คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ละเมิด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,780 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 589/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องขับไล่ซ้ำ – ค่าเสียหาย – การขายสิทธิ – การละเมิดสิทธิ – การกำหนดค่าเสียหาย
คดีเดิมโจทก์ฟ้องขับไล่ ว. กับ ศ. ศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดให้ขับไล่บุคคลทั้งสองชั้นบังคับคดีจำเลยได้ยื่นคำร้องว่าไม่ใช่บริวารบุคคลทั้งสองศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยเป็นบริวารและให้ขับไล่จำเลยคดียังไม่ถึงที่สุดดังนี้เมื่อคดีก่อนจำเลยมิได้เป็นคู่ความการที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้ขอให้ขับไล่จำเลยคู่ความในคดีนี้กับคดีก่อนจึงไม่ใช่คู่ความรายเดียวกันอันจะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148และ144 จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์ในส่วนค่าเสียหายเคลือบคลุมโดยไม่ได้แสดงเหตุผลแห่งการปฏิเสธจึงไม่มีประเด็นในเรื่องนี้การที่ศาลชั้นต้นกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทและศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบฎีกาจำเลยข้อนี้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง แม้โจทก์ได้ขายที่ดินและตึกแถวพิพาทให้บุคคลภายนอกไปก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ก็ไม่ลบล้างสิทธิต่างๆของโจทก์ที่มีอยู่เดิมที่ได้ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายไว้โจทก์อาจเสียสิทธิไปเฉพาะเรื่องค่าเสียหายหลังจากการขายที่ดินและตึกแถวพิพาทไปแล้วเท่านั้นโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 589/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายละเมิด, การทิ้งฟ้อง, และอำนาจฟ้องของผู้รับมอบอำนาจ
จำเลยกล่าวในฟ้องแย้งว่าการที่โจทก์ฟ้องคดีเป็นการกลั่นแกล้งจำเลยอันเป็นละเมิดทำให้จำเลยเสียหายในทางการค้าและชื่อเสียงขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ5,000บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปนั้นเป็นการฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดโดยตรงมิใช่เพียงต่อสู้ว่าจำเลยอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยอาศัยสิทธิของ น. ไม่ได้อาศัยสิทธิโจทก์เท่านั้นการที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยคำนวณตั้งทุนทรัพย์และชำระค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์โดยกำหนดเวลาให้จำเลยปฏิบัติจึงชอบแล้วเมื่อจำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงเป็นการทิ้งฟ้องแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา174(2)ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการที่จำเลยไม่คำนวณตั้งทุนทรัพย์และชำระค่าขึ้นศาลภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดเป็นการทิ้งฟ้องแย้งนั้นจึงชอบแล้วไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแต่อย่างใดศาลอุทธรณ์ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่และไม่ต้องกำหนดเวลาให้จำเลยชำระค่าขึ้นศาลอีก หนังสือมอบอำนาจมีลักษณะเป็นหนังสือมอบอำนาจทั่วไปผู้มอบอำนาจอาจมอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจกระทำการหลายสิ่งหลายอย่างแทนตนได้และในหนังสือมอบอำนาจก็ระบุว่าให้ผู้รับมอบอำนาจมีสิทธิฟ้องคดีแพ่งคดีล้มละลายเพื่อป้องกันและรักษาทรัพย์สินผลประโยชน์หรือสิทธิต่างๆของธนาคารโจทก์ได้เมื่อการฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายเป็นการฟ้องคดีแพ่งจึงถือได้ว่าผู้รับมอบอำนาจโจทก์มีสิทธิฟ้องคดีนี้ได้ เดิมศาลพิพากษาขับไล่ ว. และ ศ. คดีถึงที่สุดชั้นบังคับคดีจำเลยได้ยื่นคำร้องในคดีดังกล่าวว่าไม่ใช่บริวารของ ว. และ ศ. ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยเป็นบริวารให้ขับไล่จำเลยคดียังไม่ถึงที่สุดในคดีดังกล่าวจำเลยมิได้เป็นคู่ความดังนั้นคู่ความในคดีนี้กับคดีดังกล่าวจึงไม่ใช่คู่ความรายเดียวกันอันจะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148และ144ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีดังกล่าว จำเลยให้การเพียงว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยไม่ได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธจึงไม่มีประเด็นในเรื่องนี้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้และศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบและเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โจทก์ได้ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นว่าได้ขายที่ดินและตึกแถวพิพาทให้บุคคลภายนอกแล้วก็ไม่ลบล้างสิทธิต่างๆของโจทก์ที่มีอยู่เดิมที่ได้ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายไว้ก่อนแล้วโจทก์อาจเสียสิทธิไปเฉพาะเรื่องค่าเสียหายหลังจากการขายที่ดินและตึกแถวพิพาทไปแล้วเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 578/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากการขนส่งและการแก้ไขคำฟ้อง
เดิมโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกัน หรือจำเลยที่ 1เชิดจำเลยที่ 2 ออกแสดงเป็นตัวแทนจ้างจำเลยที่ 3 ขับรถยนต์บรรทุกซึ่งมีป้ายชื่อ"โรงสีชัยเจริญ 4" อันเป็นชื่อกิจการค้าโรงสีซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีผลประโยชน์ร่วมกันติดอยู่ที่หลังคาหน้ารถโดยเปิดเผย การที่โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องโดยเพิ่มข้อความว่า โรงสีชัยเจริญ 4 เป็นโรงสีข้าวในกิจการของห้างหุ้นส่วนโรงสีไฟชัยเจริญซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลที่สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดพิจิตร ซึ่งจำเลยที่ 1และที่ 2 เป็นหุ้นส่วน โดยจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเข้าไปนั้น ข้อความที่ขอแก้ไขเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม ทั้งโจทก์ขอแก้ไขก่อนวันสืบพยาน เป็นกรณีที่โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 179 และมาตรา 180 โจทก์จึงมีสิทธิแก้ไขคำฟ้องได้
ค่าเสียหายที่โจทก์ต้องพิการและทนทุกข์ทรมานเป็นความเสียหายที่มิใช่ตัวเงินอย่างหนึ่ง โจทก์มีสิทธิเรียกร้องได้ตามมาตรา 446
ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุ และจำเลยที่ 1 กับห้างหุันส่วนจำกัดโรงสีไฟชัยเจริญร่วมกันประกอบการขนส่งเพื่อหาผลประโยชน์ร่วมกัน จำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างและกระทำละเมิดในทางการที่จ้างของห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงสีไฟชัยเจริญ และจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิด จึงต้องร่วมรับผิดในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จำกัดจำนวนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1077 (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5745/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องละเมิดเครื่องหมายการค้า: การพิสูจน์ความเสียหายและขอบเขตความรับผิด
