พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,226 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2473/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้าง แม้จะว่าจ้างผ่านบริษัทอื่น
รถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุมี ส. เป็นผู้ขับ จำเลยที่ 3เช่าซื้อมามีจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1เป็นผู้ค้ำประกัน มีการพ่นชื่อจำเลยที่ 1 เช่นเดียวกับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 คนทั่วไปที่ได้พบเห็นรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุจะต้องเข้าใจว่าเป็นรถของจำเลยที่ 1 หลังเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ได้ต่อรองเรื่องค่าเสียหาย พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับประโยชน์ร่วมกันกับจำเลยที่ 3 เมื่อ ส. นำรถยนต์คันเกิดเหตุของจำเลยที่ 3 ไปใช้ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 โดยประมาทเลินเล่อ กรณีถือได้ว่า ส. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ด้วยจำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2473/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดร่วมกันของนายจ้างและผู้ค้ำประกันเช่าซื้อ กรณีลูกจ้างประมาทเลินเล่อ
รถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุมี ส. เป็นผู้ขับจำเลยที่3เช่าซื้อมามีจำเลยที่2ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่1เป็นผู้ค้ำประกันมีการพ่นชื่อจำเลยที่1เช่นเดียวกับรถยนต์ของจำเลยที่1คนทั่วไปที่ได้พบเห็นรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุจะต้องเข้าใจว่าเป็นรถของจำเลยที่1หลังเกิดเหตุจำเลยที่2ได้ต่อรองเรื่องค่าเสียหายพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยที่1ได้รับประโยชน์ร่วมกันกับจำเลยที่3เมื่อ ส. นำรถยนต์คันเกิดเหตุของจำเลยที่3ไปใช้ในทางการที่จ้างของจำเลยที่3โดยประมาทเลินเล่อกรณีถือได้ว่า ส. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่1ด้วยจำเลยที่1ซึ่งมีจำเลยที่2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2473/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดของนายจ้างต่อลูกจ้างเมื่อใช้รถยนต์ที่เช่าซื้อก่อเหตุ โดยมีผลประโยชน์ร่วมกัน
รถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุมี ส. เป็นผู้ขับจำเลยที่3เช่าซื้อมามีจำเลยที่2ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่1เป็นผู้ค้ำประกันมีการพ่นชื่อจำเลยที่1เช่นเดียวกับรถยนต์ของจำเลยที่1คนทั่วไปที่ได้พบเห็นรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุจะต้องเข้าใจว่าเป็นรถของจำเลยที่1หลังเกิดเหตุจำเลยที่2ได้ต่อรองเรื่องค่าเสียหายพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยที่1ได้รับประโยชน์ร่วมกันกับจำเลยที่3เมื่อ ส. นำรถยนต์คันเกิดเหตุของจำเลยที่3ไปใช้ในทางการที่จ้างของจำเลยที่3โดยประมาทเลินเล่อกรณีถือได้ว่า ส. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่1ด้วยจำเลยที่1ซึ่งมีจำเลยที่2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2370-2374/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างฐานฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับร้ายแรง กรณีแก้ไขเอกสารสำคัญเพื่อทุจริต
