลชั้นต้น พิพากษาลงโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองมิได้มีไว้ในครอบครองเพื่อขายซึ่งมิได้อยู่ในความหมายของ ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามมาตรา 3 เงินสดของกลางจำนวน 516,260 บาท จึงไม่อยู่ในบังคับตามมาตรา 30,31ที่จะพึงรับได้