เอกสารท้ายฟ้องย่อมถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง คำฟ้องจะชัดแจ้งหรือไม่ต้องพิจารณาทั้งหมด เมื่อปรากฏตามสำเนาคำสั่งและหนังสือคู่มือรับจดทะเบียนเอกสารท้ายฟ้องว่า โจทก์เป็นทายาทของ พ. ซึ่งเป็นเจ้าของเครื่อง-หมายการค้ารูปวัวชนกันประกอบคำว่า ตราวัวชนกัน ซึ่งได้รับการจดทะเบียนแล้วดังนี้ เท่ากับโจทก์ได้บรรยายฟ้องแล้วว่า โจทก์เป็นทายาทและเป็นผู้จัดการมรดกของ พ. ซึ่งเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าดังกล่าว คำฟ้องของโจทก์ในส่วนนี้จึงชัดแจ้งแล้ว โจทก์บรรยายฟ้องต่อไปว่า จำเลยปลอมเครื่องหมายการค้าดังกล่าวแล้วผลิตสินค้ายาฉุนเช่นเดียวกับสินค้าของโจทก์ออกขายเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าของโจทก์ ทำให้โจทก์จำหน่ายสินค้าได้ลดลงอย่างมาก ต้องเสียหายขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เท่ากับโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อสิทธิในเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของโจทก์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 420 และ พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 มาตรา 27 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดข้อพิพาท โจทก์ไม่ว่าในฐานะผู้จัดการมรดกหรือในฐานะส่วนตัวย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55
เมื่อโจทก์ไม่อาจนำสืบเรื่องค่าเสียหายได้ถึงจำนวนตามฟ้องศาลจึงกำหนดค่าเสียหายที่ขาดประโยชน์ได้ตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
เมื่อไม่ปรากฏว่าภายหลังจากวันฟ้องจำเลยในคดีอาญาข้อหาปลอมเครื่องหมายการค้าของโจทก์จนถึงวันฟ้องคดีนี้ จำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยผลิตและจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าของโจทก์ปลอมต่อไปอีกโจทก์จึงไม่อาจเรียกให้จำเลยรับผิดในค่าเสียหายในช่วงระยะเวลาดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5735/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีละเมิด: การรู้ตัวผู้รับผิดและการฟ้องร้องเกินกำหนด
ตามรายงานผลการสอบสวนหาผู้รับผิดในทางแพ่งที่เสนอต่ออธิบดีของโจทก์มีข้อความระบุไว้ชัดว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำละเมิด โจทก์เสียหายเป็นเงิน181,080 บาท เห็นควรเรียกร้องหรือฟ้องร้องดำเนินคดีทางแพ่งแก่จำเลยที่ 1 และส.รองอธิบดีของโจทก์ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีของโจทก์ลงนามไว้ด้านหลังเอกสารนี้เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2530 ถือได้ว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนคือจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ ส.ลงนามไว้ดังกล่าว เมื่อนับถึงวันที่ที่โจทก์ฟ้องคือวันที่ 27 มีนาคม 2532 เป็นระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 448 วรรคหนึ่ง ส่วนที่จำเลยที่ 1 ถูกพนักงานอัยการฟ้องในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้รถของโจทก์เสียหายตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกอันเป็นความผิดเกี่ยวกับรัฐ โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายในคดีอาญาสำหรับข้อหาส่วนนี้ การที่โจทก์นำการกระทำของจำเลยดังกล่าวมาฟ้องว่า จำเลยกระทำละเมิดเป็นคดีนี้ ดังนี้คดีนี้จึงมิใช่เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่จะนำอายุความทางอาญาที่ยาวกว่ามาบังคับได้
ตามรายงานผลการสอบสวนหาผู้รับผิดในทางแพ่งมีข้อความระบุเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 แต่เพียงว่า จำเลยที่ 2 นั่งโดยสารมาด้วยในรถที่จำเลยที่ 1 ขับหาได้ระบุว่าจำเลยที่ 2 ครอบครองหรือควบคุมดูแลรถคันดังกล่าวอันจะต้องรับผิดชอบเพื่อความเสียหายนั้นด้วยไม่ การที่ ส.รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีของโจทก์ลงนามไว้ด้านหลังเอกสารนี้ ถือไม่ได้ว่าโจทก์รู้ว่าจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย แต่ต่อมากองนิติการในสังกัดโจทก์ได้รับสำนวนการสอบสวนหาผู้รับผิดในทางแพ่งแล้ว เห็นว่าผู้ที่จะต้องรับผิดคือจำเลยทั้งสอง และได้ทำบันทึกข้อความเสนอความเห็นควรสั่งฟ้องจำเลยทั้งสองต่ออธิบดีของโจทก์ และ ส.ลงนามไว้ท้ายเอกสารดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2531 ถือได้ว่าโจทก์รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอีกคนหนึ่งคือจำเลยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ ส.ลงนามไว้ดังกล่าว เมื่อนับถึงวันที่โจทก์ฟ้องคือวันที่ 27 มีนาคม 2532 เป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 448 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5735/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีละเมิดทางแพ่ง: การรู้ตัวผู้กระทำละเมิดและผู้รับผิดชอบ, การฟ้องคดีอาญาเกี่ยวข้องกับคดีแพ่ง
ตามรายงานผลการสอบสวนหาผู้รับผิดในทางแพ่งที่เสนอต่อ อธิบดีของโจทก์มีข้อความระบุไว้ชัดว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำละเมิด โจทก์เสียหายเป็นเงิน 181,080 บาท เห็นควรเรียกร้องหรือฟ้องร้องดำเนินคดีทางแพ่งแก่จำเลยที่ 1 และ ส.รองอธิบดีของโจทก์ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีของโจทก์ลงนามไว้ด้านหลังเอกสารนี้ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2530 ถือได้ว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนคือจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ ส. ลงนามไว้ดังกล่าว เมื่อนับถึงวันที่ที่โจทก์ฟ้องคือวันที่ 27 มีนาคม2532 เป็นระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง ส่วนที่จำเลยที่ 1 ถูกพนักงานอัยการฟ้องหรือในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้รถของโจทก์เสียหายตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกอันเป็นความผิดเกี่ยวกับรัฐ โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายในคดีอาญาสำหรับข้อหาส่วนนี้ การที่โจทก์นำการกระทำของจำเลยดังกล่าวมาฟ้องว่า จำเลยกระทำละเมิดเป็นคดีนี้ ดังนี้คดีนี้จึงมิใช่เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่จะนำอายุความทางอาญาที่ยาวกว่ามาบังคับได้ ตามรายงานผลการสอบสวนหาผู้รับผิดในทางแพ่งมีข้อความระบุเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 แต่เพียงว่า จำเลยที่ 2นั่งโดยสารมาด้วยในรถที่จำเลยที่ 1 ขับหาได้ระบุว่าจำเลยที่ 2 ครอบครองหรือควบคุมดูแลรถคันดังกล่าวอันจะต้องรับผิดชอบเพื่อความเสียหายนั้นด้วยไม่ การที่ ส.รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีของโจทก์ลงนามไว้ด้านหลังเอกสารนี้ ถือไม่ได้ว่าโจทก์รู้ว่าจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย แต่ต่อมากองนิติการในสังกัดโจทก์ได้รับสำนวนการสอบสวนหาผู้รับผิดในทางแพ่งแล้ว เห็นว่าผู้ที่จะต้องรับผิดคือจำเลยทั้งสอง และได้ทำบันทึกข้อความเสนอความเห็นควรสั่งฟ้องจำเลยทั้งสองต่ออธิบดีของโจทก์ และ ส. ลงนามไว้ท้ายเอกสารดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2531 ถือได้ว่าโจทก์รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอีกคนหนึ่งคือจำเลยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ ส.ลงนามไว้ดังกล่าว เมื่อนับถึงวันที่โจทก์ฟ้องคือวันที่27 มีนาคม 2532 เป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5668/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเดินเรือโดยไม่ได้รับอนุญาตละเมิดสิทธิผู้ได้รับอนุญาตก่อน
จำเลยเพียงแต่ได้รับอนุญาตให้ใช้เรือกลจากกรมเจ้าท่า และอยู่ในระหว่างยื่นเรื่องราวขออนุญาตเดินเรือกลประจำทางในเส้นทางพิพาทต่อกรมเจ้าท่าเพื่อประกอบกิจการเดินเรือกลรับส่งคนโดยสาร แต่ยังมิได้รับอนุญาตให้เดินเรือกลประจำทางได้ในเส้นทางเดินเรือเดียวกับโจทก์และทับเส้นทางที่โจทก์เดินเรือ ใช้ท่าเรือร่วมกันบางท่าและเก็บค่าโดยสารเช่นเดียวกับโจทก์เป็นการกระทำโดยผิดกฎหมายและจงใจให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ เป็นการละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420
จำเลยเพียงแต่มีสิทธิเดินเรือกลตามปกติในลำน้ำเจ้าพระยาตามที่ได้รับอนุญาตให้ใช้เรือกลในลำน้ำเจ้าพระยาเท่านั้น ตราบใดที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เดินเรือกลประจำทางจากกรมเจ้าท่า จำเลยหามีสิทธิรับส่งคนโดยสารในเส้นทางเช่นเดียวกับโจทก์ที่ได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่าให้เดินเรือก่อนและเรือด่วนพิเศษไม่ เพราะเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์มีสิทธิห้ามจำเลยกระทำการดังกล่าวได้ตลอดระยะเวลาที่จำเลยยังมิได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่ากรณีดังกล่าวหาเป็นเรื่องระหว่างจำเลยและกรมเจ้าท่าไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5668/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเดินเรือกลประจำทาง: การละเมิดสิทธิผู้ได้รับอนุญาตเมื่อยังไม่ได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่า
โจทก์ได้รับสิทธิให้เดินเรือกลประจำทางรับส่งผู้โดยสารตามลำน้ำเจ้าพระยาโดยเก็บค่าโดยสารแต่ผู้เดียว จำเลยเพียงแต่ได้รับอนุญาตให้ใช้เรือกลจากกรมเจ้าท่า และอยู่ในระหว่างยื่นเรื่องราวขออนุญาตเดินเรือกลประจำทาง ในเส้นทางพิพาทต่อกรมเจ้าท่า การที่จำเลยเดินเรือกลประจำทางในเส้นทางเดินเรือเดียวกับโจทก์และทับเส้นทางที่โจทก์เดินเรืออยู่ ใช้ท่าเรือร่วมกันบางท่าและเก็บค่าโดยสารเช่นเดียวกับโจทก์ เป็นการกระทำโดยผิดกฎหมายและจงใจให้เกิด ความเสียหายแก่โจทก์เป็นละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย และห้ามมิให้จำเลยกระทำการดังกล่าวได้ตลอดระยะเวลาที่จำเลย ยังมิได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่า กรณีมิใช่เป็นเรื่องระหว่างจำเลยและกรมเจ้าท่าเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5668/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเดินเรือกลโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อให้เกิดละเมิดต่อผู้มีสิทธิเดินเรือเดิม
จำเลยเพียงแต่ได้รับอนุญาตให้ใช้เรือกลจากกรมเจ้าท่าและอยู่ในระหว่างยื่นเรื่องราวขออนุญาตเดินเรือกลประจำทางในเส้นทางพิพาทต่อกรมเจ้าท่าเพื่อประกอบกิจการเดินเรือกลรับส่งคนโดยสารแต่ยังมิได้รับอนุญาตให้เดินเรือกลประจำทางได้ในเส้นทางเดินเรือเดียวกับโจทก์และทับเส้นทางที่โจทก์เดินเรือใช้ท่าเรือร่วมกันบางส่วนและเก็บค่าโดยสารเช่นเดียวกับโจทก์เป็นการกระทำโดยผิดกฎหมายและจงใจให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เป็นการละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา420 จำเลยเพียงแต่มีสิทธิเดินเรือกลตามปกติในลำน้ำเจ้าพระยาตามที่ได้รับอนุญาตให้ใช้เรือกลในลำน้ำเจ้าพระยาเท่านั้นตราบใดที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เดินเรือกลประจำทางจากกรมเจ้าท่าจำเลยหามีสิทธิรับส่งคนโดยสารในเส้นทางเช่นเดียวกับโจทก์ที่ได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่าให้เดินเรือก่อนและเรือด่วนพิเศษไม่เพราะเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์มีสิทธิห้ามจำเลยกระทำการดังกล่าวได้ตลอดระยะเวลาที่จำเลยยังมิได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่ากรณีดังกล่าวหาเป็นเรื่องระหว่างจำเลยและกรมเจ้าท่าไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 556/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้แม้คดีอาญาจบแล้ว
โจทก์ที่1ในคดีนี้ไม่ใช่ผู้เสียหายหรือคู่ความในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่1ในคดีนี้ฐานขับรถโดยประมาทแม้โจทก์ที่1จะเป็นเจ้าของรถยนต์ซึ่งเกิดเหตุชนกันผลของคำพิพากษาในคดีอาญาก็ไม่ผูกพันโจทก์ที่1ศาลอุทธรณ์ภาค1จึงชอบที่จะฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในคดีใหม่ได้
of 278