คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ดุลพินิจ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 923 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 176/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไต่สวนคำร้องขัดทรัพย์: ศาลมีอำนาจสอบคู่ความและใช้ดุลพินิจตีราคาทรัพย์สินได้ แม้ไม่ได้ไต่สวนพยานเพิ่มเติม
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอต่อศาลให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดไว้ ศาลสอบคู่ความเกี่ยวกับราคาทรัพย์ที่พิพาทแล้วตีราคาตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมิน และสั่งให้ผู้ร้องชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มภายใน 15 วัน ดังนี้การที่ศาลสอบคู่ความและจดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งที่ศาลมีอำนาจกระทำได้และถือว่าเป็นการไต่สวนแล้ว หากให้คู่ความนำพยานเข้าสืบไต่สวนก็จะไม่ได้ข้อเท็จจริงแตก ต่างนอกเหนือจากการสอบคู่ความและไม่อาจทำให้ประเด็นที่จะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงไป ศาลย่อมมีอำนาจนำข้อเท็จจริงที่ได้จากการสอบคู่ความมารับฟังประกอบการใช้ดุลพินิจ ทำคำสั่งตามที่เห็นควรได้ เมื่อผู้ร้องไม่เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มภายในเวลาที่ศาลกำหนดจึงเป็นการทิ้งฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1739/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดุลพินิจอัยการในการไม่อุทธรณ์คดีอาญาและการแจ้งผลคดี ไม่ถือเป็นการละเมิดต่อผู้เสียหาย
จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานอัยการผู้ว่าคดี จำเลยที่ 3 เป็นอัยการจังหวัด การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ใช้สิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีอาญาที่โจทก์เป็นผู้เสียหาย เป็นการใช้ดุลพินิจในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 กำหนดให้อำนาจไว้ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ส่วนการแจ้งผลคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษายกฟ้อง และความเห็นที่ไม่อุทธรณ์นั้นก็ไม่มีกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับกำหนดให้พนักงานอัยการต้องแจ้งให้ผู้เสียหายทราบ การที่จำเลยที่ 3 ไม่แจ้งผลคำพิพากษาและความเห็นที่ไม่อุทธรณ์ให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายทราบถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำโดยผิดกฎหมายเช่นกัน
กรมอัยการจำเลยที่ 1 เป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้กระทำการอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ย่อมไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1739/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดุลพินิจพนักงานอัยการในการไม่อุทธรณ์คดีอาญา ไม่ถือเป็นการละเมิดต่อผู้เสียหาย
จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานอัยการผู้ว่าคดี จำเลยที่ 3 เป็นอัยการจังหวัด การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ใช้สิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีอาญาที่โจทก์เป็นผู้เสียหาย เป็นการใช้ดุลพินิจ ในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 กำหนดให้อำนาจไว้จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์ส่วนการแจ้งผลคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษายกฟ้อง และความเห็นที่ไม่อุทธรณ์นั้นก็ไม่มีกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับกำหนดให้พนักงานอัยการต้องแจ้งให้ผู้เสียหายทราบ การที่จำเลยที่ 3 ไม่แจ้งผลคำพิพากษาและความเห็นที่ไม่อุทธรณ์ให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายทราบ ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำโดยผิดกฎหมายเช่นกัน กรมอัยการจำเลยที่ 1 เป็นผู้ บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 ที่ 3เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้กระทำการอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์จำเลยที่ 1 ย่อมไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1739/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดุลพินิจอัยการไม่ฟ้องอุทธรณ์คดีอาญา ไม่ถือเป็นการละเมิดต่อผู้เสียหาย
จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานอัยการผู้ว่าคดี จำเลยที่ 3 เป็นอัยการจังหวัด การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ใช้สิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีอาญาที่โจทก์เป็นผู้เสียหาย เป็นการใช้ดุลพินิจในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 กำหนดให้อำนาจไว้ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ส่วนการแจ้งผลคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษายกฟ้อง และความเห็นที่ไม่อุทธรณ์นั้นก็ไม่มีกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับกำหนดให้พนักงานอัยการต้องแจ้งให้ผู้เสียหายทราบ การที่จำเลยที่ 3 ไม่แจ้งผลคำพิพากษาและความเห็นที่ไม่อุทธรณ์ให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายทราบถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำโดยผิดกฎหมายเช่นกัน
กรมอัยการจำเลยที่ 1 เป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 ที่ 3เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้กระทำการอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ย่อมไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1533/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และเป็นการฎีกาเรื่องดุลพินิจการลงโทษ
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 9 เดือนและปรับด้วยแต่ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด1 ปี ทั้งกำหนดเงื่อนไขคุมประพฤติจำเลยมีกำหนด 1 ปี แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยโดยไม่รอการลงโทษซึ่งเป็นการแก้ไขมากก็ตาม แต่ก็ลงโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นการฎีกาดุลพินิจในการลงโทษของศาล เป็นปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1344/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษคดีผลิตกัญชา ศาลมีอำนาจลงโทษจำคุกหรือปรับ หรือทั้งสองอย่าง และใช้ดุลพินิจรอการลงโทษได้
โจทก์บรรยายฟ้องแจ้งชัดว่าจำเลยผลิตกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 โดยผิดกฎหมายและอ้างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 อันเป็นบทห้ามกระทำผิด แม้โจทก์จะมิได้อ้างบทลงโทษมาตรา 75 ศาลก็ลงโทษจำเลยตามมาตราดังกล่าวได้
กรณีที่กฎหมายกำหนดให้ลงโทษทั้งจำคุกและปรับ ถ้าศาลเห็นสมควรก็ลงแต่โทษจำคุกสถานเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 20ได้ และศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจรอการลงโทษจำคุกนั้นตามมาตรา 56ได้ด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1241/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการยุติการสืบพยาน: ดุลพินิจและข้อจำกัดการฎีกา
อำนาจในการที่จะวินิจฉัยว่าพยานที่นำมาสืบแล้วเป็น อันเพียงพอยุติได้หรือไม่เป็นอำนาจของศาล เมื่อศาลวินิจฉัย ว่าพยานที่นำสืบมาเพียงพอยุติได้แล้ว การที่จำเลยฎีกาว่า ยังไม่ควรยุติเพราะหากศาลเปิดโอกาสให้จำเลยสืบพยานอีก ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ก็จะกระจ่ายชัดขึ้น ทำให้การวินิจฉัยคดี จะได้รับความยุติธรรม จึงเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาล อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1220/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับโทษจำคุกต่อจากคดีอื่นเป็นดุลพินิจของศาล แม้โทษจำคุกรวมเกิน 50 ปี และประเด็นการฎีกาต้องเป็นไปตามเหตุผลที่อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง แต่จำเลยอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอื่นเป็นการมิชอบ ดังนั้นประเด็นเรื่องจำเลยได้กระทำตามฟ้องหรือไม่จึงยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยจะกลับมาฎีกาอีกไม่ได้ การนับโทษจำคุกจำเลยต่อกับโทษในคดีอื่นเป็นดุลพินิจ ของศาลแม้ว่าศาลจะพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 50 ปีแล้วก็ตามหากศาลเห็นสมควรก็จะสั่งให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอื่นอีกได้ไม่ขัดต่อ ป.อ. มาตรา 91.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1173/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม - การยกประเด็นนอกฟ้อง & การโต้เถียงดุลพินิจศาลชั้นต้น
ฎีกาที่ว่าศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงว่ามีการปลดหนี้ให้แก่จำเลยเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงนอกฟ้อง ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย แต่เมื่อมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์เพิ่งจะยกขึ้นในชั้นฎีกา ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 ประกอบกับมาตรา 225 แม้ฎีกาข้อนี้จะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยก็ตาม ศาลฎีกาเห็นว่าไม่สมควรรับวินิจฉัยให้ ฎีกาที่ว่าศาลชั้นต้นมิได้หยิบยกคำเบิกความของพยานจำเลยปากมาวินิจฉัย เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมายนั้นเป็นฎีกาโต้เถียง ดุลพินิจ ในการวินิจฉัยชั่ง น้ำหนักพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา 22.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1109/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาและดุลพินิจทางปกครองในการอนุมัติเปลี่ยนแปลงแผนผังโครงการทำเหมือง
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 เป็นข้าราชการตำแหน่งทรัพยากรธรณีจังหวัด รับเรื่องราวขอเปลี่ยนแปลงแผนผังโครงการทำเหมืองจากโจทก์แล้วมิได้นำเสนออธิบดีกรมทรัพยากรธรณีเพื่อพิจารณาอนุญาตโดยตรง หากแต่เสนอเรื่องราวดังกล่าวไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อขอความเห็นก่อน ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งมีหน้าที่ควบคุมดูแลหน่วยงานนี้สั่งการไว้ โดยคำสั่งดังกล่าวปฏิบัติตามแผนพัฒนาการท่องเที่ยวจังหวัดและคำสั่งของสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งมอบหมายให้ปฏิบัติราชการตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 218 ข้อ (1) (2) อีกทั้งไม่มีระเบียบทางราชการกำหนดวิธีการปฏิบัติเป็นอย่างอื่น จึงเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่ชอบด้วยระเบียบแบบแผนของทางราชการ
พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 57 มิได้บังคับว่าอธิบดีของจำเลยที่ 1 ต้องอนุญาตให้ผู้ถือประทานบัตรเปลี่ยนแปลงวิธีการทำเหมืองเสมอไป หากแต่ให้อยู่ในดุลพินิจที่จะพิจารณาอนุญาตหรือไม่ก็ได้ ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 สั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแจ้งต่อทรัพยากรธรณีจังหวัด ให้แจ้งต่อโจทก์ว่าการทำเหมืองแร่ให้ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเป็นการปฏิบัติตามมติของคณะรัฐมนตรีที่ให้นโยบายไว้ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติและไม่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 57 หรือเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นการปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ ไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์.
of 93