คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฟ้องร้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 993 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 331/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากการแย่งทำนา แม้คดีเดิมยังไม่สิ้นสุด ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่า ป. ทำพินัยกรรมยกที่นาพิพาทให้โจทก์ จำเลยไปขอรับมรดกที่นารายนี้ โดยแจ้งเท็จว่าจำเลยยังเป็นภริยาของ ป. อยู่ เจ้าพนักงานหลงเชื่อ ได้โอนนาพิพาทให้เป็นของจำเลย ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่านิติกรรมโอนมรดกที่นาพิพาทเป็นโมฆะ และเพิกถอนเสีย และพิพากษาแสดงว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองตามส่วนในพินัยกรรม คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ว่า โจทก์จะทำนาในที่พิพาทซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้วว่าเป็นของโจทก์ จำเลยไม่ยอมให้ทำ และจำเลยเข้าแย่งทำนาเสียทั้งหมด ขอให้บังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ ฟ้องคดีเรื่องใหม่เป็นฟ้องอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก หาใช่เป็นเรื่องเดียวกันกับฟ้องในคดีก่อนไม่ จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 19/2515)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2495/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีข่มขืนกระทำชำเราและค้าประเวณี โดยพิจารณาจากองค์ประกอบความผิดตามฟ้อง
โจทก์ฟ้องจำเลย 6 คนโดยมิได้กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1, 2, 3, 4ได้ร่วมข่มขืนใจ หรือหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายให้ปราศจากเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 310 จึงลงโทษจำเลยที่ 1,2,3,4ฐานนี้ไม่ได้ และตามฟ้องโจทก์ก็มิได้บรรยายว่าจำเลยที่ 5, 6 ได้ข่มขืนใจผู้เสียหายโดยทำให้เกิดความกลัว ว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายเสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้เสียหายหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 309ก็ลงโทษจำเลยที่ 5, 6 ตามมาตรา 309 ไม่ได้เช่นกัน แม้จำเลยที่ 1, 3, 4, 5, 6 มิได้ฎีกา แต่เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาถึงจำเลยที่ 1, 3, 4, 5 และ 6 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2171-2172/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องเช็ค: การนับระยะเวลาเริ่มต้นเมื่อใด และการนับรวมวันแรกหรือไม่
ผู้ทรงเช็คฟ้องผู้สั่งจ่ายให้ชำระเงินตามเช็ค กฎหมายห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่วันเช็คถึงกำหนด การนับระยะเวลาในกรณีนี้จะนับวันแรกรวมคำนวณเข้าในอายุความหนึ่งปีด้วยหาได้ไม่ เพราะไม่ได้เริ่มการอะไรในวันนั้น เช็คที่ถึงกำหนดวันที่ 20 พฤศจิกายน 2511ฟ้องคดีวันที่ 20 พฤศจิกายน 2512 และที่ถึงกำหนดวันที่ 27 พฤศจิกายน2511 ฟ้องคดีวันที่ 27 พฤศจิกายน 2512 ฟ้องทั้งสองสำนวนนี้ยังไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1517/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญากู้ปิดอากรแสตมป์ไม่บริบูรณ์ ใช้เป็นหลักฐานฟ้องร้องคดีแพ่งไม่ได้ ขาดหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือ
โจทก์ฟ้องคดีโดยอาศัยสัญญากู้เป็นพยานหลักฐาน แต่สัญญากู้ปิดอากรแสตมป์เพียง 5 บาท ขาดไป 15 บาท นับว่าตราสารสัญญากู้นี้ปิดอากรแสตมป์ไม่บริบูรณ์ โจทก์จะใช้ตราสารสัญญากู้นั้นเป็นพยานหลักฐานในการฟ้องคดีแพ่งไม่ได้ จึงเท่ากับว่าโจทก์ขาดหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
เรื่องตราสารที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ เป็นเรื่องที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้โดยเฉพาะ แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันไว้ศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1290/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาที่ไม่เป็นไปตามข้อตกลงเดิม และการใช้เอกสารปลอมในการฟ้องร้อง
จำเลยกู้เงินโจทก์ 8,000 บาท และเซ็นชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้โดยไม่กรอกข้อความ โจทก์นำไปกรอกข้อความเป็น 30,000 บาท ขัดต่อข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลย สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องจึงเป็นเอกสารปลอม ใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 945/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอม: การฟ้องร้องไม่สมบูรณ์เมื่อรั้วปิดกั้นอยู่บนที่ดินของโจทก์เอง
ลักษณะสำคัญของภารจำยอม คือ ต้องมีอสังหาริมทรัพย์อย่างน้อยสองอสังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์หนึ่งต้องตกอยู่ในภาระรับกรรมบางอย่างหรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างเพื่อประโยชน์แก่อีกอสังหาริมทรัพย์หนึ่ง อสังหาริมทรัพย์ที่ต้องตกอยู่ในภาระรับกรรมนั้นเรียก'ภารยทรัพย์' และที่มีสิทธิเหนือภารยทรัพย์นั้นเรียก 'สามยทรัพย์'
โจทก์ฟ้องอ้างสิทธิภารจำยอมให้บังคับจำเลยเปิดทางเดินโดยอ้างว่าจำเลยล้อมรั้วปิดกั้นทางผ่านเข้าออกบนที่ดินของจำเลย แต่ตามแผนที่พิพาทที่โจทก์นำชี้กลับปรากฏว่ารั้วที่จำเลยปิดกั้นทางผ่านเข้าออกที่โจทก์ขอให้รื้อถอนนั้นอยู่ภายในเขตที่ดินของโจทก์เอง ดังนี้ เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องดำเนินการฟ้องร้องในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์จะฟ้องอ้างสิทธิภารจำยอมให้จำเลยรื้อรั้วและจดทะเบียนทางเป็นภารจำยอมในที่ดินซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นของโจทก์หาได้ไม่ กรณีเช่นนี้ถือว่าโจทก์นำสืบได้ไม่สมสภาพข้อหาข้ออ้างในคำฟ้อง ศาลชอบที่จะยกฟ้องเสียได้
แม้จะปรากฏในแผนที่พิพาทว่าทางบางส่วนอยู่ในเขตที่ดินจำเลย แต่เป็นทางตอนปลายซึ่งจำเลยมิได้ทำรั้วปิดกั้น เมื่อทางตอนต้นทางซึ่งจำเลยปิดกั้นรั้ว โจทก์ไม่อาจขอให้บังคับ จำเลยเปิดในฐานะเป็นทางภารจำยอมได้ในคดีนี้ย่อมไม่มีประโยชน์ที่ศาลจะวินิจฉัยเฉพาะทางตอนปลายเพราะถึงอย่างไรโจทก์ก็ยังไม่อาจใช้ทางผ่านเข้าออกได้ศาลย่อมยกฟ้องได้ทั้งหมด แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่เกี่ยวกับทางนี้ตามที่ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 575/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความไม่สุจริตของผู้ฟ้องร้องย่อมทำให้ฟ้องขอเพิกถอนการซื้อขายฝากโดยสุจริตไม่ได้
โจทก์รู้เห็นเป็นใจให้ ด. นำโฉนดของโจทก์ไปหลอกขายฝากจำเลย โดยอ้างว่าเป็นโฉนดของ ด. เอง ดังนี้ โจทก์ จะอ้างเอาความไม่สุจริตของโจทก์มาฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนการขายฝากซึ่งจำเลยรับซื้อฝากไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 432/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษได้แม้โจทก์ไม่ฎีกา
ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรมาด้วยกันสองฐาน ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ ยกข้อหารับของโจร แม้จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำผิด เมื่อศาลอุทธรณ์พิจารณาเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นเพียงความผิดฐานรับของโจรซึ่งมีอัตราโทษที่จะลงเบากว่าความผิดฐานลักทรัพย์ ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 267/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตเป็นสาระสำคัญในการพิพากษาคดีฉ้อโกง หากไม่มีเจตนาทุจริต แม้จะบรรยายฟ้องครบองค์ประกอบ ก็ไม่มีความผิด
ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงโจทก์ฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาไม่มีทางเอาผิดแก่จำเลยได้แล้วปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ฎีกาขึ้นมา ก็ไม่เป็นสารแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย (อ้างฎีกาที่ 321/2502)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2198/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำให้การโดยทนาย และการบังคับคดีขับไล่เฉพาะส่วนที่ฟ้องร้อง
จำเลยหรือทนายจำเลยไม่ได้ลงชื่อในฐานะจำเลยในคำให้การเป็นแต่ทนายจำเลยเซ็นชื่อเป็นผู้เรียงพิมพ์ และเซ็นไว้ ว่า รอฟังคำสั่งอยู่ศาลชั้นต้นตรวจสั่งรับคำให้การไว้แล้ว เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านศาลชั้นต้นสั่งไว้ในคำร้องอีกว่า พอถือได้ว่าทนายจำเลยได้ลงชื่อในคำให้การจำเลยโดยชอบแล้ว ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยอาศัยบ้านของโจทก์ แต่ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินที่โจทก์เช่ามาด้วย โดยมิได้อ้างว่าจำเลยอาศัยที่ดินที่โจทก์เช่าแต่อย่างใด ดังนี้ ศาลจะบังคับให้จำเลยออกไปจากที่ดินที่โจทก์เช่าไม่ได้
of 100