พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,273 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1585/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์สถานะเจ้าหนี้ในคดีล้มละลาย: หน้าที่การนำสืบ
หนี้ตามคำพิพากษาซึ่งเจ้าหนี้นำมาขอรับชำระในคดีล้มละลายและเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คัดค้าน ผู้ขอรับชำระหนี้ต้องนำสืบตามข้ออ้าง ถ้าพยานหลักฐานของผู้ขอรับชำระหนี้ฟังไม่ได้เป็นเจ้าหนี้จริง ก็ต้องยกคำขอรับชำระหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1561-1562/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์สินระหว่างคู่ความสัมพันธ์ฉันสามีภริยา ต้องพิสูจน์การร่วมแรงร่วมทุน
ชายและหญิงที่อยู่กินฉันสามีภริยากันหลังจากประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แล้ว โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส หากชายหรือหญิงได้ทรัพย์สินใดมาในระหว่างที่อยู่กินฉันสามีภริยากัน ทรัพย์นั้นจะเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันระหว่างชายกับหญิงก็ต่อเมื่อชายและหญิงได้ร่วมแรงรวมทุนหาทรัพย์สินนั้นมา หากเป็นทรัพย์สินที่บุคคลอื่นยกให้แก่ชายหรือหญิง หรือชายหรือหญิงได้มาด้วยแรงหรือด้วยทุนของตน ทรัพย์สินนั้นก็เป็นกรรมสิทธิ์ของชายหรือหญิงซึ่งได้รับการยกให้หรือซึ่งออกทุนออกแรงแต่ฝ่ายเดียว ไม่เป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกัน
จำเลยและผู้ร้องอยู่กินฉันสามีภริยาหลังจากประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แล้ว โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ระหว่างที่อยู่กินกับผู้ร้องได้รับ ยกให้ที่ดินพิพาท ต่อมาผู้ร้องขายที่ดินพิพาทให้แก่ บ.แล้วซื้อคืนจาก บ. โดยไม่ปรากฏว่าผู้ร้องเอาเงินที่ผู้ร้องและจำเลยทำมาหาได้ร่วมกันไปซื้อคืน โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาได้นำยึดที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมีโฉนดและมีชื่อผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ โดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของภริยาจำเลย ผู้ร้องจึงร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ ดังนี้กรณีต้องสันนิษฐานว่าผู้ร้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทแต่ผู้เดียว เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวให้ได้ความว่าผู้ร้องซื้อที่พิพาทคืนด้วยเงินที่ผู้ร้องและจำเลยทำมาหาได้ร่วมกัน มิฉะนั้นโจทก์จะยึดที่พิพาทไม่ได้
จำเลยและผู้ร้องอยู่กินฉันสามีภริยาหลังจากประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แล้ว โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ระหว่างที่อยู่กินกับผู้ร้องได้รับ ยกให้ที่ดินพิพาท ต่อมาผู้ร้องขายที่ดินพิพาทให้แก่ บ.แล้วซื้อคืนจาก บ. โดยไม่ปรากฏว่าผู้ร้องเอาเงินที่ผู้ร้องและจำเลยทำมาหาได้ร่วมกันไปซื้อคืน โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาได้นำยึดที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมีโฉนดและมีชื่อผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ โดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของภริยาจำเลย ผู้ร้องจึงร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ ดังนี้กรณีต้องสันนิษฐานว่าผู้ร้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทแต่ผู้เดียว เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวให้ได้ความว่าผู้ร้องซื้อที่พิพาทคืนด้วยเงินที่ผู้ร้องและจำเลยทำมาหาได้ร่วมกัน มิฉะนั้นโจทก์จะยึดที่พิพาทไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1163/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์การค้าประเวณีโดยเจ้าพนักงานและลักษณะสถานการค้าประเวณีควบคู่บริการอาบอบนวด
การที่สิบตำรวจโท ว.ขอร่วมประเวณีกับจำเลยเพื่อพิสูจน์คำร้องเรียนว่ามีการค้าประเวณีในสถานที่เกิดเหตุจริงหรือไม่ ตามคำสั่งพนักงานสอบสวน แล้วจำเลยยอมร่วมประเวณีและรับเงินจากสิบตำรวจโท ว.นั้น ไม่เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบแต่อย่างใด
แม้จำเลยจะได้รับอนุญาตให้เปิดสถานบริการอาบน้ำ อบ นวด ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยจัดสถานที่นั้นไว้เพื่อให้บุคคลอื่นทำการค้าประเวณีโดยจัดให้มีหญิงบริการทำการค้าประเวณีควบคู่กันไปกับบริการอาบน้ำ อบ นวด ด้วยแล้ว สถานที่ของจำเลยจึงเป็นสถานการค้าประเวณีด้วย
