คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เช็ค

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,865 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 494/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระเงินตามเช็คหลังปฏิเสธการจ่าย: หลักเกณฑ์การเลิกคดีตาม พ.ร.บ.เช็ค
ในกรณีที่ผู้ออกเช็คได้นำเงินไปชำระแก่ธนาคารเพื่อจ่ายเงินตามเช็ค ให้คดีเป็นอันเลิกกัน ดังที่ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 5 บัญญัติไว้นั้น เมื่อได้ความว่าผู้ออกเช็คได้นำเงินเข้าบัญชีธนาคารเป็นจำนวนเงินเท่ากับจำนวนเงินตามเช็ค โดยมีพฤติการณ์ที่เห็นได้ว่าเป็นเงินที่ผู้ออกเช็คนำไปชำระแก่ธนาคาร เพื่อจ่ายเงินตามเช็คที่โจทก์นำมาฟ้องแล้วคดีย่อมเป็นอันเลิกกันตามความหมายแห่ง ป.วิ.อ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 494/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระเงินค่าเช็คหลังธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินทำให้คดีเลิกกันได้ แม้ไม่แจ้งให้ผู้รับทราบ
ที่พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497มาตรา 5 วรรคท้าย บัญญัติว่า ถ้าผู้กระทำผิดตามมาตรา 3 ได้นำเงินตามเช็คไปชำระแก่ผู้ทรงเช็ค หรือแก่ธนาคารเพื่อจ่ายเงินตามเช็คภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ผู้ทรงเช็คได้บอกกล่าวให้ผู้ออกเช็คได้รับทราบว่าธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงินให้คดีเป็นอันเลิกกันตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา นั้นไม่ปรากฏข้อความบังคับว่าผู้ออกเช็คหรือจำเลยจะต้องแจ้งให้ผู้ทรงเช็คหรือโจทก์ทราบ หรือขอให้ธนาคารแจ้งให้ผู้ทรงเช็คทราบแทนผู้ออกเช็คหรือต้องแจ้งให้ธนาคารทราบว่า เงินที่ผู้ออกเช็คนำเข้าบัญชีนั้นเป็นการนำเข้าเพื่อจ่ายตามเช็คนั้นโดยเฉพาะเมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1นำเงินเข้าบัญชีธนาคารเป็นจำนวนเงินเท่ากับจำนวนเงินตามเช็คนั้นโดยมีพฤติการณ์ที่เห็นได้ว่าเป็นเงินที่ผู้ออกเช็คนำไปชำระแก่ธนาคารเพื่อจ่ายเงินตามเช็คที่โจทก์นำมาฟ้องแล้ว คดีย่อมเป็นอันเลิกกันตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4150/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระงับหนี้ตามเช็ค: เช็คฉบับหลังต้องใช้เงินได้จริง จึงจะระงับหนี้เช็คฉบับเดิม
จำเลยออกเช็คฉบับหลังชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์หนี้ตามเช็คพิพาทระงับสิ้นไปก็ต่อเมื่อเช็คฉบับหลังได้ใช้เงินแล้วแต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า เช็คฉบับหลังถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเท่ากับไม่มีการใช้เงินตามเช็คฉบับหลัง มูลหนี้ตามเช็คพิพาทจึงไม่ระงับสิ้นไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3837/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องเรียกเงินตามเช็ค: ผู้ทรงเช็ค vs. ผู้สลักหลัง
เช็คพิพาทจำเลยสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ ย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กันตาม ป.พ.พ.มาตรา 918, 989 การที่โจทก์สลักหลังเช็คพิพาทแล้วนำไปขายลดให้แก่ธนาคารย่อมเป็นเพียงประกัน(อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่ายตาม ป.พ.พ. มาตรา 921, 989 เมื่อเช็คพิพาทเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์ได้ชำระเงินให้แก่ธนาคารและเข้าถือเอาเช็คนั้นกลับคืนมา โจทก์ย่อมเป็นผู้ทรงตาม ป.พ.พ. มาตรา904 จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองผู้สั่งจ่ายภายในอายุความ 1 ปี นับแต่วันเช็คถึงกำหนดตาม ป.พ.พ.มาตรา 1002 กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 1003 ซึ่งมีอายุความ 6 เดือน นับแต่วันที่ผู้สลักหลังเข้าถือเอาตั๋วเงินและใช้เงิน เพราะโจทก์มิใช่ผู้สลักหลัง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3837/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องเช็ค: ผู้ทรงเช็ค (จากผู้ประกัน) มีสิทธิฟ้องภายใน 1 ปีนับจากเช็คถึงกำหนด
