คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลชั้นต้น

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 926 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1168/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ข้อเท็จจริงขัดต่อข้อจำกัดเรื่องทุนทรัพย์ ศาลยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทำละเมิดโดยปล่อยกระบือของจำเลยให้ขวิดกระบือของโจทก์ขาหักในวันที่ 17 ตุลาคม 2517 ตรงตามที่กล่าวในฟ้อง จำเลยอุทธรณ์อ้างว่าวันเกิดเหตุทำละเมิดเป็นวันอื่นนอกเหนือจากที่ศาลชั้นต้นฟังมา ข้อเท็จจริงจึงต่างกับฟ้อง จำเลยไม่ต้องรับผิดนั้น เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2728/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลให้งดสืบพยานและอำนาจฟ้อง: การที่จำเลยไม่โต้แย้งคำสั่งศาลทันที ทำให้เสียสิทธิอุทธรณ์ และโจทก์มีอำนาจฟ้อง
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานของคู่ความเมื่อสืบตัวโจทก์ยังไม่จบ แล้วสอบถามข้อเท็จจริงจากคู่ความและพิพากษาคดีโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ได้ความ ถือไม่ได้ว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ซึ่งถือว่าไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 227 คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226 และระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานถึงวันนัดฟังคำพิพากษาจำเลยมีโอกาสโต้แย้งคำสั่งได้ (มีคำสั่งวันที่ 23 พฤษภาคม 2518 นัดฟังคำพิพากษา 30 พฤษภาคม 2518) แต่หาได้โต้แย้งไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนี้ได้
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ที่จำเลยปลูกเล้าไก่คือที่พิพาท ที่พิพาทเป็นของโจทก์ร่วม โจทก์เช่าที่พิพาทจากโจทก์ร่วม ดังนั้น แม้โจทก์จะยังไม่ได้ครอบครองที่พิพาทแต่โจทก์ได้เรียกโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมแล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2707/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาห้ามวินิจฉัยข้อเท็จจริงต่างจากศาลชั้นต้น และความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารสิทธิ
เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานรับของโจรมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานลักทรัพย์ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา334 จำคุก 1 ปี คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2517 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่เก็บเงินและได้ออกจากงานไปแล้วก่อนเกิดเหตุ ได้ไปเรียกเก็บเงินค่าหนังสือพิมพ์จากลูกค้าของผู้เสียหายโดยจำเลยที่ 1 กรอกข้อความในใบเสร็จรับเงิน และลงชื่อเป็นผู้รับเงิน ลูกค้าของผู้เสียหายหลงเชื่อจึงมอบเงินให้ไป เป็นการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ลูกค้าและผู้เสียหาย เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิเพราะใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานแห่งการระงับซึ่งสิทธิ และเมื่อจำเลยที่ 1 ใช้เอกสารสิทธิปลอมดังกล่าวโดยมอบให้แก่ลูกค้าของผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2013/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษจำเลยในคดียาเสพติด: ศาลฎีกาเคารพขอบเขตคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอโทษหนักกว่า
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีและจำหน่ายเฮโรอีนคนละจำนวนอันเป็นความผิดหลายกระทง ซึ่งตามกฎหมายต้องเรียงกระทงลงโทษ แต่ศาลชั้นต้นกลับพิพากษาวางบทลงโทษรวมกันมาให้จำคุกจำเลย 5 ปี เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งเป็นจำคุก 7 ปี 6 เดือน เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลย ศาลฎีกาจึงจะลงโทษจำเลยหนักกว่าที่ศาลชั้นต้นลงโทษไว้มิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1547/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงเดิมตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย หากไม่ปฏิบัติตามฎีกายกคำพิพากษาได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย มิได้อุทธรณ์โต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาแต่ประการใด ฉะนั้น ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์นั้น ศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนดังที่บัญญัติไว้ ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 194 การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงใหม่ โดยมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์เลยนั้นจึงมิชอบและแม้โจทก์จะมิได้ฎีกาในเรื่องนี้ก็ตาม แต่เมื่อเป็นปัญหาเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยอุทธรณ์ ศาลฎีกาก็ชอบที่จะยกขึ้นอ้างได้โดยพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาปัญหาข้อกฎหมายที่ จำเลยอุทธรณ์แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1458/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเสนอขอเป็นผู้จัดการมรดกเพิ่มเติมหลังศาลกำหนดประเด็นแล้ว ถือเป็นการไม่ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทำให้ฎีกาต้องห้าม
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านและขอเป็นผู้จัดการมรดกเองหรือเป็นร่วมกับผู้ร้อง แล้วผู้คัดค้านได้ขอถอนคำร้องคัดค้านนั้นโดยอ้างว่าจะไปยื่นคำร้องใหม่ เมื่อศาลอนุญาตแล้ว คำร้องคัดค้านดังกล่าวก็หมดไป ต่อมาผู้คัดค้านยื่นคำร้องเข้ามาใหม่ว่าผู้ร้องไม่สมควรเป็นผู้จัดการมรดก ศาลชั้นต้นสั่งกำหนดประเด็นไว้เพียงว่า ผู้ร้องสมควรเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่ ผู้คัดค้านมิได้คัดค้านอย่างใด จนเมื่อสืบพยานผู้ร้องไปหมดแล้ว ผู้คัดค้านจึงยื่นคำร้องคัดค้านเพิ่มเติมของเป็นผู้จัดการมรดกด้วย ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต แล้วพิพากษาตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่ตั้งประเด็นว่าผู้คัดค้านสมควรเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่นั้นไม่ชอบผู้คัดค้านมีพยานหลักฐานแสดงว่าผู้คัดค้านเป็นบุตรของผู้ร้องกับผู้ตาย ขอให้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นเรื่องนี้ด้วย และให้ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้ร้อง ศาลอุทธรณ์สั่งยกอุทธรณ์โดยเหตุที่ผู้คัดค้านมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องขอเพิ่มเติมคำคัดค้านของจำเลย หรืออุทธรณ์คัดค้านในเนื้อหาแห่งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ปัญหาที่ผู้คัดค้านขอร่วมเป็นผู้จัดการมรดกมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ผู้คัดค้านฎีกาต่อมาจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาย่อมไม่วินิจฉัยให้และยกฎีกาเสีย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 967/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องร้องเช็ค: ศาลไม่จำเป็นต้องกะประเด็นใหม่หากศาลล่างวินิจฉัยแล้วว่าไม่ขาดอายุความ
แม้ศาลชั้นต้นจะไม่ได้กะประเด็นเรื่องอายุความไว้ตามที่จำเลยให้การต่อสู้คดี แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยในประเด็นนี้แล้วว่า คดีไม่ขาดอายุความ จึงไม่มีเหตุสมควรที่ศาลฎีกาจะต้องให้ศาลชั้นต้นกะประเด็นแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 448/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์ปัญหากรรมสิทธิ์ส่วนควบที่ไม่เคยยกขึ้นสู่การพิจารณาของศาลชั้นต้น
ปัญหาที่ว่าบ้านพิพาทเป็นส่วนควบของที่ดินของผู้ร้องและพี่น้องอันจะตกเป็กรรมสิทธิ์ของผู้ร้องหรือไม่นั้น ไม่ใช่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนเพราะการที่ทรัพย์สินใดจะเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนคนใดย่อมเป็นเรื่องเฉพาะตัวของบุคคลนั้น ไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชนทั่วไป (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 941/2512) ดังนั้นหากไม่เป็นปัญหาที่ได้ยกขึ้นอ้างมาแต่ศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้เสียโดยไม่วินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 242(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2248/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่ศาลชั้นต้นส่งสำนวนคดีอาญาหลังจำเลยถอนอุทธรณ์ แม้ไม่มีการฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต จำเลยฝ่ายเดียวยื่นอุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้แล้ว ต่อมาก่อนที่ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์จำเลยได้ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้จำเลยถอนอุทธรณ์ได้ ดังนี้ ศาลชั้นต้นยังมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง และปัญหาข้อนี้แม้จะไม่มีฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2518)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 921/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาล: คำสั่งศาลชั้นต้นเรื่องอำนาจฟ้องไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาที่อุทธรณ์ไม่ได้
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลอาญาขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 และ 337 ศาลอาญาสั่งประทับฟ้องโจทก์ จำเลยยื่นคำให้การตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะคดีอยู่ในอำนาจศาลทหารตามประกาศของคณะปฏิวัติ ศาลอาญาสั่งว่า กรณีไม่ต้องด้วยประกาศของคณะปฏิวัติ คำสั่งเช่นนี้ไม่ใช่คำสั่งในประเด็นสำคัญแห่งคดีที่ว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เพียงแต่ให้นัดสืบพยานโจทก์เพื่อเริ่มการพิจารณาเท่านั้น จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196
of 93