พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,003 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1175/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการปรับและบอกเลิกสัญญาซื้อขายเมื่อผู้ขายผิดนัด รวมถึงการลดเบี้ยปรับที่สูงเกินควร
ตามสัญญาซื้อขายข้อ8และข้อ9มีความเกี่ยวพันกันโดยลำดับเกี่ยวกับการบังคับเอาแก่จำเลยผู้ขายกรณีผิดสัญญากล่าวคือเมื่อถึงกำหนดส่งมอบแล้วจำเลยผิดนัดไม่ส่งมอบโจทก์ขอใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันทีตามสัญญาข้อ8และริบหลักประกันตามสัญญาข้อ7เป็นจำนวนทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้และหากโจทก์จัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นจำเลยต้องรับผิดชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่กำหนดไว้ในสัญญาหากโจทก์ไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับในอัตราร้อยละ0.2ของราคาของที่ยังไม่ได้รับมอบตามสัญญาข้อ9วรรคแรกและในกรณีใช้สิทธิเรียกค่าปรับถ้าโจทก์เห็นว่าในระหว่างที่มีการปรับนั้นจำเลยไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาริบหลักประกันและเรียกให้ชดใช้ราคาของที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการปรับได้ตามสัญญาข้อ9วรรคสองไม่มีข้อความตอนใดระบุว่าในกรณีที่ได้มีการปฏิบัติตามสัญญาไปบ้างแล้วเท่านั้นจึงจะปรับเข้ากับสัญญาข้อ9ได้ดังนี้เมื่อปรากฏว่าจำเลยผิดสัญญาโจทก์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทราบและสงวนสิทธิ์ในอันที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่อ้างถึงในสัญญาข้อ8ข้อ9และข้อ10ไว้ต่อมาได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยส่งมอบสิ่งของตามสัญญาและแจ้งไปด้วยว่าโจทก์ต้องทำการปรับจำเลยด้วยแต่จำเลยเพิกเฉยในระหว่างที่มีการปรับโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้จึงได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาถือว่าโจทก์ใช้สิทธิตามสัญญาข้อ9หาใช่สิทธิตามสัญญาข้อ8ไม่โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าปรับในอัตราร้อยละ0.2ของราคาที่ยังไม่รับมอบตามสัญญาจากจำเลยได้ ราคาสิ่งของตามสัญญาซื้อขายมีเพียง92,720บาทโจทก์เรียกค่าปรับมาเป็นเงิน90,123.84บาทนับว่าสูงเกินเงินค่าปรับดังกล่าวเป็นเบี้ยปรับอย่างหนึ่งซึ่งศาลมีอำนาจลดลดเป็นจำนวนสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา383
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้ตามคำขอเบิกเงินล่วงหน้า/สัญญาซื้อขาย สัมพันธ์กับหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน
โจทก์ฟ้องจำเลยที่1ให้รับผิดในมูลหนี้ตามคำขอเบิกเงินล่วงหน้าตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือสัญญาซื้อขายอันเป็นสัญญาซึ่งมีผลบังคับได้ตามกฎหมายชนิดหนึ่งโดยโจทก์บรรยายฟ้องว่าในการทำคำขอเบิกเงินล่วงหน้าตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือสัญญาซื้อขายจำเลยที่1ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์ไว้เพื่อชำระหนี้ตามคำขอเบิกเงินล่วงหน้าตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือสัญญาซื้อขายและมีจำเลยที่2และที่3เป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมจากคำฟ้องของโจทก์จะเห็นได้ว่าหนี้ที่โจทก์ฟ้องคือหนี้ตามคำขอเบิกเงินล่วงหน้าตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือสัญญาซื้อขายไม่ใช่หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินสิทธิเรียกร้องในหนี้ตามคำขอเบิกเงินล่วงหน้าตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือสัญญาซื้อขายไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา164เดิมซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องดังกล่าวได้คือมีกำหนด10ปีและแม้โจทก์จะฟ้องคดีเกิน10ปีนับแต่วันที่ครบกำหนดชำระหนี้ตามคำขอเบิกเงินล่วงหน้าตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือสัญญาซื้อขายแล้วก็ตามแต่จำเลยที่2ก็มิได้ยกอายุความแห่งสิทธิเรียกร้องตามคำขอเบิกเงินล่วงหน้าตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือสัญญาซื้อขายขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การโดยเฉพาะจำเลยที่2เพียงแต่ยกอายุความแห่งสิทธิเรียกร้องตามตั๋วสัญญาใช้เงินขึ้นต่อสู้สถานเดียวศาลจะอ้างเอาอายุความแห่งสิทธิเรียกร้องตามคำขอเบิกเงินล่วงหน้าตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือสัญญาซื้อขายมาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้เพราะเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193เดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1102/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงราคาซื้อขายที่ดินหลังทำสัญญา การนำสืบเพิ่มเติมไม่ขัดกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
