พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,244 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2958/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์พิจารณาฟ้องแย้ง: ศาลมีอำนาจพิจารณาฟ้องแย้งได้หากเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม แม้ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัย
แม้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยฟ้องแย้งของจำเลยว่า คำขอฟ้องแย้งไม่สามารถที่จะบังคับได้โดยไม่ได้วินิจฉัยว่าฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมหรือไม่ก็ตาม แต่ในชั้นอุทธรณ์การพิจารณาปัญหาว่า ฟ้องแย้งของจำเลยชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณาหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกบทกฎหมายดังกล่าวขึ้นปรับแก่คดีได้ เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องแย้งของจำเลยมิใช่ฟ้องแย้งที่ไม่อาจบังคับได้ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย การที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษากลับให้รับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณา ศาลอุทธรณ์ชอบที่ยกขึ้นวินิจฉัยว่าฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมเพื่อรับฟ้องแย้งของจำเลยต่อไปได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแต่อย่างใด
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยซึ่งอาศัยอยู่ในที่พิพาทของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยโจทก์มิได้ฟ้องคดีภายในหนึ่งปีนับแต่โจทก์ถูกแย่งการครอบครอง และจำเลยมีคำขอบังคับตามฟ้องแย้งให้โจทก์ไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่พิพาทให้จำเลยเป็นผู้ได้สิทธิครอบครอง หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นคำฟ้องที่มีคำขอบังคับโจทก์โดยครบถ้วนแล้ว ส่วนการที่จะบังคับตามฟ้องแย้งของจำเลยได้หรือไม่ย่อมเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องพิจารณาต่อไปในชั้นที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี เมื่อฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเข้าด้วยกันได้เช่นนี้ ชอบที่จะรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณา
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยซึ่งอาศัยอยู่ในที่พิพาทของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยโจทก์มิได้ฟ้องคดีภายในหนึ่งปีนับแต่โจทก์ถูกแย่งการครอบครอง และจำเลยมีคำขอบังคับตามฟ้องแย้งให้โจทก์ไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่พิพาทให้จำเลยเป็นผู้ได้สิทธิครอบครอง หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นคำฟ้องที่มีคำขอบังคับโจทก์โดยครบถ้วนแล้ว ส่วนการที่จะบังคับตามฟ้องแย้งของจำเลยได้หรือไม่ย่อมเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องพิจารณาต่อไปในชั้นที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี เมื่อฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเข้าด้วยกันได้เช่นนี้ ชอบที่จะรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2958/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยฟ้องแย้งที่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิจารณา แม้ศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัยไว้
ศาลชั้นต้นสั่งว่าคำขอฟ้องแย้งไม่สามารถบังคับได้จึงไม่รับฟ้องแย้งดังนี้หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องแย้งมิใช่ฟ้องแย้งที่ไม่อาจบังคับได้ก็ชอบที่จะวินิจฉัยว่าฟ้องแย้งเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมเพื่อรับฟ้องแย้งได้ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยซึ่งอาศัยอยู่ในที่พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยและมีคำขอบังคับตามฟ้องแย้งให้โจทก์ไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่พิพาทให้จำเลยเป็นผู้ได้สิทธิครอบครองเป็นคำฟ้องที่มีคำขอบังคับโจทก์โดยครบถ้วนแล้วส่วนการที่จะบังคับตามฟ้องแย้งได้หรือไม่จึงชอบที่จะรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณาเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาต่อไปในชั้นชี้ขาดตัดสินคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2951/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์วินิจฉัยกรรมสิทธิ์จากการครอบครองปรปักษ์ แม้ศาลชั้นต้นไม่ได้วินิจฉัยประเด็นนี้
คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ ผ.หรือไม่หรือจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทน ผ.จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์แต่คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ขอให้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งศาลในคดีเดิมที่สั่งว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทและให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินแก่โจทก์เพื่อจะได้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกเพื่อจัดการแบ่งให้แก่ทายาทต่อไปมิอาจบังคับให้ได้จึงพิพากษายกฟ้องการที่โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลควรพิพากษาตามคำขอดังกล่าวและจำเลยยื่นคำแก้อุทธรณ์ว่า ผ. ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยและจำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองแล้วประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจึงหาได้ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่เพราะย่อมมีประเด็นตามคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ได้หาใช่เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 270/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาห้ามเรื่องข้อที่ยุติแล้ว และประเด็นที่มิได้ยกขึ้นว่ากันในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยนอกคำฟ้องได้ในขอบเขตที่กฎหมายอนุญาต
โจทก์ทั้งสามกล่าวอ้างในคำฟ้องว่าจำเลยทั้งสองตกลงซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ทั้งสามในราคา2,500,000บาทแต่ในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจำเลยทั้งสองชำระค่าที่ดินให้โจทก์ทั้งสามเพียง1,000,000บาทยังค้างชำระ1,500,000บาทโจทก์ทั้งสามทวงถามแล้วแต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวย่อมเห็นได้ว่าจำเลยทั้งสองโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55ส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นไปตามที่โจทก์ทั้งสามกล่าวอ้างหรือไม่เป็นเรื่องที่ศาลจะต้องเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัยโจทก์ทั้งสามจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง ปัญหาฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้นศาลชั้นต้นไม่รับวินิจฉัยโดยให้เหตุผลว่าไม่เป็นประเด็นในคดีแต่จำเลยที่2ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบอย่างไรและด้วยเหตุผลใดจึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้กล่าวโดยชัดแจ้งต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225วรรคหนึ่งแม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย การที่ศาลนำลายมือชื่อในเอกสารพิพาทซึ่งจำเลยที่2ปฎิเสธว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยทั้งสองไปเปรียบเทียบกับลายมือชื่อในเอกสารฉบับอื่นที่มีอยู่ในสำนวนกับที่คู่ความได้อ้างมาเป็นพยานในคดีนี้ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลได้รู้เห็นเองและเป็นดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานศาลย่อมมีอำนาจกระทำได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2672/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริง เนื่องจากเป็นการโต้เถียงดุลพินิจศาลอุทธรณ์ในการรับฟังพยานหลักฐาน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เนื้อที่ 1 ไร่ 32 ตารางวาโจทก์ได้นำเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดินพิพาทเพื่อขอออกโฉนดที่ดินจำเลยได้คัดค้านการขอออกโฉนดที่ดิน ขอให้เพิกถอนคำคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดิน จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองออกทับที่ดินโฉนดเลขที่ 972 ของจำเลยขอให้ยกฟ้องและให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองคดีจึงมีประเด็นว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ออกทับโฉนดที่ดินของจำเลยหรือไม่ ซึ่งเป็นกรณีพิพาทกันว่าที่ดินพิพาทเป็นของใคร จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2640/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหลังศาลอุทธรณ์พิพากษาให้พิจารณาใหม่ และผลของการท้าพิสูจน์ลายมือชื่อที่ผูกพันคู่ความ
จำเลยเคยยื่นอุทธรณ์มาครั้งหนึ่งซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยแล้วและพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลย มิได้ฎีกาโต้แย้ง ปัญหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่แล้ว จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งในปัญหาเดียวกันนั้นอีกจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144 นอกจากศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ในอุทธรณ์เดิมว่าจำเลยฝ่ายเดียวไม่อาจถอนคำท้าได้ ยังวินิจฉัยต่อไปว่า ศาลจะต้องพิพากษาไปตามข้อตกลงให้ตรงตามคำท้าทุกประการแม้จำเลยจะแถลงรับว่าลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้เป็นของตนก็ไม่ทำให้คำท้าสิ้นผลไป ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นได้ส่งเอกสารที่มีลายมือชื่อของจำเลยไปตรวจพิสูจน์ตามคำท้าและคำพิพากษาใหม่ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตรงตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แล้ว ไม่จำเป็นต้องนำสืบในประเด็นว่าข้อความในสัญญากู้ปลอมหรือไม่อีกต่อไปเพราะจำเลยสละประเด็นข้อพิพาทนี้แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2640/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหลังศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้ว และผลของการสละประเด็นข้อพิพาทด้วยคำท้า
จำเลยเคยยื่นอุทธรณ์มาครั้งหนึ่งซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยแล้วและพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งปัญหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่แล้วจำเลยอุทธรณ์โต้แย้งในปัญหาเดียวกันนั้นอีกจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา144 นอกจากศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ในอุทธรณ์เดิมว่าจำเลยฝ่ายเดียวไม่อาจถอนคำท้าได้ยังวินิจฉัยต่อไปว่าศาลจะต้องพิพากษาไปตามข้อตกลงให้ตรงตามคำท้าทุกประการแม้จำเลยจะแถลงรับว่าลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้เป็นของตนก็ไม่ทำให้คำท้าสิ้นผลไปดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นได้ส่งเอกสารที่มีลายมือชื่อของจำเลยไปตรวจพิสูจน์ตามคำท้าและคำพิพากษาใหม่ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตรงตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แล้วไม่จำเป็นต้องนำสืบในประเด็นว่าข้อความในสัญญากู้ปลอมหรือไม่อีกต่อไปเพราะจำเลยสละประเด็นข้อพิพาทนี้แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2640/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำท้าพิสูจน์ลายมือชื่อและการดำเนินกระบวนพิจารณาตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ การสละประเด็นข้อพิพาท
ปัญหาว่าจำเลยแต่ฝ่ายเดียวจะถอนคำท้าที่ให้ส่งสัญญากู้ไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้โดยโจทก์ไม่ยินยอมได้หรือไม่นั้นจำเลยเคยยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค1มาครั้งหนึ่งแล้วซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค1ได้วินิจฉัยว่าคำท้าดังกล่าวเป็นการที่คู่ความสละประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานไว้โดยยึดเอาผลตามคำท้าเป็นข้อยุติจำเลยหาอาจยกเลิกคำท้าแต่ฝ่ายเดียวได้ไม่แต่เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามคำท้าแล้วศาลชั้นต้นจะต้องพิพากษาไปตามข้อตกลงนั้นให้ตรงตามคำท้าทุกประการจึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งปัญหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่แล้วจำเลยอุทธรณ์โต้แย้งในปัญหาดังกล่าวอีกจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา144แม้ศาลอุทธรณ์ภาค1จะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้อีกก็เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย การพิพากษาให้ตรงตามคำท้าตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1นั้นหมายถึงการที่จะต้องส่งสัญญากู้ไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้ว่าเป็นลายมือชื่อคนเดียวกับลายมือชื่อของจำเลยหรือไม่แล้วพิพากษาไปตามคำท้าอันมีผลเป็นการสละประเด็นข้อพิพาทอื่นด้วยเมื่อศาลชั้นต้นได้ส่งเอกสารที่มีลายมือชื่อของจำเลยไปตรวจพิสูจน์ตามคำท้าและพิพากษาใหม่แล้วจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตรงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2556/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักกลบลบหนี้จากฟ้องแย้งที่ยุติแล้ว ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยซ้ำ
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ติดตั้งชุดมอเตอร์เกียร์ให้จำเลยไม่ตรงตามสัญญาจนต่อมาได้เสียหายทั้งชุดโจทก์ต้องรับผิดในความเสียหายส่วนนี้ตามฟ้องแย้งจำนวน80,000บาทโดยให้หักกับเงินจำนวน200,000บาทที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์ในงานงวดสุดท้ายและพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์จำนวน120,000บาทโจทก์และจำเลยมิได้อุทธรณ์เกี่ยวกับจำนวนความเสียหายตามฟ้องแย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นเกี่ยวกับจำนวนเงินตามฟ้องแย้งจึงยุติถึงที่สุดแล้วการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยต้องเสียหายเป็นจำนวนเงิน150,000บาทตามฟ้องแย้งและนำมาหักกลบลบหนี้กับโจทก์จึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 255/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย ผู้รับประกันภัยต้องยกข้อต่อสู้เอง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเองไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยไม่ได้ฟ้องให้รับผิดในฐานะผู้ทำละเมิดหากจำเลยจะยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้จำเลยก็ต้องยกอายุความในการเรียกค่าสินไหมทดแทนที่ว่าห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดสองปีนับแต่วันวินาศภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา882วรรคแรกซึ่งบัญญัติไว้ต่างหากจากอายุความเรื่องละเมิดตามมาตรา448ขึ้นต่อสู้เมื่อจำเลยไม่ได้ยกอายุความเรื่องการเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยขึ้นต่อสู้จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดีและไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลอุทธรณ์จะยกขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้จำเลยจึงฎีกาต่อมาไม่ได้เพราะเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง