พบผลลัพธ์ทั้งหมด 823 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1048/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องฉ้อโกงต้องระบุรายละเอียดการกล่าวเท็จและข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง
ฟ้องความผิดฐานฉ้อโกงนั้น โจทก์จะต้องบรรยายฟ้องให้สามารถเข้าใจได้ว่าจำเลยกล่าวเท็จในข้อใดบ้างและความจริงเป็นอย่างไร มิฉะนั้นเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1043/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองเพียงอย่างเดียวเพียงพอต่อการฟ้องรบกวนการครอบครองได้ แม้ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสวนยาง 1 แปลงโดยซื้อไว้จากผู้มีชื่อดังสำเนาท้ายฟ้อง และได้ครอบครองมาประมาณ 9 ปีเศษ จำเลยบุกรุกเข้ากรีดยางในที่ของโจทก์ตอนหนึ่ง จึงขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนหนึ่งดังนี้ แสดงว่าโจทก์อ้างถึงสิทธิครอบครองอย่างเดียว คำขอท้ายฟ้องก็ขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยเข้ามารบกวนสิทธิครอบครองของโจทก์เท่านั้น หาเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ไม่โจทก์ชอบที่จะฟ้องได้ แม้โจทก์จะยังไม่ได้กรรมสิทธิ์มาตามสัญญาซื้อขาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 887/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตฟ้องจำกัด ศาลลงโทษจำเลยเฉพาะส่วนที่ฟ้องชัดเจน
ฟ้องโจทก์ข้อ 1 ว่า จำเลยสมคบกันมีธนบัตรปลอมไว้เพื่อจำหน่าย 40 ฉะบับราคา 400 บาท และได้จำหน่ายธนบัตรจำนวนนั้นให้แก่นายดีไปทั้งหมด ข้อ 2 กล่าวว่าเจ้าพนักงานจับจำเลยได้และได้ธนบัตรของกลาง 35 ฉะบับเท่าที่ค้นได้ และเหลือจำหน่ายในหีบในห้องนอนของจำเลย ขอให้ลงโทษจำเลย ดังนี้ คำบรรยายฟ้องในข้อ 1 ไม่กินถึงธนบัตรของกลาง 35 ฉะบับในข้อ 2 และเมื่อโจทก์ไม่ได้บรรยายถึงองค์ความผิดประกอบประการใดในฟ้องข้อ 2 จึงลงโทษจำเลยสำหรับความผิดเกี่ยวกับธนบัตรของกลาง 35 ฉะบับนี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 871/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีค้ากำไรเกินควร การทราบประกาศเป็นองค์ประกอบที่ต้องพิสูจน์ในชั้นพิจารณา
โจทก์ฟ้องว่า คณะกรรมการส่วนจังหวัดป้องกันการค้ากำไรเกินควรประจำจังหวัดนครพนม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันการค้ากำไรเกินควร 2490 ได้ประกาศระบุให้น้ำมันก๊าสเป็นสิ่งของต้องห้ามมิให้ค้ากำไรเกินควร โดยได้กำหนดราคาสูงสุดไว้แล้วตามสำเนาประกาศท้ายฟ้อง จำเลยบังอาจค้ากำไรเกินควรโดยขายน้ำมันก๊าสให้นายทองไป 1 ลิตร ราคา 2 บาท เกินราคาสูงสุดที่กำหนดไว้ 50 สตางค์ ดังนี้ตามข้อความในฟ้อง พอเข้าใจได้แล้วว่า โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยบังอาจกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนประกาศ แม้โจทก์จะมิได้ระบุในฟ้องว่าจำเลยได้ทราบประกาศนั้นแล้ว ฟ้องของโจทก์ก็สมบูรณ์ตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 158 แล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 757/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความถูกต้องของสำเนาฟ้อง: ศาลอ่านฟ้องให้จำเลยฟังแล้ว ถือเป็นหลักสำคัญ มิใช่สำเนาฟ้อง