แม้หนังสือสัญญาขายที่ดินระบุว่าที่ดินราคา9,500,000บาทโดยผู้ซื้อได้ชำระและผู้ขายได้รับเงินค่าที่ดินเรียบร้อยแล้วแต่เมื่อผู้ซื้อผู้ขายรับกันว่าซื้อขายกันจริงในราคา20,000,000บาทการที่ผู้ขายนำสืบว่าได้รับชำระค่าที่ดินยังไม่ครบถ้วนหาเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในหนังสือสัญญาขายที่ดินไม่จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94(ข)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10225/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดิน: จำเลยผิดสัญญาเนื่องจากเสียสิทธิครอบครองจากคดีแย่งครอบครอง ทำให้ไม่สามารถโอนได้ โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย
ตามข้อ2ของสัญญาจะซื้อจะขายเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องชำระราคาที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยส่วนจำเลยมีหน้าที่ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยปลอดจากภาระผูกพันหากมีผู้บุกรุกที่ดินพิพาทจำเลยก็ต้องฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกให้ออกไปจากที่ดินพิพาทสำหรับสัญญาข้อ3ที่โจทก์ตกลงจะออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการฟ้องร้องให้จำเลยนั้นข้อสัญญาดังกล่าวมิได้เกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินพิพาทมิได้เป็นสาระสำคัญของสัญญาแต่เป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยต่างหากจากข้อสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกล่าวคือหากโจทก์ไม่ออกค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องให้แก่จำเลยจำเลยก็ยังมีหน้าที่ต้องฟ้องร้องผู้บุกรุกให้ออกไปจากที่ดินพิพาทเพื่อนำที่ดินพิพาทส่งมอบให้โจทก์เช่นเดิมหากจำเลยเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีไปเป็นจำนวนเท่าใดแล้วโจทก์ไม่ชำระจำเลยก็มีสิทธิเรียกร้องเงินจำนวนนี้จากโจทก์ได้ดังนั้นแม้จำเลยยื่นฎีกาในคดีที่จำเลยฟ้องขับไล่ผู้ร้องสอดโดยโจทก์มิได้ออกค่าใช้จ่ายในชั้นฎีกาให้ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขาย ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้จำเลยได้ฟ้องขับไล่ผู้ร้องสอดออกจากที่ดินพิพาทผู้ร้องสอดให้การต่อสู้คดีว่าผู้ร้องสอดทั้งสองได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้สิทธิครอบครองแล้วจำเลยหมดสิทธิเรียกคืนคดีดังกล่าวศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดจากผลของคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอีกต่อไปและไม่อาจโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายได้แม้จำเลยจะยังมีชื่อในที่ดินน.ส.3ที่พิพาทและผู้ร้องสอดได้ออกไปจากที่ดินพิพาทแล้วก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแก่จำเลยแต่อย่างใดและเมื่อจำเลยไม่สามารถโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายและกรณีเช่นนี้ก็มิได้เกิดขึ้นเพราะความผิดของโจทก์แต่เป็นความผิดของจำเลยเองจำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดสัญญาจะซื้อจะขายโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายกับจำเลยโดยรู้อยู่แล้วว่าขณะนั้นผู้ร้องสอดได้แย่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยอยู่แสดงว่าโจทก์เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายโดยเสี่ยงภัยเองเพราะรู้อยู่ว่าหากจำเลยแพ้คดีจำเลยก็ไม่อาจโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ได้เมื่อค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมาสูงเกินไปและโจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฎว่าโจทก์เสียหายเป็นจำนวนเท่าใดศาลย่อมกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ตามจำนวนที่เหมาะสมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10156/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดินในเขตป่าสงวน: สิทธิเลิกสัญญาและการคืนเงิน
ตอนที่โจทก์ไปดูที่พิพาทและทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำกับจำเลยนั้น โจทก์ไม่ทราบว่าที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ การที่โจทก์ไม่อาจรับโอนที่พิพาทได้ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกเงินที่โจทก์ชำระแล้วคืน ถือได้ว่าโจทก์แสดงเจตนาเลิกสัญญาโดยปริยายแล้ว โจทก์และจำเลยจึงกลับคืนสู่ฐานะเดิม กล่าวคือ จำเลยต้องคืนเงินที่รับชำระแล้วให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญาโดยฟ้องเรียกเงินที่โจทก์ชำระแก่จำเลยคืน ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องได้ภายในกำหนดอายุความสิบปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๙๓/๓๐
โจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญาโดยฟ้องเรียกเงินที่โจทก์ชำระแก่จำเลยคืน ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องได้ภายในกำหนดอายุความสิบปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๙๓/๓๐
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 927/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกสัญญาสื่อสารโดยปริยายและการคืนเงินมัดจำ
สัญญาซื้อขายมิได้ระบุแจ้งชัดว่า หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดนัดแล้วสัญญาเป็นอันเลิกกันทันที ทั้งวัตถุประสงค์แห่งสัญญาก็เห็นได้ว่าโดยสภาพหรือโดยเจตนาที่คู่สัญญาแสดงไว้ มิใช่ว่าจะเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ ณ เวลาที่กำหนด การที่โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาท โดยกำหนดโอนที่ดินภายในเดือนมกราคม 2533 แต่เมื่อครบกำหนดตามสัญญา ไม่ปรากฏว่าทั้งโจทก์และจำเลยได้บอกกล่าวหรือเตรียมการใด ๆ ที่จะทำการโอนที่ดินตามสัญญา ทั้งได้เจรจาตกลงราคาที่พิพาทกันใหม่ แต่ไม่เป็นที่ตกลงกัน ถือได้ว่าโจทก์จำเลยตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายโดยปริยายแล้ว การที่จำเลยมีหนังสือบอกเลิกสัญญา หรือโจทก์มีหนังสือให้ไปโอนที่พิพาทในภายหลัง หามีผลว่าเป็นการยึดถือตามสัญญาเดิม อันจะทำให้สัญญาเดิมมีผลผูกพันแต่ประการใดไม่
แม้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่า จำเลยผิดสัญญาหรือไม่ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมิได้ผิดสัญญา แต่เป็นกรณีที่โจทก์จำเลยตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายโดยปริยาย โจทก์จำเลยจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะที่เป็นอยู่เดิม โดยจำเลยต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 หาได้ขัดต่อสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์ไม่
แม้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่า จำเลยผิดสัญญาหรือไม่ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมิได้ผิดสัญญา แต่เป็นกรณีที่โจทก์จำเลยตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายโดยปริยาย โจทก์จำเลยจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะที่เป็นอยู่เดิม โดยจำเลยต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 หาได้ขัดต่อสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 927/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เลิกสัญญาซื้อขายโดยปริยาย: การเจรจาใหม่แสดงเจตนาไม่ผูกพันตามสัญญาเดิม
สัญญาซื้อขายมิได้ระบุแจ้งชัดว่าหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดนัดแล้วสัญญาเป็นอันเลิกกันทันทีทั้งวัตถุประสงค์แห่งสัญญาก็เห็นได้ว่าโดยสภาพหรือโดยเจตนาที่คู่สัญญาแสดงไว้มิใช่ว่าจะเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ณเวลาที่กำหนดการที่โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทโดยกำหนดโอนที่ดินภายในเดือนมกราคม2533แต่เมื่อครบกำหนดตามสัญญาไม่ปรากฏว่าทั้งโจทก์และจำเลยได้บอกกล่าวหรือเตรียมการใดๆที่จะทำการโอนที่ดินตามสัญญาทั้งได้เจรจาตกลงราคาที่พิพาทกันใหม่แต่ไม่เป็นที่ตกลงกันถือได้ว่าโจทก์จำเลยตกลง เลิกสัญญาจะซื้อขายโดยปริยายแล้วการที่จำเลยมีหนังสือบอกเลิกสัญญาหรือโจทก์มีหนังสือให้ไปโอนที่พิพาทในภายหลังหามีผลว่าเป็นการยึดถือตามสัญญาเดิมอันจะทำให้สัญญาเดิมมีผลผูกพันแต่ประการใดไม่ แม้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าจำเลยผิดสัญญาหรือไม่แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมิได้ผิดสัญญาแต่เป็นกรณีที่โจทก์จำเลยตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายโดยปริยายโจทก์จำเลยจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะที่เป็นอยู่เดิมโดยจำเลยต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา391หาได้ขัดต่อสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8504/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดินต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การรับฟังพยานบุคคลจึงมีข้อจำกัด และสัญญาจะให้ทรัพย์สินต้องจดทะเบียนจึงมีผลผูกพัน
สัญญาจะซื้อจะขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคสอง บังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ เป็นกรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดง การรับฟังพยานหลักฐานในกรณีเช่นนี้ต้องอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 กล่าวคือจะนำพยานบุคคลมาสืบว่า ยังมีข้อความเพิ่มเติมหรือนอกเหนือไปจากที่ปรากฏในสัญญาจะซื้อจะขายไม่ได้ จำเลยสัญญาว่ายินยอมจะไปโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์เป็นสัญญาหรือคำมั่นว่าจะให้ทรัพย์สินซึ่งจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงจะบังคับกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 526 แต่สัญญายินยอมให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่มีผลผูกพันจำเลยให้ต้องรับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8482/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาเนื่องจากเอกสารไม่พร้อม และการเรียกร้องค่าเสียหายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยประมาณ10 ไร่ ซึ่งรวมอยู่ในที่ดินแปลงใหญ่โดยโจทก์วางเงินมัดจำไว้แล้ว ราคาส่วนที่เหลือจะชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์ ครั้นถึงวันนัด โจทก์จำเลยไปที่สำนักงานที่ดิน แต่จำเลยไม่ได้นำโฉนดที่ดินไป จึงไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ได้ตามสัญญา ดังนี้ การที่จำเลยไม่ได้โฉนดที่ดินมาในวันนัดทั้งที่มีเวลาที่จะขวนขวายถึง 26 วัน แม้โฉนดที่ดินจะอยู่กับ ป.ซึ่งเดินทางไปต่างประเทศ จำเลยซึ่งมีหน้าที่ต้องนำโฉนดที่ดินมาจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญาก็อ้างเหตุสุดวิสัยตาม ป.พ.พ.มาตรา 8 ไม่ได้อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏว่าในวันดังกล่าวโจทก์ยอมผ่อนผันการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจนกว่าจำเลยสามารถนำโฉนดที่ดินมาได้แต่เมื่อจำเลยยืมโฉนดที่ดินมาได้แล้วและนัดโจทก์ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโจทก์กลับเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย3,000,000 บาท ตามสัญญาจึงจะยอมรับโอนเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอม โจทก์แจ้งอายัดที่ดินพิพาทแล้วไม่ฟ้องคดีภายใน 60 วัน เมื่อการอายัดสิ้นสุด จำเลยจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทแก่ ป.แล้ว โจทก์จึงมาฟ้องเป็นคดีนี้ จำเลยจึงไม่ผิดสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8482/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาเนื่องจากโฉนดอยู่กับบุคคลอื่น แม้จะมีความพยายาม แต่เมื่อฝ่ายโจทก์ไม่ยอมรับโอนตามเงื่อนไขเดิม จำเลยไม่ผิดสัญญา
โจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยประมาณ 10 ไร่ ซึ่งรวมอยู่ในที่ดินแปลงใหญ่โดยโจทก์วางเงินมัดจำไว้แล้ว ราคาส่วนที่เหลือจะชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์ ครั้นถึงวันนัด โจทก์จำเลยไปที่สำนักงานที่ดิน แต่จำเลยไม่ได้นำโฉนดที่ดินไป จึงไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ได้ตามสัญญาดังนี้ การที่จำเลยไม่ได้โฉนดที่ดินมาในวันนัดทั้งที่มีเวลาที่จะขวนขวายถึง 26 วัน แม้โฉนดที่ดินจะอยู่กับ ป.ซึ่งเดินทางไปต่างประเทศ จำเลยซึ่งมีหน้าที่ต้องนำโฉนดที่ดินมาจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญาก็อ้างเหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 8ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏว่าในวันดังกล่าวโจทก์ยอมผ่อนผันการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจนกว่าจำเลยสามารถนำโฉนดที่ดินมาได้แต่เมื่อจำเลยยืมโฉนดที่ดินมาได้แล้วและนัดโจทก์ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโจทก์กลับเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 3,000,000 บาท ตามสัญญาจึงจะยอมรับโอนเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอม โจทก์แจ้งอายัดที่ดินพิพาทแล้วไม่ฟ้องคดีภายใน 60 วัน เมื่อการอายัดสิ้นสุด จำเลยจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทแก่ ป. แล้ว โจทก์จึงมาฟ้องเป็นคดีนี้จำเลยจึงไม่ผิดสัญญา