แม้จำเลยจะได้รับอนุญาตให้เปิดสถานบริการอาบน้ำ อบ นวด ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยจัดสถานที่นั้นไว้เพื่อให้บุคคลอื่นทำการค้าประเวณีโดยจัดให้มีหญิงบริการทำการค้าประเวณีควบคู่กันไปกับบริการอาบน้ำ อบ นวด ด้วยแล้ว สถานที่ของจำเลยจึงเป็นสถานการค้าประเวณีด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1163/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์การค้าประเวณีโดยเจ้าพนักงาน และการจำแนกสถานการค้าประเวณี
การที่สิบตำรวจโท ว. ขอร่วมประเวณีกับจำเลยเพื่อพิสูจน์คำร้องเรียนว่ามีการค้าประเวณีในสถานที่เกิดเหตุจริงหรือไม่ตามคำสั่งพนักงานสอบสวนแล้วจำเลยยอมร่วมประเวณีและรับเงินจากสิบตำรวจโท ว. นั้นไม่เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบแต่อย่างใด
แม้จำเลยจะได้รับใบอนุญาตให้เปิดสถานบริการอาบน้ำ อบนวด ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยจัดสถานที่นั้นไว้เพื่อให้บุคคลอื่นทำการค้าประเวณีโดยจัดให้มีหญิงบริการทำการค้าประเวณีควบคู่กันไปกับบริการอาบน้ำ อบ นวด ด้วยแล้วสถานที่ของจำเลยจึงเป็นสถานการค้าประเวณีด้วย
แม้จำเลยจะได้รับใบอนุญาตให้เปิดสถานบริการอาบน้ำ อบนวด ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยจัดสถานที่นั้นไว้เพื่อให้บุคคลอื่นทำการค้าประเวณีโดยจัดให้มีหญิงบริการทำการค้าประเวณีควบคู่กันไปกับบริการอาบน้ำ อบ นวด ด้วยแล้วสถานที่ของจำเลยจึงเป็นสถานการค้าประเวณีด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1024/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์โบราณวัตถุ: การพิสูจน์ความเป็นสมบัติสาธารณะหรือของชาติเป็นสาระสำคัญ
การขุดพบพระพุทธรูปและสิงห์สัมฤทธิ์ แล้วนำมาสักการะบูชาไว้ในห้องที่บ้านของตน โดยมิได้แจ้งหรือนำส่งมอบแก่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ เมื่อเพื่อนบ้านทราบก็มากราบไหว้สักการะบูชา อยู่ได้ประมาณ 3 วันก็ถูกลักไป นั้น ยังไม่พอฟังว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นที่สักการะบูชาของประชาชนหรือเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ทวิที่แก้ไขแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1024/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์โบราณวัตถุ: การพิสูจน์ว่าทรัพย์นั้นเป็นที่สักการะของประชาชนหรือสมบัติของชาติ
การขุดพบพระพุทธรูปและสิงห์สัมฤทธิ์แล้วนำมาสักการะบูชาไว้ในห้องที่บ้านของตน โดยมิได้แจ้งหรือนำส่งมอบแก่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเมื่อเพื่อนบ้านทราบก็มากราบไหว้สักการะบูชาอยู่ได้ประมาณ 3 วันก็ถูกลักไป นั้นยังไม่พอฟังว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นที่สักการะบูชาของประชาชนหรือเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 762/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดจากเครื่องจักรอันตราย: เหตุสุดวิสัยและการพิสูจน์ความผิด
เมื่อจำเลยรับว่าในคืนเกิดเหตุจำเลยใช้เครื่องจักรทำโต๊ะจักรแล้วไฟฟ้าเดินลัดวงจรเป็นเหตุให้ไฟไหม้โรงงานของจำเลยแล้วลุกลามไปไหม้บ้านของโจทก์ โจทก์ก็ไม่ต้องนำสืบอีกว่าเหตุที่ไฟไหม้โรงงานของจำเลยเนื่องมาจากจำเลยใช้เครื่องจักรทำโต๊ะจักรในคืนนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า โรงงานของจำเลยใช้เครื่องจักรที่เดินด้วยกำลังไฟฟ้า และไฟไหม้เนื่องจากไฟฟ้าเดินลัดวงจรขณะที่ใช้เครื่องจักรพ่นสีโต๊ะจักรอยู่ ดังนี้ ไฟฟ้าซึ่งใช้เดินเครื่องจักรเป็นทรัพย์อันเกิดอันตรายได้โดยสภาพซึ่งจำเลยผู้มีไว้ในความครอบครองจะต้องรับผิดชอบเพื่อความเสียหายอันเกิดขึ้นแก่ทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 เมื่อจำเลยไม่ได้นำสืบว่าการที่ไฟฟ้าลัดวงจรเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดเพราะความผิดของโจทก์ผู้ต้องเสียหายแต่อย่างไร จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 762/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดต่อความเสียหายจากเครื่องจักรอันตราย: เหตุสุดวิสัยและการพิสูจน์
เมื่อจำเลยรับว่าในคืนเกิดเหตุจำเลยใช้เครื่องจักรทำโต๊ะจักร แล้วไฟฟ้าเดินลัดวงจรเป็นเหตุให้ไฟไหม้โรงงานของจำเลย แล้วลุกลามไปไหม้บ้านของโจทก์ โจทก์ก็ไม่ต้องนำสืบอีกว่าเหตุที่ไฟไหม้โรงงานของจำเลยเนื่องมาจากจำเลยใช้เครื่องจักรทำโต๊ะจักรในคืนนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า โรงงานของจำเลยใช้เครื่องจักรที่เดินด้วยกำลังไฟฟ้า และไฟไหม้เนื่องจากไฟฟ้าเดินลัดวงจรขณะที่ใช้เครื่องจักรพ่นสีโต๊ะจักรอยู่ ดังนี้ ไฟฟ้าซึ่งใช้เดินเครื่องจักรเป็นทรัพย์อันเกิดอันตรายได้โดยสภาพ ซึ่งจำเลยผู้มีไว้ในความครอบครองจะต้องรับผิดชอบเพื่อความเสียหายอันเกิดขึ้นแก่ทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 เมื่อจำเลยไม่ได้นำสืบว่าการที่ไฟฟ้าลัดวงจรเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดเพราะความผิดของโจทก์ผู้ต้องเสียหายแต่อย่างไร จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 478/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับมรดกความแทนผู้มรณะ คำท้าพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือ และผลของการพิสูจน์ต่อกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
โจทก์มรณะในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 1และทายาทอื่นต่างยื่นคำร้องขอรับมรดกความ การตั้งผู้รับมรดกความแทนผู้มรณะนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 43บัญญัติให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจอนุญาตหรือไม่อนุญาตก็ได้โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและเหตุสมควรเป็นเรื่อง ๆ ไป หากศาลอนุญาตให้จำเลยที่ 1 เข้ารับมรดกความ ก็เท่ากับให้จำเลยที่ 1 เข้าล้มคดีของโจทก์ตามชอบใจ ฉะนั้น การที่ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ทายาทอื่นเข้ารับมรดกความแทนโจทก์ จึงเป็นการชอบแล้ว
การแปลคำท้าของคู่ความ
การแปลคำท้าของคู่ความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 710/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีปลอมแปลงเอกสาร: ความเสียหายที่ต้องพิสูจน์ และขอบเขตการอุทธรณ์
ข้อความในเอกสารซึ่งจำเลยปลอมลายมือชื่อของ จ. ผู้เสียหายน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงโจทก์ฟ้องว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย แม้จำเลยรับสารภาพแต่ศาลเห็นว่าไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย ศาลก็พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงว่า จำเลยปลอมลายมือชื่อ จ. ผู้เสียหายลงในเอกสารคำร้อง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ จ. ผู้เสียหายและ น.พนักงานเจ้าหน้าที่ศาลแขวงพิพากษาว่า ที่โจทก์อ้างว่าอาจจะเกิดความเสียหายแก่ จ. นั้น โจทก์มิได้บรรยายว่าจะเกิดความเสียหายอย่างใด จึงไม่อาจจะพิเคราะห์ได้. ส่วนที่อ้างว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ น. นั้น ตามคำร้องไม่อาจทำให้ น.เสียหาย พิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา ศาลฎีการับวินิจฉัยข้อที่ว่า ฟ้องที่เกี่ยวกับ จ.นั้นสมบูรณ์หรือไม่ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายและรับวินิจฉัยข้อที่ว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ จ.หรือไม่เพราะศาลแขวงยกฟ้องด้วยข้อกฎหมาย แต่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องด้วยข้อเท็จจริง โดยได้วินิจฉัยว่ายังไม่เกิดความเสียหายแก่ จ.โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการเสียหายแก่ จ.ส่วนข้อที่ว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่น.หรือไม่นั้น ศาลแขวงยกฟ้องโดยฟังว่าไม่อาจทำให้น. เสียหาย โจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์โต้แย้งแม้โจทก์จะอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนี้
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงว่า จำเลยปลอมลายมือชื่อ จ. ผู้เสียหายลงในเอกสารคำร้อง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ จ. ผู้เสียหายและ น.พนักงานเจ้าหน้าที่ศาลแขวงพิพากษาว่า ที่โจทก์อ้างว่าอาจจะเกิดความเสียหายแก่ จ. นั้น โจทก์มิได้บรรยายว่าจะเกิดความเสียหายอย่างใด จึงไม่อาจจะพิเคราะห์ได้. ส่วนที่อ้างว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ น. นั้น ตามคำร้องไม่อาจทำให้ น.เสียหาย พิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา ศาลฎีการับวินิจฉัยข้อที่ว่า ฟ้องที่เกี่ยวกับ จ.นั้นสมบูรณ์หรือไม่ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายและรับวินิจฉัยข้อที่ว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ จ.หรือไม่เพราะศาลแขวงยกฟ้องด้วยข้อกฎหมาย แต่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องด้วยข้อเท็จจริง โดยได้วินิจฉัยว่ายังไม่เกิดความเสียหายแก่ จ.โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการเสียหายแก่ จ.ส่วนข้อที่ว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่น.หรือไม่นั้น ศาลแขวงยกฟ้องโดยฟังว่าไม่อาจทำให้น. เสียหาย โจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์โต้แย้งแม้โจทก์จะอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนี้