พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,168 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1620/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินที่รุกล้ำ: การต่อเติมอาคารโดยอาศัยสิทธิเดิมไม่ใช่การรุกล้ำโดยสุจริต
ตึกแถวของโจทก์และของจำเลยอยู่ติดกัน ที่ดินและตึกแถวทั้งสองห้องนี้เดิมเป็นของเจ้าของคนเดียวกันโจทก์จำเลยต่างก็เช่าตึกแถวจากเจ้าของเดิม ระหว่างที่เช่าอยู่นั้นจำเลยได้ต่อเติมห้องน้ำห้องครัวที่ด้านหลังของตึกแถวโดยเจ้าของที่ดินคนเดิมรู้เห็นยินยอม ต่อมาโจทก์จำเลยต่างก็ซื้อที่ดินและตึกแถวมาเป็นกรรมสิทธิ์ ปรากฏว่าที่ดินส่วนที่จำเลยต่อเติมเป็นห้องน้ำห้องครัวนั้นอยู่ในโฉนดที่โจทก์ซื้อจำเลยเพิ่งครอบครองที่ดินดังกล่าวของโจทก์มาเพียง2 ปี จึงหามีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ โจทก์จึงมีสิทธิบังคับให้จำเลยรื้อถอนห้องน้ำห้องครัวออกจากที่ดินโจทก์ได้เพราะการก่อสร้างต่อเติมห้องน้ำห้องครัวนั้นก็โดยอาศัยสิทธิของเจ้าของเดิมไม่ใช่เข้าไปก่อสร้างโดยไม่รู้ว่าที่ดินนั้นเป็นของเจ้าของเดิมอันจะถือได้ว่าเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตตามมาตรา 1312 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1612/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรุกล้ำที่ดินโดยสุจริตของผู้รับโอน สิทธิเรียกร้องค่าที่ดิน มิใช่การรื้อถอน
เจ้าของเดิมได้ปลูกสร้างตึกแถวเลขที่ 40, 41 และ 42 ลงบนที่ดิน 2 แปลงของตนคือที่ดินโฉนดที่ 811 และ ที่ 237 ปรากฏว่าตึกแถวเลขที่ 41 ได้ปลูกล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดที่ 811 ต่อมาที่ดินโฉนดที่ 811 พร้อมตึกแถวได้ตกเป็นของโจทก์ส่วนที่ดินโฉนดที่ 237 พร้อมทั้งตึกแถวได้ตกเป็นของจำเลยกรณีนี้ ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะต้องนำบทกฎหมายที่ใกล้เคียงมาใช้บังคับคือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 การที่ตึกแถวเลขที่ 41 ปลูกล้ำเข้าไปในโฉนดที่ 811 ของโจทก์นั้น เจ้าของเดิมเป็นผู้ปลูกหาใช่จำเลยไม่โจทก์จำเลยต่างรับโอนที่ดินและตึกแถวมาอีกทอดหนึ่งถือได้ว่าการรุกล้ำดังกล่าวเป็นมาโดยสุจริต จะให้จำเลยรื้อถอนไปหาชอบด้วยความยุติธรรมไม่และจะนำมาตรา 1310 มาปรับกับกรณีนี้ก็ไม่ได้ เพราะมาตรา 1310 เป็นบทบัญญัติกรณีที่ปลูกสร้างโรงเรือนลงในที่ดินผู้อื่นทั้งหลัง มิใช่ปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินผู้อื่นเพียงบางส่วนเช่นกรณีนี้โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อถอนฝาห้องเลขที่ 41 ออกไปจากที่ดินโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1612/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรุกล้ำที่ดินโดยสุจริต โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องรื้อถอน แต่มีสิทธิเรียกค่าที่ดิน
เจ้าของเดิมได้ปลูกสร้างตึกแถวเลขที่ 40,41 และ 42ลงบนที่ดิน2 แปลงของตนคือที่ดินโฉนดที่ 811 และที่237ปรากฏว่าตึกแถวเลขที่ 41 ได้ปลูกล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดที่ 811ต่อมาที่ดินโฉนดที่ 811 พร้อมตึกแถวได้ตกเป็นของโจทก์ส่วนที่ดินโฉนดที่ 237 พร้อมทั้งตึกแถวได้ตกเป็นของจำเลยกรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะต้องนำบทกฎหมายที่ใกล้เคียงมาใช้บังคับคือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312การที่ตึกแถวเลขที่41 ปลูกล้ำเข้าไปในโฉนดที่ 811 ของโจทก์นั้นเจ้าของเดิมเป็นผู้ปลูกหาใช่จำเลยไม่โจทก์จำเลยต่างรับโอนที่ดินและตึกแถวมาอีกทอดหนึ่งถือได้ว่าการรุกล้ำดังกล่าวเป็นมาโดยสุจริตจะให้จำเลยรื้อถอนไปหาชอบด้วยความยุติธรรมไม่และจะนำมาตรา1310 มาปรับกับกรณีนี้ก็ไม่ได้ เพราะมาตรา 1310 เป็นบทบัญญัติกรณีที่ปลูกสร้างโรงเรือนลงในที่ดินผู้อื่นทั้งหลัง มิใช่ปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินผู้อื่นเพียงบางส่วนเช่นกรณีนี้โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อถอนฝาห้องเลขที่ 41 ออกไปจากที่ดินโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1528/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินโดยผู้รับมอบอำนาจปลอม ผู้ซื้อโดยสุจริตไม่สามารถอ้างไม่ทราบการปลอมได้
ปลอมลายมือชื่อเจ้าของในใบมอบอำนาจโอนที่ดินเจ้าพนักงานที่ดินตรวจสอบโดยประมาทเลินเล่อ เพราะเห็นได้ชัดว่าลายมือชื่อที่ปลอมกับลายมือชื่อเจ้าของที่ดินในสารบบแตกต่างกันทั้งวิธีการเขียนและลายเส้นเมื่อต่างเป็นผู้สุจริตด้วยกัน ผู้รับโอนที่พิพาทจากผู้ไม่มีอำนาจเป็นความประมาทของผู้รับโอนเอง ผู้รับโอนไม่ได้กรรมสิทธิ์และไม่มีอำนาจนำที่พิพาทไปจำนอง แม้ผู้รับจำนองกระทำโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนก็ไม่ได้สิทธิตามสัญญาจำนอง
เมื่อพยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่า หนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารปลอม แม้พยานโจทก์ซึ่งปฏิบัติราชการแทนหัวหน้าเขตผู้ลงนามรับรองลายมือชื่อโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจเบิกความว่าโจทก์เป็นผู้ไปติดต่อกับพยานด้วยตนเอง ก็ไม่น่าเชื่อถือ เพราะพยานต้องยืนยันเช่นนั้นเพื่อป้องกันตนเองให้พ้นผิด การที่พยานโจทก์เบิกความเป็นปรปักษ์แก่โจทก์เช่นนี้ จึงหาได้เป็นข้อพิรุธของโจทก์แต่ประการใดไม่
ผู้นำที่ดินไปขายโดยอาศัยใบมอบอำนาจปลอมไม่เคยรู้จักโจทก์ทั้งโจทก์เป็นข้าราชการบำนาญมีฐานะดี มีที่ดินติดต่อกับที่พิพาทซึ่งรวมกันแล้วถึง 15 โฉนด มีบุตรเพียง 2 คน ต่างมีครอบครัวและอาชีพเป็นหลักฐาน พฤติการณ์ดังนี้ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าโจทก์รู้เห็นในการทำปลอมใบมอบอำนาจการฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายและจำนอง จึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต
เมื่อพยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่า หนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารปลอม แม้พยานโจทก์ซึ่งปฏิบัติราชการแทนหัวหน้าเขตผู้ลงนามรับรองลายมือชื่อโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจเบิกความว่าโจทก์เป็นผู้ไปติดต่อกับพยานด้วยตนเอง ก็ไม่น่าเชื่อถือ เพราะพยานต้องยืนยันเช่นนั้นเพื่อป้องกันตนเองให้พ้นผิด การที่พยานโจทก์เบิกความเป็นปรปักษ์แก่โจทก์เช่นนี้ จึงหาได้เป็นข้อพิรุธของโจทก์แต่ประการใดไม่
ผู้นำที่ดินไปขายโดยอาศัยใบมอบอำนาจปลอมไม่เคยรู้จักโจทก์ทั้งโจทก์เป็นข้าราชการบำนาญมีฐานะดี มีที่ดินติดต่อกับที่พิพาทซึ่งรวมกันแล้วถึง 15 โฉนด มีบุตรเพียง 2 คน ต่างมีครอบครัวและอาชีพเป็นหลักฐาน พฤติการณ์ดังนี้ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าโจทก์รู้เห็นในการทำปลอมใบมอบอำนาจการฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายและจำนอง จึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1395/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์รถยนต์ที่ได้มาโดยไม่สุจริต และสิทธิในการเรียกร้องค่าต่อตัวถัง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกคันพิพาทพร้อมตัวถังและอุปกรณ์ตามฟ้องหรือไม่คดีย่อมมีประเด็นที่ศาลจะวินิจฉัยแต่เพียงว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกคันพิพาทโดยซื้อมาจากเจ้าของที่แท้จริงหรือไม่ การที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์ซื้อมาจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นย่อมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็น
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ขายมิใช่เจ้าของที่แท้จริง แม้โจทก์จะรับซื้อไว้โดยสุจริตโจทก์ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ เพราะผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนผู้เป็นเจ้าของย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 การที่เจ้าของและเจ้าพนักงานยึดรถยนต์บรรทุกคันพิพาทคืนจากโจทก์ จึงไม่เป็นการละเมิด
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกซึ่งไม่มีตัวถัง แต่โจทก์เป็นผู้ว่าจ้างให้ต่อตัวถังขึ้น ตัวรถยนต์บรรทุกถือได้ว่าเป็นทรัพย์ประธาน จำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าของทรัพย์ที่รวมเข้ากันนั้นแต่ผู้เดียว เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยชดใช้ราคารถยนต์บรรทุกทั้งคันอันเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์เป็นของตนทั้งหมดแต่ทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์ควรได้แต่ส่วนแบ่ง ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ได้รับแต่ส่วนแบ่งคือค่าต่อตัวถังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(2)
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ขายมิใช่เจ้าของที่แท้จริง แม้โจทก์จะรับซื้อไว้โดยสุจริตโจทก์ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ เพราะผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนผู้เป็นเจ้าของย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 การที่เจ้าของและเจ้าพนักงานยึดรถยนต์บรรทุกคันพิพาทคืนจากโจทก์ จึงไม่เป็นการละเมิด
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกซึ่งไม่มีตัวถัง แต่โจทก์เป็นผู้ว่าจ้างให้ต่อตัวถังขึ้น ตัวรถยนต์บรรทุกถือได้ว่าเป็นทรัพย์ประธาน จำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าของทรัพย์ที่รวมเข้ากันนั้นแต่ผู้เดียว เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยชดใช้ราคารถยนต์บรรทุกทั้งคันอันเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์เป็นของตนทั้งหมดแต่ทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์ควรได้แต่ส่วนแบ่ง ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ได้รับแต่ส่วนแบ่งคือค่าต่อตัวถังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 108/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การติชมการก่อสร้างงานกุศลโดยสุจริต ไม่เข้าข่ายหมิ่นประมาท
การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกรรมการอำนวยการงานฤดูหนาวและกาชาดได้กล่าวต่อจำเลยที่ 2 ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้นำไปลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ว่าสงสัยว่าผู้เสียหาย ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกแผนผังและก่อสร้างกับพวกจะร่วมกันทุจริตเงินก่อสร้างนั้น เป็นเพราะมีพฤติการณ์ให้เข้าใจว่าผู้เสียหายกับพวกได้ก่อสร้างสิ่งก่อสร้างแพงกว่าความเป็นจริงส่อไปในทางทุจริต งานนี้เป็นงานกุศลสาธารณประโยชน์ ประชาชนทั่วไปมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องและจำเลยที่ 1 มีส่วนรับผิดชอบในฐานะเป็นกรรมการอำนวยการ จึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสามกระทำโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม และติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 108/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การติชมด้วยความสุจริตเพื่อประโยชน์สาธารณะและการป้องกันส่วนได้เสีย ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกรรมการอำนวยการงานฤดูหนาวและกาชาดได้กล่าวต่อจำเลยที่ 2 ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้นำไปลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ว่าสงสัยว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกแผนผังและก่อสร้างกับพวกจะร่วมกันทุจริตเงินก่อสร้างนั้นเป็นเพราะมีพฤติการณ์ให้เข้าใจว่าผู้เสียหายกับพวกได้ก่อสร้างสิ่งก่อสร้างแพงกว่าความเป็นจริงส่อไปในทางทุจริต งานนี้เป็นงานกุศลสาธารณประโยชน์ ประชาชนทั่วไปมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องและจำเลยที่ 1 มีส่วนรับผิดชอบในฐานะเป็นกรรมการอำนวยการ จึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสามกระทำโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม และติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 930/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำนองที่ดินก่อนล้มละลาย: สิทธิของเจ้าหนี้จำนองและบุคคลภายนอกที่ได้มาโดยสุจริต
จำเลยจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับผู้คัดค้านที่ 2 เป็นเงิน 50,000 บาท ต่อมาเพิ่มเงินอีก 20,000 บาท หลังจากนั้นจำเลยจำนองกับ น. เป็นเงิน 50,000 บาท แล้วมีการจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองทั้งหมดโดยไม่มีการชำระหนี้จำนอง ต่อมาจำเลยขายให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นเงิน 200,000 บาท ผู้คัดค้านที่ 1 จดทะเบียนจำนองกับผู้คัดค้านที่ 2 เป็นเงิน 180,000 บาท แม้ได้ทำขึ้นในระหว่างระยะเวลา 3 เดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายแต่เฉพาะสัญญาจำนองจำนวน 120,000 บาท สืบเนื่องมาจากสัญญาจำนองเดิมโดยยังมิได้มีการชำระหนี้จำนองกัน การที่ผู้คัดค้านที่ 1 รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากจำเลยแม้จะไม่มีการไถ่ถอนจำนอง ผู้รับโอนก็ต้องรับภาระหนี้จำนองมาด้วยอยู่แล้ว จึงจะถือว่าการจำนองรายนี้ลูกหนี้ได้กระทำหรือยินยอมให้ กระทำในระหว่างระยะเวลา 3 เดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายตามพระราชบัญญัติ ล้มละลายฯ มาตรา 115 หาได้ไม่
ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านที่ 2 ยอมเพิ่มเงินจำนองให้ผู้คัดค้านที่ 1 โดยรู้อยู่แล้วว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ผู้คัดค้านที่ 2 จึงกระทำการโดยสุจริต แม้ต่อมาศาลจะสั่งเพิกถอนการซื้อขายระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านที่ 1 คำสั่งศาลดังกล่าวก็ไม่กระทบถึงสิทธิของผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนก่อนมีการขอให้ล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 116 สัญญาจำนองจึงมีผลใช้บังคับได้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจร้องขอให้เพิกถอน
ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านที่ 2 ยอมเพิ่มเงินจำนองให้ผู้คัดค้านที่ 1 โดยรู้อยู่แล้วว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ผู้คัดค้านที่ 2 จึงกระทำการโดยสุจริต แม้ต่อมาศาลจะสั่งเพิกถอนการซื้อขายระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านที่ 1 คำสั่งศาลดังกล่าวก็ไม่กระทบถึงสิทธิของผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนก่อนมีการขอให้ล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 116 สัญญาจำนองจึงมีผลใช้บังคับได้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจร้องขอให้เพิกถอน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3966/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ vs. สิทธิของบุคคลภายนอกที่ได้มาโดยสุจริตและจดทะเบียน
แม้ศาลจะวินิจฉัยและมีคำสั่งในคดีเรื่องหนึ่ง ว่าจำเลย ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ แต่เมื่อจำเลยยังไม่ได้ไปจดทะเบียนสิทธิ จำเลยจึงไม่อาจใช้ยันบุคคลภายนอกผู้ได้กรรมสิทธิ์มาโดยสุจริต มีค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3537/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายรถยนต์โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ผู้ซื้อไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าของเดิม
จำเลยที่ 2 นำรถของโจทก์ไปขายให้แก่จำเลยที่ 3โดยไม่มีอำนาจจำเลยที่ 3 ได้รับซื้อไว้โดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริต ทั้งได้มีการโอนทางทะเบียนโดยชอบแล้วโดยมิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำโดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 3 ย่อมไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
แม้โจทก์จะมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนก็ต้องเอาคืนจากผู้ครอบครองเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 3 ได้ขายรถยนต์และรถยนต์ตกไปอยู่ในความครอบครองของผู้อื่นแล้ว จำเลยที่ 3 ก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 506/2522)
แม้โจทก์จะมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนก็ต้องเอาคืนจากผู้ครอบครองเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 3 ได้ขายรถยนต์และรถยนต์ตกไปอยู่ในความครอบครองของผู้อื่นแล้ว จำเลยที่ 3 ก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 506/2522)