พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,483 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4012/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาต้องพิจารณาข้อเท็จจริงก่อน หากยังไม่ชัดเจนการอนุญาตให้ขึ้นศาลฎีกาไม่ชอบ
โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันรับผิดชดใช้เงินค่าเบี้ยประกันภัยจำนวน 13,172 บาทขอให้ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ และขอให้พิพากษาให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นสามีอย่างเป็นหนี้ร่วมด้วย แต่โจทก์บรรยายฟ้องโดยมิได้แยกส่วนที่เป็นเบี้ยประกันภัยออกต่างหาก และศาลชั้นต้นพิพากษาไปตามประเด็นข้อพิพาทที่ชี้สองสถานไว้ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน1,976,386.78 บาท พร้อมดอกเบี้ยต่อโจทก์ เมื่อมีปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่าจำนวนเงินที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ชดใช้นั้นรวมเบี้ยประกันแล้วหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4012/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของมาตรา 223 ทวิ และต้องพิจารณาข้อเท็จจริงก่อน
โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2ร่วมกันรับผิดชดใช้เงินค่าเบี้ยประกันภัยจำนวน 13,172 บาทขอให้ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์และขอให้พิพากษาให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีอย่างเป็นหนี้ร่วมด้วย แต่โจทก์บรรยายฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 2,567,362.10 บาทโดยมิได้แยกส่วนที่เป็นเบี้ยประกันภัยออกต่างหากศาลชั้นต้นพิพากษาไปตามประเด็นข้อพิพาทที่ชี้สองสถานไว้ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน1,976,386.78 บาทพร้อมดอกเบี้ยต่อโจทก์ จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยก่อนว่าจำนวนเงินที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ชดใช้นั้นรวมเบี้ยประกันแล้วหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องวินิจฉัยก่อน การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4004/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่วางค่าธรรมเนียม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกลับคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสามเลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยทั้งสามกับให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 เนื่องจากโจทก์ยื่นคำขอให้ศาลสั่งว่าจำเลยที่ 2ขาดนัดยื่นคำให้การเกินกำหนด 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดยื่นคำให้การ โดยขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ จำเลยทั้งสามจึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 229
จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามจึงไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 และถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยทั้งสามเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสามจึงไม่มีสิทธิฎีกาต่อมาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามจึงไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 และถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยทั้งสามเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสามจึงไม่มีสิทธิฎีกาต่อมาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4004/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่วางค่าธรรมเนียม ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเอง
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกลับคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสามเลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยทั้งสามกับให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2เนื่องจากโจทก์ยื่นคำขอให้ศาลสั่งว่าจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การเกินกำหนด 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดยื่นคำให้การ โดยขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ จำเลยทั้งสามจึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 229
จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายการที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามจึงไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 และถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยทั้งสามเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสามจึงไม่มีสิทธิฎีกาต่อมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง
จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายการที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามจึงไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 และถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยทั้งสามเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสามจึงไม่มีสิทธิฎีกาต่อมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4004/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากมิได้วางเงินค่าธรรมเนียม ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกลับคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสามเลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยทั้งสาม กับขอให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2เนื่องจากโจทก์ยื่นคำขอให้ศาลสั่งว่าจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การเกินกำหนด 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดยื่นคำให้การ โดยขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ จำเลยทั้งสามจึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229
จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายการที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 และถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง
จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายการที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 และถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3828/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งศาลที่อนุญาตขยายเวลาการยื่นคำร้อง และการพิสูจน์ทรัพย์สินที่ชำระหนี้ได้
คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ผู้ร้องขยายระยะเวลายื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ โจทก์จะต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 226 หากโจทก์มิได้โต้แย้งไว้ก็ไม่อาจอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ เมื่อคำร้องคัดค้านของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องของผู้ร้องที่ยื่นเข้ามาเพื่อขอเฉลี่ยทรัพย์ หาใช่คำโต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการที่ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอขยายระยะเวลายื่น คำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ภายหลังจากวันครบกำหนดยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องไม่ และศาลชั้นต้นก็มีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ภายหลังจากที่โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้าน จึงไม่อาจถือว่าคำร้องคัดค้าน ของโจทก์เป็นคำโต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3679/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลเยาวชนฯ ที่ต้องห้ามตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนมีกำหนดขั้นต่ำคนละ 2 ปี ขั้นสูงคนละ 4 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา กรณีเป็นเรื่องกำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 121 เว้นแต่ (3) ถ้าเป็นกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ส่งเด็กหรือเยาวชนไปกักและอบรมตามมาตรา 105 มีกำหนดระยะเวลาขั้นสูงเกิน 3 ปี จึงจะอุทธรณ์ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ส่งจำเลยไปฝึกและอบรมขั้นต่ำ 2 ปี และขั้นสูง 4 ปี จึงมิใช่การส่งไปกักและอบรม อุทธรณ์ของจำเลยก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับกำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน ทั้งไม่ปรากฏว่ามีการอนุญาตให้อุทธรณ์ตามมาตรา 122จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้ และศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวรับพิจารณาและมีคำพิพากษาคดีจึงไม่ชอบ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ส่งจำเลยไปฝึกและอบรมขั้นต่ำ 2 ปี และขั้นสูง 4 ปี จึงมิใช่การส่งไปกักและอบรม อุทธรณ์ของจำเลยก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับกำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน ทั้งไม่ปรากฏว่ามีการอนุญาตให้อุทธรณ์ตามมาตรา 122จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้ และศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวรับพิจารณาและมีคำพิพากษาคดีจึงไม่ชอบ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3679/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คดีเยาวชนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ฝึกอบรม ต้องเป็นกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้กักและอบรมตามมาตรา 105 และมีกำหนดระยะเวลาเกิน 3 ปี
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนมีกำหนดขั้นต่ำคนละ2 ปี ขั้นสูงคนละ 4 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา กรณีเป็นเรื่องกำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 121 เว้นแต่ (3)ถ้าเป็นกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ส่งเด็กหรือเยาวชนไปกักและอบรมตามมาตรา 105 มีกำหนดระยะเวลาขั้นสูงเกิน 3 ปีจึงจะอุทธรณ์ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ส่งจำเลยไปฝึกและอบรมขั้นต่ำ 2 ปีและขั้นสูง 4 ปี จึงมิใช่การส่งไปกักและอบรม อุทธรณ์ของจำเลยก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับกำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน ทั้งไม่ปรากฏว่ามีการอนุญาตให้อุทธรณ์ตามมาตรา 122 จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้ และศาลอุทธรณ์ภาค 9แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวรับพิจารณาและมีคำพิพากษาคดีจึงไม่ชอบ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ส่งจำเลยไปฝึกและอบรมขั้นต่ำ 2 ปีและขั้นสูง 4 ปี จึงมิใช่การส่งไปกักและอบรม อุทธรณ์ของจำเลยก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับกำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน ทั้งไม่ปรากฏว่ามีการอนุญาตให้อุทธรณ์ตามมาตรา 122 จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้ และศาลอุทธรณ์ภาค 9แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวรับพิจารณาและมีคำพิพากษาคดีจึงไม่ชอบ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3679/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์และการฎีกาคดีเยาวชน: การกำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนและข้อจำกัดในการอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนมีกำหนดขั้นต่ำคนละ 2 ปี ขั้นสูงคนละ 4 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษากรณีเป็นเรื่องกำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 121เว้นแต่ (3) ถ้าเป็นกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ส่งเด็กหรือเยาวชนไปกักและอบรมตามมาตรา 105 มีกำหนดระยะเวลาขั้นสูงเกิน 3 ปีจึงจะอุทธรณ์ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ส่งจำเลยที่ 4 ไปฝึกและอบรมขั้นต่ำ 2 ปีและขั้นสูง 4 ปี มิใช่การส่งไปกักและอบรมตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯมาตรา 121(3) ข้อยกเว้นดังกล่าว ในส่วนอุทธรณ์ของจำเลยก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับกำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน ทั้งไม่ปรากฏว่ามีการ อนุญาตให้อุทธรณ์ตามมาตรา 122 จึงต้องห้ามมิให้จำเลยอุทธรณ์ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้ และศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวรับพิจารณาและมีคำพิพากษาคดีจึงไม่ชอบ จำเลยที่ 4 ย่อมไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ส่งจำเลยที่ 4 ไปฝึกและอบรมขั้นต่ำ 2 ปีและขั้นสูง 4 ปี มิใช่การส่งไปกักและอบรมตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯมาตรา 121(3) ข้อยกเว้นดังกล่าว ในส่วนอุทธรณ์ของจำเลยก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับกำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน ทั้งไม่ปรากฏว่ามีการ อนุญาตให้อุทธรณ์ตามมาตรา 122 จึงต้องห้ามมิให้จำเลยอุทธรณ์ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้ และศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวรับพิจารณาและมีคำพิพากษาคดีจึงไม่ชอบ จำเลยที่ 4 ย่อมไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3598/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ต้องวางค่าฤชาธรรมเนียมและปฏิบัติตามเงื่อนไขก่อน ศาลไม่ต้องมีคำสั่ง
การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234 แม้เป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่ง ผู้อุทธรณ์ก็ต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล ทั้งยังเป็นหน้าที่ของผู้อุทธรณ์ ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าว โดยศาลชั้นต้นไม่จำต้องมีคำสั่งให้ปฏิบัติก่อน คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ เพราะเหตุที่ผู้อุทธรณ์ไม่ปฏิบัติตามบทกฎหมายดังกล่าวชอบแล้ว