สำเนาฟ้องของโจทก์มีข้อความผิดพลาดไม่ตรงกับข้อความในฟ้องฉะบับที่ยื่นต่อศาล แต่ศาลได้อ่านฟ้องให้จำเลยฟัง และศาลยังบอกให้จำเลยเข้าใจว่า ให้ถือเอาข้อความตามฟ้องที่ศาลอ่าน จำเลยทราบดีว่าตามฟ้องโจทก์กล่าวหามีข้อความเป็นอย่างไร และสำเนาฟ้องที่โจทก์นำส่งให้จำเลยมีข้อความผิดพลาด ไม่ตรงกับฟ้องอย่างไรบ้าง ดังนี้ ไม่ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้และไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 753/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องนายกเทศมนตรีในคดีภาษีโรงเรือน: การฟ้องจำเลยในฐานะบุคคลธรรมดา
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าภาษีโรงเรือนที่เจ้าหน้าที่ประเมินเกินไป โดยกล่าวในฟ้องว่าโจทก์ฟ้องนายทับ ณ พัทลุง ในนามนายกเทศมนตรีเมืองพัทลุงเป็นจำเลย ย่อมเป็นการฟ้องบุคคลธรรมดาในตำแหน่งหน้าที่ของเขา
ตาม พ.ร.บ.ปันรายได้บำรุงเทศบาล 2479 ม.4 ซึ่งบัญญัติว่า ภาษีโรงเรือน ซึ่งจะพึงเรียกเก็บได้ในเขตต์เทศบาลให้โอนให้เทศบาลเรียกเก็บเป็นรายได้ของเทศบาล และให้เทศบาลมีอำนาจและหน้าที่แต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพื่อการนี้ประกอบกับ พ.ร.บ.เทศบาล 2481 มาตรา 36 บัญญัติว่า ในการบริหารการเทศบาลทั้งหลาย ให้นายกเทศมนตรีเป็นหัวหน้าดำเนินกิจการทั้งปวงของเทศบาล ดังนี้ นายกเทศมนตรีซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาโดยตำแหน่งหน้าที่นายกเทศมนตรีจึงอาจฟ้อง หรือถูกฟ้องเป็นคดีความในโรงศาลได้ ไม่จำเป็นต้องเอานิติบุคคลเข้ามาเป็นคู่ความเสมอไป.
ตาม พ.ร.บ.ปันรายได้บำรุงเทศบาล 2479 ม.4 ซึ่งบัญญัติว่า ภาษีโรงเรือน ซึ่งจะพึงเรียกเก็บได้ในเขตต์เทศบาลให้โอนให้เทศบาลเรียกเก็บเป็นรายได้ของเทศบาล และให้เทศบาลมีอำนาจและหน้าที่แต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพื่อการนี้ประกอบกับ พ.ร.บ.เทศบาล 2481 มาตรา 36 บัญญัติว่า ในการบริหารการเทศบาลทั้งหลาย ให้นายกเทศมนตรีเป็นหัวหน้าดำเนินกิจการทั้งปวงของเทศบาล ดังนี้ นายกเทศมนตรีซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาโดยตำแหน่งหน้าที่นายกเทศมนตรีจึงอาจฟ้อง หรือถูกฟ้องเป็นคดีความในโรงศาลได้ ไม่จำเป็นต้องเอานิติบุคคลเข้ามาเป็นคู่ความเสมอไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 624/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องผิดวันทางจันทรคติไม่ทำให้ฟ้องตก หากวันสุริยคติถูกต้องและจำเลยให้การยืนยันวันจันทรคติที่ถูกต้อง
โจทก์ฟ้องหาจำเลยอ้างวันทางสุริยคติถูกต้อง เป็นแต่เทียบวันทางจันทรคติผิดไป และจำเลยให้การเรื่องวันจันทรคติถูกต้องตรงกับความจริงแล้ว จะถือเป็นเหตุยกฟ้องหาได้ไม่
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยทำผิด เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2489 ตรงกับวันขึ้น 5 ค่ำ เดือนอ้าย ทางพิจารณาพยานให้การว่าวันเกิดเหตุที่โจทก์กล่าวในฟ้องตรงกับวันขึ้น 5 ค่ำ เดือนยี่ และจำเลยก็ให้การเรื่องวันทางจันทรคติตรงกับความจริง ดังนี้ ไม่ถือว่าฟ้องผิดวัน
