คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คดีอาญา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,111 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2144/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องร้องคดีอาญา: การส่งตัวผู้ต้องหาต่อศาลเป็นสำคัญ
จำเลยต้องหาว่ากระทำความผิดข้อหาฐานใช้เอกสารปลอมเมื่อวันที่3ธันวาคม2527ต่อมาวันที่28พฤศจิกายน2537เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้แล้วส่งมอบจำเลยแก่พนักงานสอบสวนในวันเดียวกันนี้พนักงานสอบสวนอนุญาตให้จำเลยประกันตัวไปวันที่30พฤศจิกายน2537พนักงานอัยการขอผัดฟ้องโดยไม่ได้นำตัวจำเลยส่งศาลแม้ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้ผัดฟ้องได้ก็ตามก็ยังถือไม่ได้ว่าได้ตัวจำเลยมาอยู่ในอำนาจศาลแล้วเพราะไม่มีการส่งมอบตัวจำเลยต่อศาลดังนั้นแม้โจทก์ทั้งสี่จะยื่นฟ้องจำเลยในวันที่2ธันวาคม2537แต่โจทก์ทั้งสี่ก็ยังไม่ได้ตัวจำเลยมาศาลจนกระทั่งวันที่7มีนาคม2538ซึ่งเป็นวันนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ทั้งสี่ก็ไม่ได้นำตัวจำเลยมาศาลเมื่อนับระยะเวลาตั้งแต่วันที่จำเลยกระทำความผิดคือวันที่3ธันวาคม2527วันสุดท้ายของอายุความ10ปีคือวันที่3ธันวาคม2537โจทก์ทั้งสี่ก็มิได้ตัวจำเลยมาส่งมอบแก่ศาลคดีโจทก์ทั้งสี่ในข้อหาความผิดฐานใช้เอกสารปลอมจึงขาดอายุความฟ้องร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2114/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิถอนฟ้องคดีอาญา – ศาลอนุญาตได้ก่อนคดีถึงที่สุดหากจำเลยไม่คัดค้าน ทำให้สิทธิฟ้องระงับ
คดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว โจทก์จะถอนฟ้องในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ เมื่อจำเลยไม่คัดค้าน ศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ และสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) ศาลฎีกาจึงให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกา และเมื่อศาลฎีกามีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกาแล้ว ย่อมไม่จำต้องสั่งคำร้องขอถอนฎีกาของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2114/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนฟ้องคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว ศาลอนุญาตได้ก่อนคดีถึงที่สุดเมื่อจำเลยไม่คัดค้าน
คดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว โจทก์จะถอนฟ้องในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ เมื่อจำเลยไม่คัดค้าน ศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ และสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา39(2) ศาลฎีกาจึงให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกา และเมื่อศาลฎีกามีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกาแล้ว ย่อมไม่จำต้องสั่งคำร้องขอถอนฎีกาของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2114/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนฟ้องคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวก่อนคดีถึงที่สุด ศาลอนุญาตได้เมื่อจำเลยไม่คัดค้าน สิทธิฟ้องระงับ
คดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวโจทก์จะถอนฟ้องในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้เมื่อจำเลยไม่คัดค้านศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้และสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(2)ศาลฎีกาจึงให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกาและเมื่อศาลฎีกามีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกาแล้วย่อมไม่จำต้องสั่งคำร้องขอถอนฎีกาของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2114/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนฟ้องคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวก่อนคดีถึงที่สุด และผลกระทบต่อการพิจารณาคดี
คดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวโจทก์จะถอนฟ้องในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้เมื่อจำเลยไม่คัดค้านศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้และสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(2)ศาลฎีกาจึงให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกาและเมื่อศาลฎีกามีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความของศาลฎีกาแล้วย่อมไม่จำต้องสั่งคำร้องขอถอนฎีกาของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1974/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจสอบสวนคดีอาญาต่อเนื่องและต่างท้องที่: ผู้รับผิดชอบในการสอบสวน
ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวงเป็นความผิดต่อเนื่องและกระทำต่อเนื่องกันในท้องที่ต่าง ๆ เกินกว่าท้องที่หนึ่งขึ้นไปและความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารตามที่โจทก์นำสืบ กับความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นและข่มขืนกระทำชำเราเป็นความผิดซึ่งมีหลายกรรม กระทำลงในท้องที่ต่าง ๆ กัน รวมทั้งในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขัน กรุงเทพมหานครและสถานีตำรวจภูธรอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งพนักงานสอบสวนในท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่เกี่ยวข้องมีอำนาจสอบสวนได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 19 วรรคหนึ่ง(3) (4) และวรรคสอง ฉะนั้น พันตำรวจโท ว. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขันในขณะเกิดเหตุ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่เกี่ยวข้องจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ แต่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองถูกจับที่อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในการสอบสวนกรณีจับผู้ต้องหาได้แล้วเช่นนี้จึงเป็นที่แน่ชัดว่าคือพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอท่ามะกา ซึ่งเป็นท้องที่ที่จับได้อยู่ในเขตอำนาจตาม ป.วิ.อ. มาตรา 19 วรรคสาม (ก) การที่พันตำรวจโท ว.ได้ทำการสอบสวนคดีนี้หลังจากจับจำเลยทั้งสองได้แล้ว พันตำรวจโท ว.คงเป็นพนักงานสอบสวนผู้มีอำนาจสอบสวนเท่านั้น แต่พันตำรวจโท ว.มิได้เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ทั้งมิใช่กรณีที่จับผู้ต้องหายังไม่ได้อันจะถือว่าพนักงานสอบสวนซึ่งท้องที่ที่พบการกระทำผิดก่อนอยู่ในเขตอำนาจเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา19 วรรคสาม (ข) ได้ เมื่อพันตำรวจโท ว.มิใช่พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบซึ่งมีอำนาจสรุปสำนวนและทำความเห็นว่าควรสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องส่งไปพร้อมกับสำนวนเพื่อให้พนักงานอัยการพิจารณาตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 140 และ 141แม้จะดำเนินการสอบสวนต่อไปจนเสร็จ ก็ถือไม่ได้ว่าได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อนโดยชอบ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 120 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1974/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจสอบสวนคดีอาญาต่อเนื่องและต่างท้องที่: การกำหนดพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวงเป็นความผิดต่อเนื่องและกระทำต่อเนื่องกันในท้องที่ต่างๆเกินกว่าท้องที่หนึ่งขึ้นไปและความผิดดังกล่าวกับความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นและข่มขืนกระทำชำเราเป็นความผิดหลายกรรมกระทำลงในท้องที่ต่างๆกันรวมทั้งท้องที่สถานีตำรวจนครบาล บางยี่ขันและสถานีตำรวจภูธรอำเภอ ท่ามะกา พนักงานสอบสวนท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่เกี่ยวข้องมีอำนาจสอบสวนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา19วรรคหนึ่ง(3),(4)และวรรคสองพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาล บางยี่ขันซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนท้องที่ที่เกี่ยวข้องจึงมีอำนาจสอบสวนแต่จำเลยทั้งสองถูกจับที่อำเภอ ท่ามะกา พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในกรณีจับผู้ต้องหาได้แล้วคือพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอท่ามะกา ซึ่งเป็นท้องที่ที่จับได้อยู่ในเขตอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา19วรรคสาม(ก)พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาล บางยี่ขันคงเป็นพนักงานสอบสวนผู้มีอำนาจเท่านั้นทั้งไม่เข้ากรณีที่จับผู้ต้องหายังไม่ได้อันจะถือว่าพนักงานสอบสวนท้องที่ที่พบการกระทำผิดก่อนอยู่ในเขตอำนาจเป็น พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา19วรรคสาม(ข)เมื่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาล บางยี่ขันซึ่งมิใช่พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบซึ่งมีอำนาจสรุปสำนวนและทำความเห็นว่าควรสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องส่งไปพร้อมกับสำนวนเพื่อให้อัยการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา140,141แม้จะดำเนินการสอบสวนต่อไปจนเสร็จก็ถือไม่ได้ว่าได้มี การสอบสวนในความผิดนั้นก่อนโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา120โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคำขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมของผู้เสียหายย่อมตกไปด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1974/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจสอบสวนคดีอาญา: การกำหนดผู้รับผิดชอบตามสถานที่จับกุมและสถานที่เกิดเหตุ
ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวงเป็นความผิดต่อเนื่องและกระทำต่อเนื่องกันในท้องที่ต่างๆเกินกว่าท้องที่หนึ่งขึ้นไปและความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารตามที่โจทก์นำสืบกับความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นและข่มขืนกระทำชำเราเป็นความผิดซึ่งมีหลายกรรมกระทำลงในท้องที่ต่างๆกันรวมทั้งในท้องที่สถานีตำรวจนครบางบางยี่ขัน กรุงเทพมหานครและสถานีตำรวจภูธรอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรีซึ่งพนักงานสอบสวนในท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่เกี่ยวข้องมีอำนาจสอบสวนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา19วรรคหนึ่ง(3)(4)และวรรคสองฉะนั้นพันตำรวจโทว. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขันในขณะเกิดเหตุซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่เกี่ยวข้องจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้แต่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองถูกจับที่อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรีพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในการสอบสวนกรณีจับผู้ต้องหาได้แล้วเช่นนี้จึงเป็นที่แน่ชัดว่าคือพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอท่ามะกาซึ่งเป็นท้องที่ที่จับได้อยู่ในเขตอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา19วรรคสาม(ก)การที่พันตำรวจโทว. ได้ทำการสอบสวนคดีนี้หลังจากจับจำเลยทั้งสองได้แล้วพันตำรวจโทว. คงเป็นพนักงานสอบสวนผู้มีอำนาจสอบสวนเท่านั้นแต่พันตำรวจโทว. มิได้เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบทั้งมิใช่กรณีที่จับผู้ต้องหายังไม่ได้อันจะถือว่าพนักงานสอบสวนซึ่งท้องที่ที่พบการกระทำผิดก่อนอยู่ในเขตอำนาจเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา19วรรคสาม(ข)ได้เมื่อพันตำรวจโทว. มิใช่พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบซึ่งมีอำนาจสรุปสำนวนและทำความเห็นว่าควรสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องส่งไปพร้อมกับสำนวนเพื่อให้พนักงานอัยการพิจารณาตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา140และ141แม้จะดำเนินการสอบสวนต่อไปจนเสร็จก็ถือไม่ได้ว่าได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อนโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา120โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 194/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีอาญาอาศัยพยานหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือ ศาลต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
โจทก์ร่วมถูกยิงอย่างกะทันหันโดยกระสุนปืนนัดแรกถากลำคอเป็นเหตุให้มีเลือดไหลย่อมจะตกใจกลัวและมุ่งแต่จะหลบหนีไม่น่าจะหันไปดูหน้าคนร้ายส่วน ณ. พยานโจทก์อีกปากหนึ่งซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ร่วมที่อยู่ในที่เกิดเหตุด้วยหันไปดูหลังจากเสียงปืนดัง2นัดช่วงนั้นคนร้ายยิงปืนเสร็จคงจะหลบหนีไปแล้วอีกทั้งพยานสองปากนี้เบิกความถึงจุดที่คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมขัดกับการนำชี้ที่ปรากฏในบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุชั้นสอบสวนของ ท. ซึ่งเป็นภริยาของโจทก์ร่วมที่อยู่ในที่เกิดเหตุด้วยประกอบกับขณะที่ณ. และ ท. ส่งโจทก์ร่วมไปรักษาตัวไม่มีผู้ใดพูดถึงชื่อคนร้ายและเมื่อ ท. ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนก็ไม่ยอมระบุชื่อคนร้ายโดยอ้างว่าจะไปปรึกษากับโจทก์ร่วมและบุตรก่อนแล้วจะไประบุชื่อคนร้ายภายหลังจึงไม่น่าเชื่อว่าโจทก์ร่วม ณ. และ ท.จะเห็นหน้าคนร้ายส่วน ค. ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ร่วมอีกคนหนึ่งที่เบิกความว่าก่อนเกิดเหตุเห็นจำเลยถืออาวุธปืนอยู่กับพวกที่ข้างรั้วบ้านแต่พยานกลับมานอนต่อที่บ้านโดยไม่ยอมบอกผู้ใดทราบก็ไม่น่าเชื่อถือเพราะขณะนั้นมีข่าวการว่าจ้างให้ไปยิงโจทก์ร่วมอยู่ในช่วงที่ต้องระมัดระวังตัวแล้วพยานโจทก์และโจทก์ร่วมที่สืบมายังเป็นที่สงสัยว่าประจักษ์พยานจะเห็นหน้าจำเลยว่าเป็นคนร้ายที่กระทำผิดหรือไม่จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1765/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนฟ้องคดีอาญาแล้วขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ภายหลัง: ผลกระทบต่อสิทธิการฟ้องคดี
พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม2536 ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43,157ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้เสียหายได้ฟ้องจำเลยในข้อหาเดียวกันนี้เป็นคดีต่างหากและถอนฟ้องจำเลยไปเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2536โดยไม่ปรากฎในคำร้องว่าถอนไปเพื่อขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ต่อมาวันที่ 30 สิงหาคม 2537 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีนี้ ดังนี้ แม้ว่าผู้ร้องอาจขอเข้าร่วม เป็นโจทก์ได้โดยไม่จำต้องกล่าวหรือมีข้อแม้ในคำร้องขอถอนฟ้องว่าถอนไปเพื่อขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ก็ตามแต่การที่ผู้ร้องเพิ่งจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์หลังจากที่ได้ถอนฟ้องไปแล้วเป็นเวลากว่า 10 เดือนแสดงว่า ผู้ร้องมีเจตนาที่จะถอนฟ้องเด็ดขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงระงับไป ตามมาตรา 39(2) เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ เท่ากับนำคดีมาฟ้องจำเลยใหม่อีกจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
of 312