พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,887 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3643/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินโดยอาศัยคำพิพากษาที่วินิจฉัยกรรมสิทธิ์และบังคับเจ้าพนักงานที่ดินเป็นบุคคลภายนอก มิชอบตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้เจ้าพนักงานที่ดินยกเลิกคำสั่งให้ออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยและให้ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ต่อไปเมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินเป็นจำเลยด้วย การที่โจทก์มีคำขอดังกล่าวเป็นคำขอที่บังคับแก่บุคคลภายนอกที่ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีจึงไม่ชอบและไม่อาจบังคับได้ คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินที่อาจใช้ยันแก่บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145(2) มิใช่เป็นเรื่องบังคับให้เจ้าพนักงานที่ดินกระทำการหรือไม่กระทำการ ส่วนประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 60 ก็เป็นเรื่องที่มีกรณีโต้แย้งสิทธิกันเกี่ยวกับการออกโฉนดที่ดินและไม่อาจตกลงกันได้ในชั้นเจ้าพนักงานที่ดิน และต้องฟ้องกันต่อศาลเจ้าพนักงานที่ดินจะต้องรอเรื่องไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว จึงให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการต่อไปก็มิใช่เป็นเรื่องที่ให้สิทธิโจทก์ฟ้องจำเลยแล้วมีคำขอให้บังคับแก่เจ้าพนักงานที่ดินโดยไม่ได้ฟ้องเจ้าพนักงานที่ดินมาด้วย ปัญหาว่าศาลไม่อาจบังคับจำเลยตามคำขอของโจทก์ได้เพราะเป็นการบังคับบุคคลภายนอกและมิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดี เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3388/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท สิทธิฟ้องระงับเมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
จำเลยรับของโจรรถจักรยานยนต์ 2 คัน ไว้ในคราวเดียวกัน การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว การที่โจทก์แยกฟ้องจำเลยเป็นแต่ละคดีตามจำนวนรถจักรยานยนต์เป็น 2 คดี เมื่อได้ความว่าได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรรถจักรยานยนต์คันหนึ่งแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรรถจักรยานยนต์อีกคันหนึ่งเป็นคดีนี้อีกเพราะสิทธินำคดีอาญามาฟ้องเป็นอันระงับไปตามประมวล-กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3261/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่ซ้ำหลังคำพิพากษาถึงที่สุด แต่ไม่ได้บังคับคดี สิทธิยังคงมี การฟ้องใหม่ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์เคยฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท ศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดให้ขับไล่จำเลย แต่จำเลยยังครอบครองที่พิพาทอยู่ตลอดมาโดยที่โจทก์ไม่ได้ดำเนินการร้องขอบังคับคดีตามคำพิพากษาจนครบกำหนดระยะเวลาการบังคับคดีแล้ว ต่อมาโจทก์จึงมาฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกไปจากที่พิพาทเป็นคดีนี้ ดังนี้เป็นการขอให้บังคับตามสิทธิของโจทก์ที่เกิดขึ้นจากผลของคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อนซึ่งโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยได้และไม่เป็นฟ้องซ้ำแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3169/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในเครื่องหมายการค้า: ผู้ใช้ก่อนมีสิทธิเหนือผู้ขอจดทะเบียนภายหลัง การพิพากษาต้องครบถ้วนตามคำขอ
การที่โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่าLAT และ LOUIS TAPE ใช้กับสินค้ากาวเทปอันเป็นสินค้าจำพวกที่ 50 โจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าว แต่นายทะเบียนให้รอการจดทะเบียนไว้เพราะเครื่องหมายการค้าดังกล่าวของโจทก์เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าคำว่า LOUIS TAPE ของจำเลยซึ่งยื่นคำขอจดทะเบียนไว้เพื่อใช้กับสินค้ากาวเทปเช่นเดียวกันกับสินค้าของโจทก์นั้น เป็นกรณีที่มีบุคคลหลายคนต่างอ้างว่าเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าอันเดียวกัน หรือเกือบเหมือนกัน ใช้สำหรับสินค้าเดียวกันและต่างร้องขอจดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น อันเป็นการที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่ากัน ตามมาตรา 17แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเกิดข้อพิพาท หาใช่การที่โจทก์นำคดีมาสู่ศาลตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันอันโจทก์จะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนแห่งบทบัญญัติมาตราดังกล่าวโดยการคัดค้านก่อนและให้โอกาสแก่จำเลยผู้ขอจดทะเบียนก่อนโต้แย้งคำคัดค้านของโจทก์ไม่
การที่โจทก์ได้ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า LAT และLOUIS TAPE กับสินค้าเทปกาวมาตั้งแต่ปี 2518 และได้โฆษณาแพร่หลายซึ่งสินค้าโจทก์ แต่จำเลยเพิ่งนำเครื่องหมายการค้าดังกล่าวของโจทก์มาใช้กับสินค้าชนิดเดียวกันกับสินค้าโจทก์ในปี 2531 ทั้งจำเลยเคยเป็นกรรมการของบริษัทโจทก์มาก่อน จำเลยย่อมทราบถึงการที่โจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นอย่างดีเช่นนี้ ต้องถือว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าจำเลย และการขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยจึงเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต
ประเด็นที่จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า LAT และ LOUIS ตามคำขอจดทะเบียนของโจทก์และจำเลยดีกว่าจำเลยแต่มิได้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดังกล่าวดีกว่าจำเลยตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้น เป็นการที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ ตามป.วิ.พ. มาตรา 142 (5), 243 (1), 246 และ 247
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลย และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้น เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดังกล่าวดีกว่าจำเลย คำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยย่อมตกไปในตัว ไม่จำต้องพิพากษาให้เพิกถอนคำขอจดทะเบียนดังกล่าวอีก ศาลฎีกาแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้
การที่โจทก์ได้ใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า LAT และLOUIS TAPE กับสินค้าเทปกาวมาตั้งแต่ปี 2518 และได้โฆษณาแพร่หลายซึ่งสินค้าโจทก์ แต่จำเลยเพิ่งนำเครื่องหมายการค้าดังกล่าวของโจทก์มาใช้กับสินค้าชนิดเดียวกันกับสินค้าโจทก์ในปี 2531 ทั้งจำเลยเคยเป็นกรรมการของบริษัทโจทก์มาก่อน จำเลยย่อมทราบถึงการที่โจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นอย่างดีเช่นนี้ ต้องถือว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าจำเลย และการขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยจึงเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต
ประเด็นที่จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า LAT และ LOUIS ตามคำขอจดทะเบียนของโจทก์และจำเลยดีกว่าจำเลยแต่มิได้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดังกล่าวดีกว่าจำเลยตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้น เป็นการที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ ตามป.วิ.พ. มาตรา 142 (5), 243 (1), 246 และ 247
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลย และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้น เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดังกล่าวดีกว่าจำเลย คำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยย่อมตกไปในตัว ไม่จำต้องพิพากษาให้เพิกถอนคำขอจดทะเบียนดังกล่าวอีก ศาลฎีกาแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3055/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์การใช้ทรัพย์สินในการกระทำความผิด: คำพิพากษาผูกพันหรือไม่
ในชั้นพิจารณาที่จำเลยถูกฟ้องว่ากระทำความผิด จำเลยได้ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดและการพาทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกวิ่งราวทรัพย์ไป คดีถึงที่สุดแล้ว แม้คำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางก็ตาม แต่การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลางแล้วกล่าวอ้างว่าในขณะกระทำความผิดจำเลยมิได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะในการกระทำผิด เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาเช่นนี้ ผู้ร้องจะต้องนำสืบให้ได้ความดังที่กล่าวอ้าง แต่ทางพิจารณาผู้ร้องนำสืบไม่ได้ว่ารถจักรยานยนต์ของกลางมิใช่ทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการกระทำผิด ในทางตรงกันข้ามจำเลยทั้งสองกลับเบิกความเป็นพยานผู้ร้องว่าจำเลยได้ใช้รถยนต์ของกลางไปกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ดังนี้จึงต้องฟังว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3055/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์การใช้ยานพาหนะในการกระทำความผิดและการโต้แย้งคำพิพากษาเดิมของผู้ร้อง
ในชั้นพิจารณาที่จำเลยถูกฟ้องว่ากระทำความผิดจำเลยได้ให้การสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดและการพาทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกวิ่งราวทรัพย์ไปคดีถึงที่สุดแล้ว แม้คำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางก็ตามแต่การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลางแล้วกล่าวอ้างว่าในขณะกระทำความผิดจำเลยมิได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะในการกระทำผิดเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาเช่นนี้ ผู้ร้องจะต้องนำสืบให้ได้ความดังที่กล่าวอ้าง แต่ทางพิจารณาผู้ร้องนำสืบไม่ได้ว่ารถจักรยานยนต์ของกลางมิใช่ทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการกระทำผิดในทางตรงกันข้ามจำเลยทั้งสองกลับเบิกความเป็นพยานผู้ร้องว่าจำเลยใช้รถยนต์ของกลางไปกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ดังนี้จึงต้องฟังว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3015/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ศาลต้องใช้ข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาอาญาในการพิจารณาคดีแพ่ง
คดีก่อนโจทก์แจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยข้อหาบุกรุกที่พิพาทพนักงานอัยการฟ้องจำเลย คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำเลย คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกต้นมะพร้าวและขนำในที่ดินพิพาทดังกล่าวทำให้โจทก์เสียประโยชน์จากการใช้ที่ดินขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จึงเป็นการฟ้องขอให้ศาลบังคับตามสิทธิเรียกร้องในทางแพ่งที่เกี่ยวเนื่องมาจากการกระทำผิดอาญา จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อในคดีอาญาศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายคดีดังกล่าว ดังนั้นการพิพากษาคดีนี้ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญาว่า จำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2810/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากฎีกาไม่ชัดเจนและไม่เป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษา
ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นคือกล่าวว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้อง เป็นการคลาดเคลื่อนต่อข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงแต่มิได้กล่าวถึงคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยทั้งสองฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลที่กำหนดให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อนว่าไม่ถูกต้องนั้น เป็นฎีกาข้อกฎหมาย แต่ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลเป็นอย่างอื่น จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2701/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับการชำระหนี้ตามคำพิพากษา: โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินก่อนชำระค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์โดยให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินที่เหลือแก่จำเลย หากจำเลยไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ก็ให้คืนเงินมัดจำกับค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนั้น ในการบังคับคดีจำเลยจึงต้องปฏิบัติการชำระหนี้ต่อโจทก์ตามลำดับของคำพิพากษา โดยจำเลยต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ก่อน จำเลยจะเลือกวิธีการคืนเงินมัดจำกับชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งที่จำเลยยังสามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้ โดยโจทก์ไม่ตกลงด้วยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2701/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษา ศาลมีอำนาจสั่งให้ถือคำพิพากษาแทนเจตนาจำเลยได้หากไม่ปฏิบัติตาม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์โดยให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินที่เหลือแก่จำเลย หากจำเลยไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ก็ให้คืนเงินมัดจำกับค่าเสียหายแก่โจทก์ดังนั้น ในการบังคับคดีจำเลยจึงต้องปฏิบัติการชำระหนี้ต่อโจทก์ตามลำดับของคำพิพากษา โดยจำเลยต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ก่อน จำเลยจะเลือกวิธีการคืนเงินมัดจำกับชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งที่จำเลยยังสามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้โดยโจทก์ไม่ตกลงด้วยหาได้ไม่ เมื่อศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาตามคำของโจทก์ซึ่งขอให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษา หากจำเลยไม่ปฏิบัติก็ให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที และให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาแล้วแต่จำเลยไม่ปฏิบัติ ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจที่จะสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยได้ เพราะเป็นคำสั่งเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีเพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นกรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นต้องมีคำสั่งในเวลาที่ออกคำบังคับด้วยว่า หากจำเลยไม่ยอมโอนที่ดินให้แก่โจทก์ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และมิใช่เป็นเรื่องแก้ไขเพิ่มเติมคำพิพากษา