พบผลลัพธ์ทั้งหมด 971 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1000/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิโจทก์ร่วม, การอุทธรณ์/ฎีกา, การสืบพยานเพิ่มเติม, ความผิดฐานฉุดคร่าและทำร้ายร่างกาย
แม้พนักงานอัยการโจทก์มิได้อุทธรณ์ แต่โจทก์ร่วมได้อุทธรณ์และฎีกาต่อมา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(14) อธิบายคำว่า "โจทก์" ไว้ว่า หมายความถึงพนักงานอัยการหรือผู้เสียหายซึ่งฟ้องคดีอาญาต่อศาล หรือทั้งคู่ในเมื่อพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกัน ดังนั้น โจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการต่างจึงมีฐานะเป็นโจทก์ด้วยกัน เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งงดไม่สืบต่อไปให้เสร็จ พนักงานอัยการโจทก์จึงมีสิทธินำสืบต่อไปได้ ศาลอุทธรณ์จึงฟังพยานที่นำสืบต่อไปนั้นวินิจฉัยคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1000/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิโจทก์ร่วม & การสืบพยาน: แม้พนักงานอัยการไม่อุทธรณ์ โจทก์ร่วมยังมีสิทธิอุทธรณ์และฎีกาได้ ศาลอุทธรณ์สั่งสืบพยานเพิ่มเติมได้
แม้พนักงานอัยการโจทก์มิได้อุทธรณ์. แต่โจทก์ร่วมได้อุทธรณ์และฎีกาต่อมา. ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(14) อธิบายคำว่า 'โจทก์' ไว้ว่า. หมายความถึงพนักงานอัยการหรือผู้เสียหายซึ่งฟ้องคดีอาญาต่อศาล หรือทั้งคู่ในเมื่อพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกัน. ดังนั้น โจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการต่างจึงมีฐานะเป็นโจทก์ด้วยกัน. เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งงดไม่สืบต่อไปให้เสร็จ. พนักงานอัยการโจทก์จึงมีสิทธินำสืบต่อไปได้. ศาลอุทธรณ์จึงฟังพยานที่นำสืบต่อไปนั้นวินิจฉัยคดีได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงที่รับกันต่อหน้าศาลมีผลผูกพัน ไม่ต้องสืบพยานเพิ่มเติม หากข้อเท็จจริงเพียงพอชี้ขาดคดี
ข้อเท็จจริงใดซึ่งคู่ความรับกันและศาลจดไว้แล้ว คู่ความไม่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้นอีก
เมื่อข้อเท็จจริงที่รับกันเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจงดสืบพยาน และพิพากษาคดีไปโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานอื่นใดอีก
คู่ความท้ากันสืบพยานเพียงประเด็นข้อเดียว ส่วนประเด็นข้ออื่นไม่ติดใจว่ากล่าวย่อมถือว่าสละข้อต่อสู้อื่น และไม่มีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยนอกเหนือไปจากที่ท้ากัน
เมื่อข้อเท็จจริงที่รับกันเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจงดสืบพยาน และพิพากษาคดีไปโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานอื่นใดอีก
คู่ความท้ากันสืบพยานเพียงประเด็นข้อเดียว ส่วนประเด็นข้ออื่นไม่ติดใจว่ากล่าวย่อมถือว่าสละข้อต่อสู้อื่น และไม่มีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยนอกเหนือไปจากที่ท้ากัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงที่รับกันต่อหน้าศาลมีผลผูกพัน ไม่ต้องพิสูจน์ซ้ำ ศาลงดสืบพยานได้หากรับกันเพียงพอ
ข้อเท็จจริงใดซึ่งคู่ความรับกันและศาลจดไว้แล้ว คู่ความไม่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้นอีก
เมื่อข้อเท็จจริงที่รับกันเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจงดสืบพยาน และพิพากษาคดีไปโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานอื่นใดอีก
คู่ความท้ากันสืบพยานเพียงประเด็นข้อเดียว ส่วนประเด็นข้ออื่นไม่ติดใจว่ากล่าวย่อมถือว่าสละข้อต่อสู้อื่น และไม่มีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยนอกเหนือไปจากที่ท้ากัน
เมื่อข้อเท็จจริงที่รับกันเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจงดสืบพยาน และพิพากษาคดีไปโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานอื่นใดอีก
คู่ความท้ากันสืบพยานเพียงประเด็นข้อเดียว ส่วนประเด็นข้ออื่นไม่ติดใจว่ากล่าวย่อมถือว่าสละข้อต่อสู้อื่น และไม่มีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยนอกเหนือไปจากที่ท้ากัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงรับกันต่อหน้าศาลมีผลผูกพัน ไม่ต้องสืบพยานเพิ่มเติม หากข้อเท็จจริงเพียงพอแก่การวินิจฉัย
ข้อเท็จจริงใดซึ่งคู่ความรับกันและศาลจดไว้แล้ว. คู่ความไม่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้นอีก.
เมื่อข้อเท็จจริงที่รับกันเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว. ศาลย่อมมีอำนาจงดสืบพยาน และพิพากษาคดีไปโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานอื่นใดอีก.
คู่ความท้ากันสืบพยานเพียงประเด็นข้อเดียว ส่วนประเด็นข้ออื่นไม่ติดใจว่ากล่าวย่อมถือว่าสละข้อต่อสู้อื่น. และไม่มีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยนอกเหนือไปจากที่ท้ากัน.
เมื่อข้อเท็จจริงที่รับกันเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว. ศาลย่อมมีอำนาจงดสืบพยาน และพิพากษาคดีไปโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานอื่นใดอีก.
คู่ความท้ากันสืบพยานเพียงประเด็นข้อเดียว ส่วนประเด็นข้ออื่นไม่ติดใจว่ากล่าวย่อมถือว่าสละข้อต่อสู้อื่น. และไม่มีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยนอกเหนือไปจากที่ท้ากัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 801/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มเติมฟ้องคดีอาญาภายหลังสืบพยาน: ข้อจำกัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120
โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บตามมาตรา295 ในชั้นพิจารณาปรากฏว่าบาดแผลผู้เสียหายถึงอันตรายสาหัสจึงขอเพิ่มเติมฟ้องในข้อหาทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัสตามมาตรา297 เช่นนี้ หาใช่เป็นแต่การแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องโดยแก้หรือเพิ่มเติมฐานความผิด คือ บทมาตราในกฎหมายที่บัญญัติความผิดหรือรายละเอียดซึ่งต้องกล่าวไว้ในฟ้องเท่านั้นไม่จึงมิต้องด้วยบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 164 แต่อย่างไรก็ดี เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอาการสาหัสของบาดแผลนี้เพิ่งมาปรากฏในชั้นพิจารณาของศาลมิได้ปรากฏมาแต่ในชั้นสอบสวน โจทก์จึงฟ้องคดีในความผิดที่ยังไม่มีการสอบสวนไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 (อ้างฎีกาที่750/2494)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 743/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาถึงที่สุดหลังขาดนัดสืบพยาน โจทก์ขอพิจารณาคดีใหม่ไม่ได้
เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ และว่าโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ความผิดของจำเลยตามฟ้องได้จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์โจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงเป็นอันยุติ ต่อมาเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว โจทก์กลับยื่นคำร้องขอให้มีการพิจารณาคดีใหม่ ศาลจะยกขึ้นพิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 166 วรรคสอง ไม่ได้เพราะมิใช่เป็นเรื่องศาลชั้นต้นยกฟ้องเพราะเหตุโจทก์ขาดนัด(อ้างฎีกาที่ 872/2492)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 639/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพและการปรากฏข้อเท็จจริงใหม่ ศาลยึดตามข้อเท็จจริงใหม่ได้หากโจทก์ไม่ติดใจสืบพยาน
แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพว่าจำเลยได้พรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร. แต่เมื่อผู้เยาว์ได้ยื่นคำร้องขึ้นมาว่าเหตุเกิดเนื่องจากถูกบิดาเลี้ยงดุด่าและตีไล่ให้ออกจากบ้าน. จึงไปอาศัยจำเลยซึ่งเป็นคนรู้จักชอบพอกันมาก่อน. จำเลยทั้งสองก็ได้ให้ความอุปการะตลอดมาเช่นนี้ ย่อมทำให้เกิดข้อเท็จจริงขึ้นใหม่. เมื่อโจทก์จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน.ศาลย่อมฟังตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นใหม่นี้ได้.
เมื่อโจทก์ฟ้องแล้ว และจำเลยให้การรับสารภาพ. ศาลย่อมทำคำพิพากษาได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 20. และขณะที่คดีอยู่ในอำนาจของศาลแล้วได้ปรากฏข้อเท็จจริงขึ้นใหม่. โจทก์เองก็มิได้ขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นอย่างอื่น. กลับแถลงไม่ติดใจสืบพยาน. เพื่อหักล้างข้อเท็จจริงนั้น ศาลย่อมทำคำพิพากษาตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่นั้นได้. โจทก์จะกลับมาขอให้ศาลสั่งให้โจทก์รับตัวผู้ต้องหาคืนเพื่อดำเนินการต่อไปไม่ได้.
เมื่อโจทก์ฟ้องแล้ว และจำเลยให้การรับสารภาพ. ศาลย่อมทำคำพิพากษาได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 20. และขณะที่คดีอยู่ในอำนาจของศาลแล้วได้ปรากฏข้อเท็จจริงขึ้นใหม่. โจทก์เองก็มิได้ขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นอย่างอื่น. กลับแถลงไม่ติดใจสืบพยาน. เพื่อหักล้างข้อเท็จจริงนั้น ศาลย่อมทำคำพิพากษาตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่นั้นได้. โจทก์จะกลับมาขอให้ศาลสั่งให้โจทก์รับตัวผู้ต้องหาคืนเพื่อดำเนินการต่อไปไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 380/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นการรับจำนองและการสืบพยานแก้ข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยประเด็นที่ไม่ได้ยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์
ที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกเป็นประเด็นเบื้องต้นขึ้นวินิจฉัยว่าเมื่อเอกสารที่โจทก์นำมาแสดงปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับจำนอง โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลมาสืบแก้ไขเอกสารว่าจำเลยที่ 1 คือผู้รับจำนอง ส่วนจำเลยที่2 เป็นแต่เพียงตัวแทนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าประเด็นข้อกฎหมายนี้ จำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้และมิได้ยกขึ้นอ้างอิงในฟ้องอุทธรณ์ และมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 357/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประวิงคดีด้วยการขอเลื่อนนัดสืบพยานซ้ำๆ ถือเป็นการจงใจทำให้คดีล่าช้า ศาลชอบที่จะไม่อนุญาตให้เลื่อน
จำเลยพยายามที่จะให้คดีดำเนินไปอย่างล่าช้า กล่าวคือในเบื้องต้นจำเลยทำเป็นฟ้องแย้งแล้วปล่อยระยะเวลาให้ล่วงเลยไปโดยไม่นำเจ้าพนักงานไปส่งหมายเรียกและฟ้องแย้งให้โจทก์ ศาลจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีฟ้องแย้งวันชี้สองสถานฝ่ายจำเลยไม่มาศาลวันสืบพยานจำเลยครั้งแรก ทนายจำเลยแถลงว่าปวดฟันขอเลื่อน ศาลอนุญาตและได้กำชับว่าหากมีกรณีขอเลื่อนไปอีกศาลจะไม่อนุญาตถ้าไม่มีเหตุผลที่หนักแน่นสมควร นัดที่ 2 โจทก์ขอเลื่อน นัดที่ 3 จำเลยขอเลื่อนโดยอ้างเหตุป่วยปวดฟัน ศาลอนุญาตให้เลื่อน และสั่งว่าจะอนุญาตให้จำเลยขอเลื่อนไปครั้งนี้ครั้งเดียว ในนัดหน้าจะไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนไปอีกไม่ว่ากรณีใด นัดที่ 4 ทนายจำเลยขอเลื่อนอีก อ้างเหตุปวดฟันโจทก์คัดค้าน ศาลจึงไม่อนุญาตให้เลื่อนตามพฤติการณ์ที่ฝ่ายจำเลยดำเนินคดีตลอดมาดังกล่าวนี้ เป็นการประวิงคดี ศาลจึงไม่อนุญาตให้เลื่อน