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยทำผิด เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2489 ตรงกับวันขึ้น 5 ค่ำ เดือนอ้าย ทางพิจารณาพยานให้การว่าวันเกิดเหตุที่โจทก์กล่าวในฟ้องตรงกับวันขึ้น 5 ค่ำ เดือนยี่ และจำเลยก็ให้การเรื่องวันทางจันทรคติตรงกับความจริง ดังนี้ ไม่ถือว่าฟ้องผิดวัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นสำคัญของคดีอยู่ที่การผิดสัญญา ไม่ใช่ประเภทสัญญา (เช่าหรือจ้างทำของ) โดยการนำสืบไม่ขัดแย้งกับฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ เพราะจำเลยผิดสัญญาที่โจทก์จ้างจำเลยไปพูดโฆษณาโดยใช้เครื่องวิทยุกระจายเสียงและเครื่องทำไฟฟ้าของจำเลย จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าเครื่องขยายเสียง เครื่องทำไฟฟ้าของจำเลย แล้วผิดสัญญาไม่จัดการนำเครื่องไปเอง ดังนี้ สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจะเป็นสัญญาเช่าหรือสัญญาจ้างทำของ ไม่ใช่ข้อสำคัญ ข้อสำคัญในคดีอยู่ที่ว่าฝ่ายใดเป็นผู้ผิดสัญญา
การที่จำเลยค้านว่า ฟ้องของโจทก์กล่าวว่า โจทก์ว่าจ้างจำเลยให้ไปทำการโฆษณาเพื่อหาเสียงในการเลือกตั้ง แต่แล้วนำสืบเป็นเรื่องเช่าเครื่องขยายเสียงจากจำเลยไปโฆษณาด้วยตนเองเป็นการสืบไม่สมฟ้องนั้น แม้ฟ้องของโจทก์ตอนต้นจะกล่าวมีนัยดังจำเลยว่าก็ดี แต่ฟ้องตอนกล่าวถึงรายละเอียด โจทก์ได้บรรยายถึงรายละเอียดเป็นที่เข้าใจได้แล้วว่าโจทก์จำเลยตกลงกันอย่างไรและจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู่แต่อย่างใดดังนี้ ข้อค้านของจำเลยย่อมฟังไม่ขึ้น.
การที่จำเลยค้านว่า ฟ้องของโจทก์กล่าวว่า โจทก์ว่าจ้างจำเลยให้ไปทำการโฆษณาเพื่อหาเสียงในการเลือกตั้ง แต่แล้วนำสืบเป็นเรื่องเช่าเครื่องขยายเสียงจากจำเลยไปโฆษณาด้วยตนเองเป็นการสืบไม่สมฟ้องนั้น แม้ฟ้องของโจทก์ตอนต้นจะกล่าวมีนัยดังจำเลยว่าก็ดี แต่ฟ้องตอนกล่าวถึงรายละเอียด โจทก์ได้บรรยายถึงรายละเอียดเป็นที่เข้าใจได้แล้วว่าโจทก์จำเลยตกลงกันอย่างไรและจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู่แต่อย่างใดดังนี้ ข้อค้านของจำเลยย่อมฟังไม่ขึ้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 431/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขาย: การตีความสัญญาจากข้อความในฟ้องและหลักฐานที่อ้างอิง
โจทก์ฟ้องกล่าวว่า โจทก์ตกลงซื้อนาจากจำเลย ชำระราคาแล้ว และเข้าครอบครองตลอดมา หลักฐานการจะซื้อขายอยู่ที่ทำการสหกรณ์ ยังไม่ได้โอนกันตามระเบียบ จึงฟ้องขอให้จำเลยโอนขาย ฟ้องดังนี้ตีความได้ว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลย เป็นสัญญาจะซื้อขาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 288/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เวลาการกระทำผิดเป็นข้อสำคัญในฟ้อง หากต่างจากที่กล่าวอ้างในฟ้อง ต้องยกฟ้อง
รายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำผิดนั้นเป็นข้อสำคัญซึ่งโจทก์จะต้องกล่าวในฟ้องให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เมื่อปรากฏจากคำพยานว่า จำเลยทำผิดวันอื่น ไม่ใช่วันที่โจทก์กล่าวหาในฟ้องต้องยกฟ้อง