พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,822 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 651/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ & เบี้ยปรับจากสัญญาซื้อขาย: การสงวนสิทธิเรียกค่าเสียหาย
แม้สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 5 ได้เรียกชื่อว่าสัญญารับสภาพหนี้ก็ตาม แต่มูลกรณีในสัญญานั้นเป็นเรื่องโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 5ทำความตกลงกันกรณีที่จำเลยที่ 1 และที่ 5 ถูกโจทก์กล่าวหาว่าทำละเมิดต่อโจทก์ข้อความในสัญญาเป็นเรื่องตกลงให้จำเลยที่ 1 และที่ 5 ยอมชดใช้เงินค่าเสียหายในมูลละเมิด กับให้ผ่อนชำระให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาที่ตกลงกัน ดังนี้ เป็นกรณีที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 5 ตกลงระงับข้อพิพาทที่มีขึ้นจากมูลละเมิดนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ.มาตรา 850 หาใช่เป็นการรับสภาพหนี้แต่เพียงอย่างเดียวไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 5 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความระงับข้อพิพาทกับโจทก์แล้วเช่นนี้ ความรับผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 5 ในมูลละเมิดก็ระงับไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นโจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 5 ให้รับผิดในมูลละเมิดอีกหาได้ไม่
ในกรณีที่ผู้ขายผิดสัญญาซื้อขายนั้น นอกจากสัญญาข้อ 10 ได้กำหนดให้ผู้ขายต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาแล้ว ในข้อ 9ของสัญญาดังกล่าวยังได้กำหนดให้ผู้ขายต้องเสียเบี้ยปรับอีกด้วย โดยระบุว่า ถ้าผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาในกรณีที่เมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญาแล้ว ผู้ขายส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวน ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.20ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบจำนวน ซึ่งในสัญญาซื้อขายก็ไม่ได้มีการตกลงยกเว้นไว้เลยว่า หากผู้ซื้อไม่แจ้งสงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับแก่ผู้ขายแล้วผู้ซื้อจะหมดสิทธิเรียกเบี้ยปรับ ดังนั้นเมื่อผู้ขายตามสัญญารายนี้ผิดสัญญาโดยส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวน และผู้ซื้อได้รับมอบสิ่งของบางส่วนนั้นไว้ ก็ไม่ถือว่าเป็นการรับชำระหนี้อันจะต้องแจ้งสงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับ ไม่เป็นเหตุให้โจทก์หมดสิทธิเรียกเบี้ยปรับจากผู้ขายตามสัญญาดังกล่าว
ป.พ.พ.มาตรา 381 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า "ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้แล้ว จะเรียกเอาเบี้ยปรับได้ต่อเมื่อได้บอกสงวนสิทธิไว้เช่นนั้น"เจ้าหนี้ต้องบอกกล่าวสงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับเฉพาะกรณีที่ลูกหนี้ยอมชำระหนี้โดยสิ้นเชิงแล้วและเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้ไว้เท่านั้น ไม่ได้หมายถึงการชำระหนี้บางส่วนหรือชำระหนี้ไม่ถูกต้อง ดังนั้น การที่จำเลยที่ 4 และที่ 6 ซึ่งเป็นข้าราชการผู้มีหน้าที่ดำเนินการจัดซื้อของโจทก์รับชำระหนี้ไว้โดยไม่ได้แจ้งสงวนสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับไปยังผู้ขาย จึงไม่เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย และถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 และที่ 6 กระทำละเมิดแก่โจทก์
ในกรณีที่ผู้ขายผิดสัญญาซื้อขายนั้น นอกจากสัญญาข้อ 10 ได้กำหนดให้ผู้ขายต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาแล้ว ในข้อ 9ของสัญญาดังกล่าวยังได้กำหนดให้ผู้ขายต้องเสียเบี้ยปรับอีกด้วย โดยระบุว่า ถ้าผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาในกรณีที่เมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญาแล้ว ผู้ขายส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวน ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.20ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบจำนวน ซึ่งในสัญญาซื้อขายก็ไม่ได้มีการตกลงยกเว้นไว้เลยว่า หากผู้ซื้อไม่แจ้งสงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับแก่ผู้ขายแล้วผู้ซื้อจะหมดสิทธิเรียกเบี้ยปรับ ดังนั้นเมื่อผู้ขายตามสัญญารายนี้ผิดสัญญาโดยส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวน และผู้ซื้อได้รับมอบสิ่งของบางส่วนนั้นไว้ ก็ไม่ถือว่าเป็นการรับชำระหนี้อันจะต้องแจ้งสงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับ ไม่เป็นเหตุให้โจทก์หมดสิทธิเรียกเบี้ยปรับจากผู้ขายตามสัญญาดังกล่าว
ป.พ.พ.มาตรา 381 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า "ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้แล้ว จะเรียกเอาเบี้ยปรับได้ต่อเมื่อได้บอกสงวนสิทธิไว้เช่นนั้น"เจ้าหนี้ต้องบอกกล่าวสงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับเฉพาะกรณีที่ลูกหนี้ยอมชำระหนี้โดยสิ้นเชิงแล้วและเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้ไว้เท่านั้น ไม่ได้หมายถึงการชำระหนี้บางส่วนหรือชำระหนี้ไม่ถูกต้อง ดังนั้น การที่จำเลยที่ 4 และที่ 6 ซึ่งเป็นข้าราชการผู้มีหน้าที่ดำเนินการจัดซื้อของโจทก์รับชำระหนี้ไว้โดยไม่ได้แจ้งสงวนสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับไปยังผู้ขาย จึงไม่เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย และถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 และที่ 6 กระทำละเมิดแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 644/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับเนื่องจากข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง กรณีฟ้องขับไล่และค่าเสียหาย
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้จำเลยและจำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ให้ก่อสร้างบ้านในที่ดินดังกล่าวต่อมาจำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วแต่จำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินและบ้านของโจทก์จึงขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินและบ้านพิพาทพร้อมทั้งให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาโจทก์จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาส่วนบ้านพิพาทนั้นจำเลยได้ว่าจ้างบุคคลอื่นก่อสร้างโดยมิได้ฟ้องแย้งให้โจทก์โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยด้วยดังนั้นแม้บ้านพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่ก็ปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทหากจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วจำเลยก็อยู่ในที่ดินพิพาทต่อไปอีกไม่ได้จึงเป็นการฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ2,000บาทโจทก์ไม่ฎีกาย่อมฟังได้ว่าในขณะที่ยื่นคำฟ้องนั้นที่ดินและบ้านพิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ2,000บาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6110/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากการก่อสร้างประมาทเลินเล่อ:สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายทางจิตใจและทางร่างกาย
จำเลยก่อสร้างอาคารชิดที่ดินของโจทก์โดยประมาทเลินเล่อซึ่งนอกจากทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของโจทก์แล้วยังทำให้โจทก์เสียหายแก่ร่างกายและอนามัย โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินที่โจทก์ต้องทุกข์ทรมานจิตใจอันเนื่องมาจากการตอกเสาเข็ม วัสดุก่อสร้างและฝุ่นละอองร่วงหล่นเข้ามาในบริเวณที่ดินและบ้านโจทก์ได้และไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนที่ไกลเกินเหตุ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420,446
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5937/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณค่าเสียหายในคดีละเมิดและการรับผิดชอบค่าอุปการะเลี้ยงดูของผู้เยาว์
โจทก์ทั้งสามต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวของโจทก์แต่ละคนตามลำพังฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการกระทำละเมิด แม้จะฟ้องรวมกันมาก็ตาม แต่ก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกันเป็นราย ๆ ไปเกี่ยวกับค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสามในส่วนของค่าปลงศพ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระเป็นเงินจำนวน 60,000 บาท ส่วนค่าขาดไร้อุปการะของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ศาลล่างทั้งสองมิได้กำหนดให้ คดีระหว่างจำเลยที่ 2 กับโจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248วรรคหนึ่ง
พ.บิดาโจทก์ที่ 3 ได้หย่าขาดจากผู้ตายและตกลงให้ผู้ตายเป็นผู้ปกครองโจทก์ที่ 3 ดังนี้ ผู้ตายจึงมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่โจทก์ที่ 3 ในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์ ถึงแม้ พ.จะให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูก็หาทำให้ผู้ตายหมดภาระหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่โจทก์ที่ 3 ไม่จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในส่วนนี้อยู่
พ.บิดาโจทก์ที่ 3 ได้หย่าขาดจากผู้ตายและตกลงให้ผู้ตายเป็นผู้ปกครองโจทก์ที่ 3 ดังนี้ ผู้ตายจึงมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่โจทก์ที่ 3 ในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์ ถึงแม้ พ.จะให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูก็หาทำให้ผู้ตายหมดภาระหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่โจทก์ที่ 3 ไม่จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในส่วนนี้อยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5937/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องค่าเสียหายจากละเมิดและข้อยกเว้นการฎีกาในข้อเท็จจริงตามทุนทรัพย์
โจทก์ทั้งสามต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวของโจทก์แต่ละคนตามลำพังฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการกระทำละเมิดแม้จะฟ้องรวมกันมาก็ตามแต่ก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกันเป็นรายๆไปเกี่ยวกับค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสามในส่วนของค่าปลงศพศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระเป็นเงินจำนวน60,000บาทส่วนค่าขาดไร้อุปการะของโจทก์ที่1และที่2ศาลล่างทั้งสองมิได้กำหนดให้คดีระหว่างจำเลยที่2กับโจทก์ที่1และที่2จึงเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง พ. บิดาโจทก์ที่3ได้หย่าขาดจากผู้ตายและตกลงให้ผู้ตายเป็นผู้ปกครองโจทก์ที่3ดังนี้ผู้ตายจึงมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่โจทก์ที่3ในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์ถึงแม้พ. จะให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูก็หาทำให้ผู้ตายหมดภาระหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่โจทก์ที่3ไม่จำเลยที่2จึงต้องรับผิดในส่วนนี้อยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5888/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ค่าเสียหายจากการขุดดินละเมิด ศาลแก้คำพิพากษาให้ชำระค่าถมดินและสร้างเขื่อนตามสภาพจริง
คำขอท้ายฟ้องของโจทก์กำหนดให้จำเลยกระทำการชำระหนี้หลายอย่างทีละอย่างก่อนหลังตามลำดับ เมื่อไม่สามารถกระทำอย่างแรกแล้วให้กระทำอย่างหลัง เมื่อการชำระหนี้อย่างแรกยังไม่ตกเป็นพ้นวิสัยการกำหนดให้จำเลยทั้งสามและจำเลยร่วมร่วมกันชำระหนี้เป็นเงินซึ่งเป็นการชำระหนี้อย่างหลังไปเสียทีเดียว จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 202
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5885/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อจะขาย, การโอนกรรมสิทธิ์, ค่าเสียหายจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญา, การประเมินราคาที่ดิน
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่1โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ทั้งสองหากไม่สามารถโอนได้ให้ชดใช้ค่าเสียหายต้องถือราคาทรัพย์พิพาทในขณะยื่นคำฟ้องเป็นจำนวนค่าเสียหายและการนำสืบราคาซื้อขายที่ดินไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือโจทก์ทั้งสองจึงนำสืบพยานบุคคลได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5813/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับช่วงสิทธิของผู้รับประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 880 และการคำนวณดอกเบี้ยค่าเสียหาย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา880บัญญัติให้ผู้รับประกันภัยซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยและของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกได้เมื่อผู้เอาประกันภัยมีสิทธิฟ้องร้องบุคคลภายนอกในอายุความอย่างใดผู้รับประกันภัยก็ย่อมมีสิทธิฟ้องร้องบุคคลภายนอกภายในอายุความอย่างเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5809/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับขนทางทะเลก่อน พ.ร.บ. 2534 ผู้รับประกันภัยมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ แม้มีข้อตกลงฟ้องศาลต่างประเทศ
การว่าจ้างขนส่งสินค้าทำสัญญาก่อนวันที่พระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มีผลใช้บังคับ ดังนั้นการฟ้องเรียกค่าเสียหายเกี่ยวกับสินค้าพิพาทต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้น อันเป็นบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งปรับแก่คดีตามมาตรา 4 แม้ผู้ส่งกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ขนส่งมีข้อตกลงกันว่าหากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นจะต้องฟ้องคดีต่อศาลตามที่ระบุไว้ในใบตราส่ง แต่เมื่อสินค้าพิพาทได้รับความเสียหายในระหว่างการขนส่ง โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยสินค้าพิพาทมีหน้าที่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยและเป็นผู้เข้ารับช่วงสิทธิที่จะฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายจากผู้ขนส่ง การรับช่วงสิทธิเกิดขึ้นโดยอำนาจแห่งกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 วรรคหนึ่งหาใช่เกิดจากข้อตกลงในสัญญาไม่ ดังนั้นข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ผู้รับประกันภัย เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้ให้การต่อสู้ในเรื่องข้อจำกัดความรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นไว้จึงไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5809/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับใช้กฎหมายต่างประเทศกับการรับช่วงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการขนส่งทางทะเล
พระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเลพ.ศ.2534เพิ่งใช้บังคับเมื่อวันที่21กุมภาพันธ์2535แต่การว่าจ้างขนส่งสินค้าพิพาททำสัญญากันก่อนวันที่พระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเลพ.ศ.2534มีผลใช้บังคับดังนั้นในการฟ้องเรียกค่าเสียหายเกี่ยวกับสินค้าพิพาทจึงต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา616ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นอันเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับแก่คดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา4จะนำเอาพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเลพ.ศ.2534มาปรับใช้แก่คดีนี้หาได้ไม่ โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้าพิพาทจากบริษัทผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้สั่งซื้อสินค้าพิพาทเมื่อสินค้าพิพาทได้รับความเสียหายในระหว่างการขนส่งโจทก์มีหน้าที่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา877และผลแห่งการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเช่นนั้นทำให้โจทก์อยู่ในฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยที่จะฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายจากจำเลยซึ่งเป็นผู้ขนส่งสินค้าพิพาทได้ในนามของโจทก์เองตามมาตรา880วรรคหนึ่ง การรับช่วงสิทธิของโจทก์ดังกล่าวเกิดขึ้นโดยอำนาจแห่งกฎหมายตามมาตรา880วรรคหนึ่งหาใช่เกิดจากข้อตกลงในสัญญาไม่ดังนั้นข้อตกลงระหว่างผู้เอาประกันภัยกับจำเลยหรือผู้ส่งสินค้ากับจำเลยที่ตกลงกันให้นำข้อพิพาทอันเกิดจากใบตราส่งไปฟ้องต่อศาลของเมืองโคเปนเฮเกนและให้ใช้กฎหมายประเทศเดนมาร์กบังคับจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์