พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,780 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6796/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกเงินจากบัญชีธนาคาร: พิจารณาจากฝากทรัพย์ ไม่ใช่ละเมิด
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับธนาคารจำเลย เช็คที่โจทก์สั่งให้จำเลยจ่ายเงินจากบัญชีของโจทก์ถูกแก้ไขเดือนและปี ในข้อสำคัญและเห็นได้ชัดเจนจำเลยกระทำโดยประมาท จ่ายเงินจากบัญชีกระแสรายวันของโจทก์โดยไม่ชอบ ขอให้บังคับให้จำเลยชดใช้เงินคืน เป็นคำฟ้องที่มีลักษณะเรียกเงินที่ฝากไว้แก่จำเลยคืน หาใช่เป็นการฟ้องในมูลหนี้ละเมิดไม่ อายุความต้องถือตามบทบัญญัติ เรื่องฝากทรัพย์ เมื่อมิใช่เป็นการฟ้องตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671 ต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164 เดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6796/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกเงินจากบัญชีธนาคาร: พิจารณาจากฝากทรัพย์ ไม่ใช่ละเมิด
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับธนาคารจำเลยเช็คที่โจทก์สั่งให้จำเลยจ่ายเงินจากบัญชีของโจทก์ถูกแก้ไขเดือนและปีในข้อสำคัญและเห็นได้ชัดเจนจำเลยกระทำโดยประมาทจ่ายเงินจากบัญชีกระแสรายวันของโจทก์โดยไม่ชอบขอให้บังคับให้จำเลยชดใช้เงินคืนเป็นคำฟ้องที่มีลักษณะเรียกเงินที่ฝากไว้แก่จำเลยคืนหาใช่เป็นการฟ้องในมูลหนี้ละเมิดไม่อายุความต้องถือตามบทบัญญัติเรื่องฝากทรัพย์เมื่อมิใช่เป็นการฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา671ต้องใช้อายุความ10ปีตามมาตรา164เดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6342/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิยึดหน่วงต้องมีสัญญาขนส่ง หากไม่มีสิทธิยึดหน่วงเกิดขึ้น การยึดทรัพย์จึงไม่เป็นละเมิด
โจทก์เป็นเพียงผู้ให้เช่ารถเพื่อใช้บรรทุกและเก็บสินค้าคือเครื่องจักรพิพาทไว้ในบริเวณการท่าเรือแห่งประเทศไทยจนกว่าเจ้าของสินค้าจะขนย้ายออกไปเท่านั้นไม่ได้มีสัญญาต่อกันว่าโจทก์จะต้องขนสินค้าดังกล่าวไปส่งให้แก่เจ้าของสินค้าณสถานที่แห่งอื่นอย่างไรจึงไม่มีค่าระวางพาหนะและอุปกรณ์ที่โจทก์จะเรียกเอาจากเจ้าของสินค้าได้คงมีเฉพาะค่าเช่าที่เจ้าของสินค้าค้างชำระอยู่สัญญาระหว่างโจทก์กับเจ้าของสินค้าจึงไม่ใช่สัญญารับขนของโจทก์จึงอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา630ยึดหน่วงเครื่องจักรพิพาทที่จำเลยที่6และที่7ประมูลซื้อไว้เพื่อเป็นประกันการชำระค่าเช่าที่เจ้าของสินค้าค้างชำระหาได้ไม่และเมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิยึดหน่วงดังกล่าวการที่จำเลยที่2ร่วมกับจำเลยที่7เข้าทำการตรวจค้นที่ทำการของโจทก์แล้วยึดเอาเครื่องจักรพิพาทจากโจทก์ไปจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระหนี้ในมูลละเมิดอันเป็นการขอให้ชำระหนี้ที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่1ร่วมกับจำเลยที่2ที่5ที่6และที่7ชำระหนี้แก่โจทก์เมื่อจำเลยที่2ที่5ที่6และที่7ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่1ซึ่งไม่ได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา245(1)ประกอบด้วยมาตรา247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6273/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดต่อความสูญเสียความสามารถในการทำงาน แม้เป็นลูกจ้างชั่วคราว
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2เฉียวชนโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกตัดเท้าขวาทิ้ง แม้โจทก์เป็นลูกจ้างชั่วคราวตามระเบียบราชการไม่จำเป็นต้องจ้างจนอายุครบ 60 ปี แต่ค่าเสียหายดังกล่าวเป็นค่าเสียหายที่โจทก์เสียความสามารถในการประกอบการงานในเวลาอนาคตโจทก์จึงมีสิทธิเรียกจากจำเลยทั้งสองได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 444 วรรคหนึ่งแม้จะไม่เป็นการแน่นอนว่าโจทก์สามารถทำงานได้จนอายุ 60 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบัตรไม่สมบูรณ์แต่แจ้งความโดยสุจริต ไม่ถือเป็นการละเมิด - ความผิดทางแพ่ง
เมื่ออธิบดีกรมทะเบียนการค้าออกสิทธิบัตรการประดิษฐ์ม่านเหล็กบังตาชนิดติดกับประตูเหล็กแบบยืดและพับได้ให้แก่จำเลยแล้วต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องรับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ใบม่านบังตาสำหรับเหล็กยืดจำเลยได้ยื่นคำคัดค้านต่ออธิบดีกรมทะเบียนการค้าอธิบดีกรมทะเบียนการค้าวินิจฉัยให้ยกคำคัดค้านของจำเลยจำเลยอุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อคณะกรรมการสิทธิบัตรในระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์ของคณะกรรมการสิทธิบัตรจำเลยได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้ดำเนินคดีกับโจทก์เจ้าพนักงานตำรวจได้ยึดผลิตภัณฑ์ของโจทก์เป็นของกลางเมื่อผลิตภัณฑ์ของโจทก์มีลักษณะส่วนใหญ่หรือใช้กรรมวิธีตามสิทธิบัตรการประดิษฐ์ของจำเลยมีข้อแตกต่างกันเพียงในรายละเอียดปลีกย่อยอาจทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าเป็นผลิตภัณฑ์ของจำเลยจึงมีเหตุที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ทรงสิทธิบัตรการประดิษฐ์ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตรพ.ศ.2522มาตรา36ให้มีสิทธิผลิตผลิตภัณฑ์หรือใช้กรรมวิธีตามสิทธิบัตรหรือขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ผลิตหรือใช้กรรมวิธีผลิตแต่เพียงผู้เดียวการแจ้งความร้องทุกข์ของจำเลยจึงมิใช่เป็นการนำข้อความอันเป็นเท็จซึ่งจำเลยรู้อยู่แล้วไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานแต่เป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตเพื่อคุ้มครองสิทธิของจำเลยจึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ การที่เจ้าพนักงานตำรวจอายัดและยึดทรัพย์สินต่างๆของโจทก์เป็นกรณีที่พนักงานสอบสวนได้ใช้ดุลพินิจอายัดและยึดสิ่งของซึ่งน่าจะเป็นพยานหลักฐานเพื่อเป็นประโยชน์หรือยันผู้ต้องหาในคดีอาญาตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาให้อำนาจแก่พนักงานสอบสวนจึงเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายของพนักงานสอบสวนไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หากเจ้าพนักงานตำรวจผู้ยึดมิได้ดูแลรักษาทรัพย์ของกลางเหมือนเช่นวิญญูชนพึงดูแลรักษาทรัพย์สินของตนเองก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องดำเนินคดีแก่เจ้าพนักงานตำรวจให้รับผิดต่อโจทก์ฐานละเมิดโจทก์จะมาเรียกร้องจากจำเลยไม่ได้แม้ตามบันทึกการตรวจค้นระบุว่าจำเลยยอมรับผิดต่อโจทก์ในการยึดและอายัดสิ่งของทั้งหมด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6198/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดนายจ้างต่อละเมิดลูกจ้าง: ฟ้องแสดงสภาพแห่งข้อหาถูกต้อง แม้ไม่ระบุทางการจ้าง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยประกอบกิจการเดินรถโดยสารประจำทางปรับอากาศ พนักงานประจำรถซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ผู้ใช้บริการรถดังกล่าวของจำเลย เป็นเหตุให้กระเป๋าสัมภาระของโจทก์ตกหายระหว่างทาง ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยในฐานะนายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ในการที่ลูกจ้างกระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วย เป็นฟ้องที่แสดงสภาพแห่งข้อหาว่าลูกจ้างของจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้างของจำเลยถูกต้องสมบูรณ์แล้ว แม้ไม่ได้ระบุข้อความว่าเป็นการกระทำตามทางการที่จ้างของจำเลยไปด้วย ก็ไม่เป็นฟ้องที่ขาดสาระสำคัญซึ่งเป็นประเด็นแห่งคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6158/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางจำเป็น ทางภาระจำยอม การใช้ทางสัญจร และขอบเขตความรับผิดทางละเมิด
คลองแคมีกว้างประมาณ6เมตรแม้จะมีน้ำตลอดปีแต่ก็มีสภาพเน่าเสียร่องน้ำตรงกลางกว้างประมาณ1เมตรริมคลองมีต้นกก บางส่วนของคลองตื้นเขินปัจจุบันไม่ค่อยมีเรือผ่านเนื่องจากมีถนนสาธารณะเลียบริมคลองชาวบ้านใช้รถยนต์ไม่ใช้เรือดังนั้นคลองแคจึงไม่อยู่ในสภาพที่ชาวบ้านใช้สัญจรไปมาตามปกติไม่ใช่ทางสาธารณะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1349เมื่อที่ดินโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จึงต้องออกทางพิพาทไปสู่ถนนสาธารณะประโยชน์ทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็นของที่ดินโจทก์ ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมและทางจำเป็นตามสภาพสามารถใช้รถยนต์แล่นผ่านได้โจทก์จึงนำรถยนต์บรรทุกแล่นผ่านทางพิพาทได้เพราะเป็นการใช้ทางพิพาทสัญจรตามปกติโดยชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นการทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ที่ดินของจำเลย การที่จำเลยใช้ไม้ปิดกั้นมิให้โจทก์นำรถยนต์บรรทุกเข้าไปถมดินในที่ดินของโจทก์นั้นเนื่องจากรถยนต์บรรทุกมีน้ำหนักมากอาจเกิดความเสียหายแก่ที่ดินของจำเลยได้จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยมีอำนาจที่จะป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยมิได้มีเจตนาจะแกล้งให้โจทก์ต้องได้รับความเสียหายและมิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อการกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6141/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรื้อถอนกำแพงรุกล้ำและค่าเสียหายจากละเมิด: ปัญหาความเสียหายที่ไม่สามารถคำนวณเป็นราคาได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อกำแพงคอนกรีตที่สร้างต่อเติมติดกับบ้านโจทก์ออกและทำให้กลับสู่สภาพเดิม และจากการที่จำเลยทุบคานและฝาผนังภายในบ้านจำเลย ทำให้บ้านโจทก์แตกร้าวเสียหาย ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย85,000 บาท แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 30,000 บาทแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยรื้อกำแพงที่สร้างต่อเติมด้านที่ติดกับบ้านโจทก์ออกและทำรั้วบ้านและฝาผนังบ้านกลับสู่สภาพเดิม ผลเท่ากับพิพากษายืนคำพิพากษาศาลชั้นต้นในกรณีที่จำเลยทำละเมิดโจทก์ ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 30,000 บาท ที่จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยมิได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และค่าเสียหายโจทก์ไม่เกิน 10,000 บาท เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ทุนทรัพย์ที่ฎีกาไม่เกินสองแสนบาท-ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248
คดีมีปัญหาว่า กำแพงที่จำเลยสร้างต่อเติมด้านที่ติดกับบ้านโจทก์บังทิศทางลมที่พัดมาจากทะเลสู่ห้องนอนโจทก์หรือไม่ เป็นปัญหาขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
คดีมีปัญหาว่า กำแพงที่จำเลยสร้างต่อเติมด้านที่ติดกับบ้านโจทก์บังทิศทางลมที่พัดมาจากทะเลสู่ห้องนอนโจทก์หรือไม่ เป็นปัญหาขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6141/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรื้อกำแพงต่อเติมที่บังทัศนียภาพและทางลม และการชดใช้ค่าเสียหายจากการกระทำละเมิด
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อกำแพงคอนกรีตที่สร้างต่อเติมติดกับบ้านโจทก์ออกและทำให้กลับสู่สภาพเดิมและจากการที่จำเลยทุบคานและฝาผนังภายในบ้านจำเลยทำให้บ้านโจทก์แตกร้าวเสียหายให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย85,000บาทแก่โจทก์ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย30,000บาทแก่โจทก์คำขออื่นให้ยกโจทก์และจำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยรื้อกำแพงที่สร้างต่อเติมด้านที่ติดกับบ้านพิพากษาออกและทำรั่วบ้านและฝาผนังบ้านกลับสู่สภาพเดิมผลเท่ากับพิพากษายืนคำพิพากษาศาลชั้นต้นในกรณีที่จำเลยทำละเมิดโจทก์ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย30,000บาทที่จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยมิได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และค่าเสียหายโจทก์ไม่เกิน10,000บาทเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงทุนทรัพย์ที่ฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248 คดีมีปัญหาว่ากำแพงที่จำเลยสร้างต่อเติมด้านที่ติดกับบ้านโจทก์บังทิศทางลมที่พัดมาจากทะเลสู่ห้องนอนโจทก์หรือไม่เป็นปัญหาขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6107/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของคนเสมือนไร้ความสามารถและการแก้ไขคำฟ้องให้สมบูรณ์ รวมถึงความรับผิดทางละเมิด
น.ผู้พิทักษ์ของ ด.คนเสมือนไร้ความสามารถไม่ใช่ผู้แทนของ ด.ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทน เมื่อ น.เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยโดยเป็นผู้ลงชื่อแต่งทนายความและทนายความลงชื่อในคำฟ้องอันเป็นการที่ผู้พิทักษ์เป็นโจทก์ฟ้องคดีแทนคนเสมือนไร้ความสามารถโดยไม่ได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนจาก ด. คำฟ้องของโจทก์จึงมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขตาม ป.พ.พ. มาตรา 35 เดิม เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำฟ้องของโจทก์ไว้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็ได้ยื่นคำให้การแล้ว ซึ่งเป็นกรณีล่วงเลยการตรวจวินิจฉัยคำฟ้อง จึงนำ ป.วิ.พ. มาตรา 18 มาใช้บังคับไม่ได้เมื่อคดีไม่มีการชี้สองสถานโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องก่อนวันสืบพยานเป็นว่าด.ได้มอบให้ น.ฟ้องและดำเนินคดีแทนและได้รับความยินยอมจาก น.แล้ว และศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้อง จึงมีผลทำให้ฟ้องที่ไม่สมบูรณ์กลับเป็นฟ้องที่สมบูรณ์มาแต่เริ่มแรก โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ซึ่งเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถมอบอำนาจให้ น.ผู้พิทักษ์เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสาม จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ซึ่งนำเข้าร่วมกิจการขนส่งกับจำเลยที่ 3 โดยมีเครื่องหมายของจำเลยที่ 3 ติดอยู่ข้างตัวรถยนต์บรรทุกแล่นในซอยซึ่งเป็นถนนสายโทเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ขับอยู่ในถนนสายกลางซึ่งเป็นถนนสายเอกล้มลงโดยประมาทไม่ดูรถที่แล่นอยู่ในถนนสายกลาง เหตุเกิดทื่สี่แยกถนนสายกลางตัดกับถนนซอยในบริเวณการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส คำฟ้องของโจทก์จึงแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
จำเลยที่ 3 ได้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 2 เจ้าของหัวรถยนต์บรรทุกซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ลากตัวรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ของจำเลยที่ 3หรือนำเข้าร่วมในกิจการขนส่งสินค้าด้วยกัน จำเลยที่ 3 จึงมีฐานะเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ด้วย ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในเหตุละเมิดที่เกิดขึ้น
โจทก์ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้ นับแต่วันที่โจทก์ถูกออกจากงานจนถึงวันเกษียณอายุ เป็นการที่โจทก์เรียกค่าเสียหายเพื่อการที่โจทก์เสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงทั้งในเวลาปัจจุบันและในอนาคตตาม ป.พ.พ. มาตรา 444 วรรคหนึ่ง นั่นเองแต่โจทก์ถึงแก่กรรมในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวนับแต่โจทก์ถูกออกจากงานจนถึงวันที่โจทก์ถึงแก่กรรมเท่านั้น
เมื่อหนี้ตามคำฟ้องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้แม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจชี้ขาดให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1) ประกอบมาตรา 247
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ซึ่งเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถมอบอำนาจให้ น.ผู้พิทักษ์เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสาม จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ซึ่งนำเข้าร่วมกิจการขนส่งกับจำเลยที่ 3 โดยมีเครื่องหมายของจำเลยที่ 3 ติดอยู่ข้างตัวรถยนต์บรรทุกแล่นในซอยซึ่งเป็นถนนสายโทเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ขับอยู่ในถนนสายกลางซึ่งเป็นถนนสายเอกล้มลงโดยประมาทไม่ดูรถที่แล่นอยู่ในถนนสายกลาง เหตุเกิดทื่สี่แยกถนนสายกลางตัดกับถนนซอยในบริเวณการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส คำฟ้องของโจทก์จึงแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
จำเลยที่ 3 ได้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 2 เจ้าของหัวรถยนต์บรรทุกซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ลากตัวรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ของจำเลยที่ 3หรือนำเข้าร่วมในกิจการขนส่งสินค้าด้วยกัน จำเลยที่ 3 จึงมีฐานะเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ด้วย ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในเหตุละเมิดที่เกิดขึ้น
โจทก์ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้ นับแต่วันที่โจทก์ถูกออกจากงานจนถึงวันเกษียณอายุ เป็นการที่โจทก์เรียกค่าเสียหายเพื่อการที่โจทก์เสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงทั้งในเวลาปัจจุบันและในอนาคตตาม ป.พ.พ. มาตรา 444 วรรคหนึ่ง นั่นเองแต่โจทก์ถึงแก่กรรมในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวนับแต่โจทก์ถูกออกจากงานจนถึงวันที่โจทก์ถึงแก่กรรมเท่านั้น
เมื่อหนี้ตามคำฟ้องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้แม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจชี้ขาดให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1) ประกอบมาตรา 247