เช็คพิพาทจำเลยสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ ย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 918,989 การที่โจทก์สลักหลังเช็คพิพาทแล้วนำไปขายลดให้แก่ธนาคารย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 921,989 เมื่อเช็คพิพาทเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์ได้ชำระเงินให้แก่ธนาคารและเข้าถือเอาเช็คนั้นกลับคืนมา โจทก์ย่อมเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองผู้สั่งจ่ายภายในอายุความ 1 ปี นับแต่วันเช็คถึงกำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 1003 ซึ่งมีอายุความ 6 เดือน นับแต่วันที่ผู้สลักหลังเข้าถือเอาตั๋วเงินและใช้เงิน เพราะโจทก์มิใช่ผู้สลักหลัง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3484/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คไม่มีหลักฐานกู้ยืม และข้อจำกัดการอุทธรณ์ในคดีเช็คจำนวนน้อย ศาลยกฟ้อง
เช็คฉบับที่ 2 ถึงฉบับที่ 5 สั่งจ่ายเงินไม่เกินฉบับละ5,500 บาท เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ การที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับเช็ค ฉบับที่ 2 ถึงฉบับที่ 5และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ แล้วพิพากษากลับให้ลงโทษจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง โดยมีผลทำให้ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดที่เกี่ยวกับเช็คฉบับที่ 2 ถึงฉบับที่ 5 คดีในส่วนนี้จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คือ ยกฟ้องโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์ร่วมว่า จำเลยได้ขอกู้เงินโจทก์ร่วมจำนวน 99,800 บาท โจทก์ร่วมตกลงให้กู้จำเลยได้ออกเช็ค 5 ฉบับ รวมทั้งเช็คพิพาทฉบับที่ 1 มอบให้โจทก์ร่วมพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือของจำเลยมาประกอบ เห็นได้ว่าโจทก์ร่วมให้จำเลยกู้เงินโดยมิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยผู้ยืมไว้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 653จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ดังนั้น เมื่อ พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ที่บัญญัติในภายหลังว่า การกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป จำเลยซึ่งได้กระทำการเช่นนั้นจึงพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิดตาม ป.อ. มาตรา2 วรรคสอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2834/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การออกเช็คเพื่อกู้ยืมเงิน ไม่ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค หากไม่มีหนี้เดิม
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยขอกู้ยืมเงินผู้เสียหาย โดยจำเลยออกเช็คตามฟ้องทั้ง 2 ฉบับให้ผู้เสียหาย แล้วผู้เสียหายจึงเอาเงินเท่ากับจำนวนเงินตามเช็คทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวมอบให้จำเลย แสดงให้เห็นว่า ก่อนจำเลยออกเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับให้ผู้เสียหายนั้นจำเลยกับผู้เสียหายมิได้มีหนี้ต่อกัน การออกเช็คของจำเลยจึงมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงให้ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 ซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง จำเลยจึงพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 2 วรรคสอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2781/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้อง, การชำระหนี้บางส่วน, เช็ค, สัญญาค้ำประกัน, และขอบเขตความรับผิดของลูกหนี้ร่วม
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่าฟ้องเคลือบคลุม เพราะไม่บรรยายว่าจำเลยนำเช็คไปขายลดเท่าใด ชำระแล้วเท่าใด ค้างอีกเท่าใด แต่จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์ไม่ทราบยอดหนี้ที่แน่นอน ทำให้จำเลยไม่เข้าใจสภาพแห่งข้อหา ไม่สามารถต่อสู้คดีได้ถูกต้อง อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงแตกต่างไปจากที่ให้การต่อสู้คดีไว้ และศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ใบมอบอำนาจให้ฟ้องคดี มี น. ผู้รับมอบอำนาจมาเบิกความรับรอง และยืนยันว่าได้มอบอำนาจให้ตนฟ้องคดีจริง แม้จะไม่ได้นำผู้มอบอำนาจมาเบิกความเป็นพยาน