โจทก์ทั้งห้าเป็น ลูกจ้างจำเลยกระทำการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับที่นายจ้างกำหนดให้ลูกจ้างปฏิบัติเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการปฏิบัติงานและเพื่อป้องกันมิให้ลูกจ้างกระทำการอันก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของนายจ้างและตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ระบุว่าหากลูกจ้างกระทำผิดอย่างร้ายแรงเช่น(1)การกระทำโดยจงใจให้นายจ้างได้รับความเสียหาย(5)ปลอมแปลงแก้ไขเอกสารหรือหลักฐานหรือให้หลักฐานแก่นายจ้างเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นฯลฯโดยโจทก์ที่1ถึงที่4ได้ลงลายมือชื่อกำกับการแก้ไขตัวเลขในใบเช็คคืนน้ำเต็ม-ขวดเปล่าที่พนักงานตรวจสอบรายการสินค้าได้แก้ไขให้ผิดไปจากความเป็นจริงส่วนโจทก์ที่5ได้แก้ไขตัวเลขและลงลายมือชื่อกำกับการแก้ไขด้วยตนเองในเช็คคืนน้ำเต็ม-ขวดเปล่าเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้ในการควบคุมสินค้าเข้าออกทั้งหมดการกระทำของโจทก์ทั้งห้าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอันมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องผลประโยชน์หรือทรัพย์สินของจำเลยและป้องกันการทุจริตถือได้ว่าเป็นกรณี ร้ายแรงต้องด้วย ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ47(4)จำเลยมีสิทธิ เลิกจ้างโจทก์ทั้งห้าได้โดย ไม่ต้อง บอกกล่าวล่วงหน้า ไม่ต้องรับผิดชำระ ค่าชดเชยเงินสะสมสมทบพร้อมสิทธิประโยชน์ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และ ค่าเสียหายตามฟ้องแก่โจทก์ทั้งห้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2370-2374/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างฐานฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการแก้ไขเอกสารสำคัญของนายจ้าง
ใบตรวจสอบคืนน้ำเค็ม-ขวดเปล่าเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้ในการควบคุมสินค้าเข้าออกทั้งหมดของนายจ้างหากมีการแก้ไขตัวเลขในเอกสารดังกล่าวให้ผิดไปจากความจริงจะทำให้ไม่สามารถตรวจสอบจำนวนสินค้าได้และการแก้ไขดังกล่าวจะทำมีการทุจริตได้การที่ลูกจ้างได้ลงลายมือชื่อกำกับการแก้ไขตัวเลขซึ่งพนักงานอีกคนหนึ่งเป็นผู้แก้ไขซึ่งนายจ้างมีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานห้ามไว้เพื่อปกป้องผลประโยชน์หรือทรัพย์สินของนายจ้างและป้องกันการทุจริตการกระทำของลูกจ้างดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างเป็นกรณีที่ร้ายแรงกรณีต้องด้วยประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ47(4)ซึ่งนายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา583
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2263/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเนื่องจากคำสั่งให้หยุดงานชั่วคราว นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย
โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยทำหน้าที่ขับรถยนต์ โจทก์ถูกเจ้าพนักงาน-ตำรวจยึดใบอนุญาตขับขี่รถยนต์เพราะปฏิบัติผิดกฎจราจร ต่อมาหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยกล่าวแก่โจทก์ว่า หากไม่มีใบอนุญาตขับขี่ก็ไม่ต้องมาทำงาน โจทก์จึงหยุดงานไปตั้งแต่วันที่ 5 ถึง 16 เดือนนั้น โดยไม่มีการยื่นใบลา เช่นนี้ การที่โจทก์ทำหน้าที่ขับรถยนต์เมื่อ ส.ซึ่งเป็นนายจ้างกล่าวว่าหากไม่มีใบอนุญาตขับขี่ก็ไม่ต้องมาทำงานนั้นย่อมทำให้โจทก์เข้าใจว่านายจ้างสั่งให้โจทก์หยุดการทำงานไว้ก่อนจนกว่าจะได้ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์กลับคืนมา เพราะไม่ปรากฏว่าจำเลยมีระเบียบข้อบังคับว่าผู้มีหน้าที่ขับรถยนต์จะต้องมาปฏิบัติหน้าที่อื่นในกรณีเช่นนี้ด้วย การที่โจทก์ไม่ได้มาทำงานในระหว่างวันดังกล่าว จึงมิใช่เป็นการละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควร การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างโดยมิได้มีความผิด ต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตาม ป.พ.พ.มาตรา 582 ให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2263/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเมื่อลูกจ้างหยุดงานตามคำสั่งนายจ้าง และมีสิทธิได้รับค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยทำหน้าที่ขับรถยนต์โจทก์ถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดใบอนุญาตขับขี่รถยนต์เพราะปฏิบัติผิดกฎจราจรต่อมาหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยกล่าวแก่โจทก์ว่าหากไม่มีใบอนุญาตขับขี่ก็ไม่ต้องมาทำงานโจทก์จึงหยุดงานไปตั้งแต่วันที่5ถึง16เดือนนั้นโดยไม่มีการยื่นใบลาเช่นนี้การที่โจทก์ทำหน้าที่ขับรถยนต์เมื่อส.ซึ่งเป็นนายจ้างกล่าวว่าหากไม่มีใบอนุญาตขับขี่ก็ไม่ต้องมาทำงานนั้นย่อมทำให้โจทก์เข้าใจว่านายจ้างสั่งให้โจทก์หยุดงานการทำงานไว้ก่อนจนกว่าจะได้ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์กลับคืนมาเพราะไม่ปรากฏว่าจำเลยมีระเบียบข้อบังคับว่าผู้มีหน้าที่ขับรถยนต์จะต้องมาปฏิบัติหน้าที่อื่นในกรณีเช่นนี้ด้วยการที่โจทก์ไม่ได้มาทำงานในระหว่างวันดังกล่าวจึงมิใช่เป็นการละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควรการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างโดยมิได้มีความผิดต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา582ให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2214-2218/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เวลาพักระหว่างทำงาน: การยินยอมให้ลูกจ้างกลับบ้านก่อนเวลาเลิกงานถือเป็นเวลาพักได้
ข้อตกลงระหว่างจำเลยกับลูกจ้างตามเอกสารหมายล.1ตกลงให้เลิกงานเวลา17.50นาฬิกาฉะนั้นเวลา17.30-17.50นาฬิกาจึงเป็นเวลาทำงานอยู่จำเลยให้ลูกจ้างไม่ต้องมาทำงานในเวลาดังกล่าวและยินยอมให้กลับบ้านไปก่อนตั้งแต่เวลา17.30นาฬิกาถือได้ว่าช่วงเวลา17.30-17.50นาฬิกาจำนวน20นาทีเป็นเวลาที่จำเลยจัดให้พักแล้วเมื่อรวมกับเวลาพักตั้งแต่เวลา12.00-12.40นาฬิกาอีก40นาทีเป็นหนึ่งชั่วโมงจึงชอบด้วยประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ2และข้อ6ซึ่งกำหนดให้นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักในระหว่างการทำงานไม่น้อยกว่าวันละ1ชั่วโมงแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2214-2218/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เวลาพักของลูกจ้าง: การนับชั่วโมงพักงานที่นายจ้างอนุญาตให้กลับบ้านก่อนเวลาเลิกงาน
นายจ้างกำหนดเวลาทำงานปกติ7.15-17.50นาฬิกาโดยกำหนดเวลาพัก12.00-12.40นาฬิกาและ17.30-17.50นาฬิกาเมื่อลูกจ้างเลิกงานเวลา17.50นาฬิกาเวลาระหว่าง17.30-17.50นาฬิกาจึงยังเป็นเวลาทำงานอยู่นายจ้างให้ลูกจ้างไม่ต้องทำงานในช่วงเวลาดังกล่าวโดยยินยอมให้กลับบ้านได้ก่อนเวลาเลิกงานช่วงเวลา17.30-17.50นาฬิการวม20นาทีถือได้ว่าเป็นเวลาที่นายจ้างจัดให้พักแล้วเมื่อรวมกับเวลาพักระหว่าง12.00-12.40นาฬิกาอีก40นาทีจึงครบ1ชั่วโมงชอบด้วยประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ2,6
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2029/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างฐานกระทำอนาจารและสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงนายจ้าง
ลูกจ้างเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงแรมซึ่งเป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยความเชื่อถือไว้วางใจจากคนเดินทางหรือแขกผู้มาพักหรือใช้บริการว่าเป็นที่ซึ่งให้ความปลอดภัย สะดวกสบาย และสงบ การที่ลูกจ้างเรียกพนักงานทำความสะอาดที่บริษัทอื่นส่งมาทำความสะอาดโรงแรมของนายจ้างให้ขึ้นไปพบ เอามือโอบไหล่ กับพูดขอหอมแก้ม เป็นความผิดฐานกระทำอนาจาร เมื่อพนักงานทำความสะอาดดังกล่าวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผู้อื่นฟัง ก็เห็นได้ว่านายจ้างได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงแล้วเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างในกรณีที่ร้ายแรง นายจ้างเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย