คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฟ้องซ้ำ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,459 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4473/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำในคดีเช็ค: สิทธิฟ้องระงับหากมีคำพิพากษาแล้ว แม้จะอยู่ในระหว่างอุทธรณ์
ผู้เสียหายเคยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในการกระทำความผิดเดียวกันกับคดีนี้จนศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แม้คดีจะอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ก็ถือได้ว่าความผิดของจำเลยซึ่งได้ฟ้องนั้นได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว สิทธิของพนักงานอัยการโจทก์ที่จะนำคดีอาญามาฟ้องจำเลยคดีนี้ในความผิดเกี่ยวกับเช็คพิพาทรายเดียวกับคดีก่อนจึงระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4174/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: สัญญาประนีประนอมยอมความที่ผูกพันแล้ว ไม่อาจฟ้องบังคับได้อีก
โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างของจำเลยซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินส่วนของโจทก์และสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินส่วนของจำเลยให้อยู่ต่อไปได้อีก 2 ปี หากครบกำหนดฝ่ายใดไม่รื้อถอนให้อีกฝ่ายรื้อถอนออกไปได้ แล้วได้มีการตกลงกันใหม่ในศาลว่าโจทก์จะต้องรื้อสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ก่อนจำเลยจึงจะรื้อสิ่งปลูกสร้างของจำเลยข้อตกลงดังกล่าวแม้จะไม่มีอยู่ในคำฟ้อง แต่ก็มาจากเหตุที่โจทก์ได้ฟ้องขอแบ่งแยกที่ดินเกี่ยวเนื่องกับประเด็นตามคำฟ้อง ถือได้ว่าเป็นประเด็นแห่งคดี เมื่อศาลพิพากษาคดีตามยอม และคดีถึงที่สุดไปแล้ว หากจำเลยไม่ยอมรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไป โจทก์ย่อมจะขอบังคับคดีได้ในคดีเดิม โจทก์จะฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นอีกไม่ได้ เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4174/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: สัญญาประนีประนอมยอมความที่ผูกพันแล้ว ไม่อาจฟ้องบังคับคดีซ้ำได้
โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างของจำเลยซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินส่วนของโจทก์และสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินส่วนของจำเลยให้อยู่ต่อไปได้อีก 2 ปี หากครบกำหนดฝ่ายใดไม่รื้อถอนให้อีกฝ่ายรื้อถอนออกไปได้ แล้วได้มีการตกลงกันใหม่ในศาลว่าโจทก์จะต้องรื้อสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ก่อนจำเลยจึงจะรื้อสิ่งปลูกสร้างของจำเลยข้อตกลงดังกล่าวแม้จะไม่มีอยู่ในคำฟ้อง แต่ก็มาจากเหตุที่โจทก์ได้ฟ้องขอแบ่งแยกที่ดินเกี่ยวเนื่องกับประเด็นตามคำฟ้อง ถือได้ว่าเป็นประเด็นแห่งคดี เมื่อศาลพิพากษาคดีตามยอม และคดีถึงที่สุดไปแล้ว หากจำเลยไม่ยอมรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไป โจทก์ย่อมจะขอบังคับคดีได้ในคดีเดิม โจทก์จะฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นอีกไม่ได้ เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4090/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกเงินมัดจำคืนจากตัวแทนที่ขายหุ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
ในคดีก่อนประเด็นแห่งคดีมีว่า โจทก์ (จำเลยในคดีนี้) มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในการเป็นตัวแทนซื้อขายหุ้นให้แก่จำเลย (โจทก์ในคดีนี้) ได้หรือไม่ แต่สำหรับประเด็นในคดีนี้มีว่าโจทก์มีสิทธิเรียกเงินมัดจำคืนจากจำเลยได้หรือไม่ ดังนั้น แม้จะเป็นคู่ความรายเดียวกัน แต่ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยอาศัยเหตุคนละอย่าง กรณีจึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148
โจทก์ได้จ่ายเงินให้แก่จำเลยไว้เพื่อใช้ซื้อหุ้นให้แก่โจทก์จำเลยได้จัดการซื้อหุ้นให้แก่โจทก์ตามคำสั่งของโจทก์แล้ว แต่ต่อมาปรากฏว่าจำเลยได้นำหุ้นเหล่านั้นออกขายให้แก่บุคคลภายนอกไปโดยโจทก์มิได้สั่ง การที่จำเลยได้ขายหุ้นของโจทก์ให้แก่บุคคลอื่นไปโดยพลการ โดยไม่ได้รับความยินยอมและอนุญาตจากโจทก์นั้น ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำไปโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจที่โจทก์มอบหมายไว้ จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ต้องคืนเงินและทรัพย์สินที่ได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนให้แก่โจทก์ทั้งหมด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4090/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกเงินมัดจำคืนจากตัวแทนที่ขายหุ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
ในคดีก่อนประเด็นแห่งคดีมีว่า โจทก์ (จำเลยในคดีนี้) มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในการเป็นตัวแทนซื้อขายหุ้นให้แก่จำเลย (โจทก์ในคดีนี้) ได้หรือไม่ แต่สำหรับประเด็นในคดีนี้มีว่าโจทก์มีสิทธิเรียกเงินมัดจำคืนจากจำเลยได้หรือไม่ ดังนั้น แม้จะเป็นคู่ความรายเดียวกัน แต่ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยอาศัยเหตุคนละอย่าง กรณีจึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 โจทก์ได้จ่ายเงินให้แก่จำเลยไว้เพื่อใช้ซื้อหุ้นให้แก่โจทก์จำเลยได้จัดการซื้อหุ้นให้แก่โจทก์ตามคำสั่งของโจทก์แล้ว แต่ต่อมาปรากฏว่าจำเลยได้นำหุ้นเหล่านั้นออกขายให้แก่บุคคลภายนอกไปโดยโจทก์มิได้สั่ง การที่จำเลยได้ขายหุ้นของโจทก์ให้แก่บุคคลอื่นไปโดยพลการ โดยไม่ได้รับความยินยอมและอนุญาตจากโจทก์นั้น ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำไปโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจที่โจทก์มอบหมายไว้ จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ต้องคืนเงินและทรัพย์สินที่ได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนให้แก่โจทก์ทั้งหมด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4014/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพัน คดีหลังจึงต้องห้าม
เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์และจำเลยทำกันไว้ในคดีแรกยอมรับกันว่าที่ดินโจทก์ทางด้านทิศเหนือมีแนวเขตติดต่อกับที่ดินของจำเลยทางด้านทิศใต้ เช่นนี้เท่ากับโจทก์ยอมรับแล้วว่าแนวเขตที่ดินของจำเลยถูกต้องมิได้รุกล้ำที่ดินโจทก์ เมื่อคดีแรกได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความถึงที่สุดไปแล้ว การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยอีกโดยกล่าวอ้างว่า โฉนดที่ดินจำเลยด้านทิศใต้ออกทับที่ดินโจทก์ด้านทิศเหนือ ประเด็นในคดีแรกกับประเด็นในคดีหลังจึงเป็นประเด็นที่วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์ในคดีหลังจึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4014/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันคู่กรณี หากประเด็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ศาลต้องยกฟ้อง
เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์และจำเลยทำกันไว้ในคดีแรกยอมรับกันว่าที่ดินโจทก์ทางด้านทิศเหนือมีแนวเขตติดต่อกับที่ดินของจำเลยทางด้านทิศใต้ เช่นนี้เท่ากับโจทก์ยอมรับแล้วว่าแนวเขตที่ดินของจำเลยถูกต้องมิได้รุกล้ำที่ดินโจทก์ เมื่อคดีแรกได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความถึงที่สุดไปแล้ว การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยอีกโดยกล่าวอ้างว่า โฉนดที่ดินจำเลยด้านทิศใต้ออกทับที่ดินโจทก์ด้านทิศเหนือ ประเด็นในคดีแรกกับประเด็นในคดีหลังจึงเป็นประเด็นที่วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์ในคดีหลังจึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแรก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3681-3682/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อนในคดีแรงงาน: คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา และการฟ้องซ้ำในประเด็นเดียวกัน
พนักงานอัยการเคยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นจำเลยในคดีก่อนว่า ได้ร่วมกับจำเลยอื่นยักยอกเงินรายอื่น ซึ่งเป็นเงินรายเดียวกับรายที่โจทก์ฟ้องเรียกจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในคดีนี้ หาใช่เป็นเงินจำนวนที่โจทก์ฟ้องเรียกจากจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ไม่ คดีสำหรับจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ คดีแพ่งอันเกี่ยวเนื่อง กับคดีอาญาที่จะต้องบังคับตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่าจำเลยที่ 1ได้กระทำการทุจริตยักยอกเงินของโจทก์ ศาลแรงงานกลางต้องรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์ว่า โจทก์นำสืบได้สมกับที่มีภาระการพิสูจน์หรือไม่ จากการนำสืบของโจทก์ไม่มีข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานใดที่จะพิสูจน์ได้สมตามประเด็นที่กล่าวอ้าง โจทก์จึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี แสดงว่าจำเลยที่ 1 ประสงค์ให้ศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดีซึ่งมีผลเท่ากับขอให้ศาลฎีการับฟังว่า จำเลยที่ 1มิได้ปฏิบัติผิดต่อข้อบังคับ และมิได้กระทำการทุจริตยักยอกเงินของโจทก์ดังที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาเท่านั้น อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเรื่องโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางอันเป็นข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54
ในคดีอาญาเรื่องก่อนพนักงานอัยการได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลแขวงในความผิดฐานร่วมกันยักยอกและฉ้อโกง กับมีคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่ผู้เสียหายคือโจทก์คดีนี้ซึ่งเป็นคำขอในส่วนแพ่งที่พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องคดีแทนโจทก์คดีนี้ด้วย เมื่อเงินจำนวนดังกล่าวเป็นรายเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้อง และมีคำขอบังคับจำเลยที่ 3 ในคดีนี้โดยโจทก์ยื่นฟ้องในระยะเวลาที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีอาญาข้างต้น ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีส่วนแพ่งในคดีอาญาดังกล่าว ต้องห้ามมิให้โจทก์ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1)ซึ่งอนุโลมมาใช้บังคับตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำต้องห้าม & ละเมิดจากการขัดขวางการขายที่ดิน
คดีเดิม ศาลได้ วินิจฉัยถึงที่สุดแล้วว่า รูปแผนที่แบ่งแยกตามที่ช่างแผนที่สำนักงานที่ดินทำมาถูกต้อง ตรง ตาม ข้อตกลงของโจทก์จำเลยในชั้น บังคับคดีแล้ว ให้จำเลยจัดการแบ่งแยกโฉนด ที่ดินเลขที่๑๔๘๘ ให้แก่โจทก์ไปตาม รูปแผนที่นั้น ซึ่ง ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินก็ได้ จัดการแบ่งแยกออกเป็นโฉนด เลขที่ ๑๗๓๖๔ ให้แก่โจทก์ไปแล้วคดีนี้จำเลยซึ่ง เป็นคู่ความเดียวกับคดีก่อนได้ ยกข้อต่อสู้และฟ้องแย้งว่า รูปแผนที่ในที่ดินโฉนด เลขที่ ๑๗๓๖๔ ไม่ถูกต้องขึ้นมาอีก เป็นเรื่องจำเลยรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดย อาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘
โจทก์ที่ ๑ และที่ ๔ ร้องขอแบ่งแยกที่ดินตาม โฉนด เลขที่ ๑๗๓๖๔เพื่อขายให้แก่ บ. กับพวก จำเลยทราบแล้วยังไปคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกต่อ เจ้าพนักงานที่ดินโดย รู้อยู่แล้วว่าโฉนด ดังกล่าวออกมาโดยชอบ เป็นการจงใจกระทำโดย ผิด กฎหมายให้โจทก์ที่ ๑ และที่ ๔เสียหายแก่สิทธิที่จะขายที่ดิน และได้รับเงินจาก บ. กับพวกผู้ซื้อ จึงเป็นละเมิดต่อ โจทก์ที่ ๑ และที่ ๔ เมื่อการกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ที่ ๑ และที่ ๔ ไม่ได้รับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือจาก บ. กับพวก ซึ่ง ถ้า โจทก์ที่ ๑ และที่ ๔ นำไปฝากธนาคารจะได้ดอกเบี้ย ร้อยละ ๑๒ ต่อปี จำเลยจึงต้อง รับผิดในค่าเสียหายส่วนนี้ด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำต้องห้าม-ละเมิดจากการคัดค้านรังวัดที่ดิน ศาลพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายดอกเบี้ย
คดีเดิมศาลได้วินิจฉัยถึงที่สุดแล้วว่า รูปแผนที่แบ่งแยกตามที่ช่างแผนที่สำนักงานที่ดินจังหวัดทำมาถูกต้องตรงตามข้อตกลงของโจทก์จำเลยในชั้นบังคับคดีแล้ว ให้จำเลยจัดการแบ่งแยกโฉนดที่ดินเลขที่ 1488 ให้แก่โจทก์ไปตามรูปแผนที่แบ่งแยกนั้นซึ่งต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินก็ได้จัดการแบ่งแยกออกเป็นโฉนดเลขที่ 17364 ให้แก่โจทก์ไปแล้ว คดีนี้จำเลยซึ่งเป็นคู่ความเดียวกันกับในคดีก่อนได้ยกข้อต่อสู้และฟ้องแย้งว่ารูปแผนที่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 17364 ไม่ถูกต้องขึ้นมาอีก เป็นเรื่องที่จำเลยรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
โจทก์ร้องขอแบ่งแยกที่ดินตามโฉนดเลขที่ 17364 เพื่อขายให้แก่ บ. กับพวกจำเลยทราบแล้วยังไปคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกต่อเจ้าพนักงานที่ดินโดยรู้อยู่แล้วว่าโฉนดดังกล่าวออกมาโดยชอบ เป็นการจงใจกระทำโดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหายแก่สิทธิที่จะขายที่ดินและได้รับเงินจาก บ. กับพวกผู้ซื้อ จึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ เมื่อการกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ไม่ได้รับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลืออีก 600,000 บาท จาก บ. กับพวก ซึ่งถ้าโจทก์นำไปฝากธนาคารจะได้ดอกเบี้ยร้อยละ 12 ต่อปี จำเลยจึงต้องรับผิดในค่าเสียหายส่วนนี้ด้วย.(ที่มา-ส่งเสริม)
of 146