เมื่อจำเลยมิได้นำสืบหักล้างย่อมฟังได้ว่า โจทก์มอบอำนาจให้ น. ฟ้องคดีจริง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค เมื่อเช็คที่จำเลยที่ 1 นำไปขายลดเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะยึดเช็คดังกล่าวไว้เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คได้ จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายลดเช็คให้โจทก์ แต่เรียกเก็บเงินไม่ได้จำเลยที่ 1 จึงสั่งจ่ายเช็คฉบับใหม่ให้แทนเพื่อเป็นประกันเช็คที่เรียกเก็บเงินไม่ได้ โดยไม่มีข้อตกลงว่าโจทก์จะต้องคืนเช็คที่ขายลดดังนี้ การสั่งจ่ายเช็คฉบับใหม่ให้โจทก์ไป จึงมิใช่เป็นการชำระหนี้และตามพฤติการณ์ถือว่าจำเลยที่ 1 ยินยอมให้โจทก์ยึดถือเช็คที่ขายลดไว้ได้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะอ้างเหตุที่โจทก์ไม่คืนเช็คที่ทำสัญญาขายลดไว้ เพื่อปัดความรับผิดไม่ต้องชำระหนี้หาได้ไม่ การที่ น. ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง แต่หลังจากฟ้องแล้ว ทราบว่าจำเลยนำเงินมาชำระให้แก่โจทก์แต่จะเป็นจำนวนเท่าใดจำไม่ได้นั้น เป็นการเบิกความยืนยันว่าขณะโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นหนี้อยู่ตามฟ้อง เมื่อฟ้องแล้วหนี้ได้ลดลงเพราะได้มีการชำระหนี้กันบางส่วน เพียงแต่จำนวนเท่าใดจำไม่ได้เท่านั้น ทางพิจารณาจึงไม่ต่างกับฟ้อง แม้จำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันจะมิได้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาเรื่องจำนวนเงินที่ตนจะต้องรับผิด เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 3ได้ทำสัญญาค้ำประกันร่วมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในวงเงิน 2,000,000บาท และอุปกรณ์แห่งหนี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 3 ด้วย เพราะเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) ประกอบ 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 269/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมการบริษัทไม่ต้องรับผิดในเช็คที่สั่งจ่ายเพื่อประโยชน์บริษัท แม้มีการผิดพลาดในการจ่ายเงิน
เมื่อโจทก์จ่ายเงินตามเช็คที่จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายในฐานะกรรมการบริษัท ค.ให้เจ้าหนี้บริษัท ค. เป็นการสมประโยชน์ของบริษัท ค. แล้ว แม้โจทก์จะหักเงินมาชำระตามเช็คผิดบัญชี ก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับบริษัท ค. กรณีไม่อาจถือได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นเพียงกรรมการบริษัท ค.ได้ลาภงอกจากการนั้น เงินซึ่งโจทก์ได้จ่ายตามเช็ค ไม่ใช่ลาภมิควรได้สำหรับจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 406 โจทก์เรียกคืนจากจำเลยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 269/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจ่ายเช็คผิดเงื่อนไขและลาภมิควรได้: โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกคืนเงินจากกรรมการบริษัท
บริษัท ค. เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ 1135ไว้ต่อโจทก์ มีเงื่อนไขว่าจำเลยร่วมกับ ส. ลงชื่อพร้อมประทับตราของบริษัทเบิกเงินได้ และจำเลยเปิดบัญชีออมทรัพย์เลขที่ 7603 มีเงื่อนไขว่า ถ้าหากเงินในบัญชีเลขที่ 1135 มีไม่พอจ่ายให้โอนเงินจากบัญชีเลขที่ 7603 ได้ ต่อมาโจทก์ได้จ่ายเงินจำนวน 30,000 บาท แก่ผู้ถือเช็คซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของบริษัท ค. ที่สั่งจ่ายเงินจากบัญชีเลขที่ 1135 ไปแต่เงินในบัญชีไม่พอจ่าย โจทก์ได้หักเงินจากบัญชีของผู้อื่นผิดไปและได้ชดใช้เงินให้ผู้นั้นแล้ว การที่โจทก์จ่ายเงินตามเช็คซึ่งมีตรา บริษัท ค. ประทับคู่กับลายมือชื่อจำเลยกรรมการเป็นผู้สั่งจ่ายเพื่อประโยชน์ของบริษัท ค. แต่ผิดเงื่อนไข จึงไม่ชอบ โจทก์จะมีอำนาจหักเงินจากบัญชีเลขที่ 1135หรือไม่ เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับบริษัท ค. ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยได้ลาภงอกจากการนั้น เงินจำนวน 30,000 บาท จึงไม่ใช่ลาภมิควรได้สำหรับจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406เรียกคืนจากจำเลยไม่ได้
of 187