พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,077 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6898/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงเจตนาทำสัญญาหลังผู้มอบอำนาจเสียชีวิต และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 264, 265, 268 วรรคสอง, 341 เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดจำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 264 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 จำคุก 6 เดือน คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 219
จำเลยที่ 2 และผู้เสียหายทราบแล้วว่า ย.ถึงแก่ความตายแต่จำเลยที่ 2 ยังนำหนังสือมอบอำนาจซึ่งยังมิได้กรอกข้อความคงมีแต่ลายพิมพ์นิ้วมือของ ย.ในช่องผู้มอบอำนาจเรียบร้อยแล้วมาบอกให้ ส. กรอกข้อความ ส.กรอกข้อความว่า ย.มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ขายที่ดินแทน การกระทำของจำเลยที่ 2เป็นการกระทำโดยพลการ เพื่อให้จำเลยที่ 1 นำหนังสือมอบอำนาจไปใช้ในการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับผู้เสียหาย แม้เป็นการกระทำที่ตรงกับความประสงค์ของย.ก็ตาม แต่การมอบอำนาจยังไม่สมบูรณ์ เมื่อผู้มอบอำนาจถึงแก่ความตาย การมอบอำนาจก็สิ้นผล แต่จำเลยที่ 2 กลับทำให้การมอบอำนาจซึ่งยังมิได้เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ ดูเสมือนเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ด้วยการกรอกข้อความ การกระทำดังกล่าวแม้ผู้เสียหายจะไม่เสียหายแต่ก็อาจเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชนดังนี้การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 264 วรรคสอง
จำเลยที่ 2 และผู้เสียหายทราบแล้วว่า ย.ถึงแก่ความตายแต่จำเลยที่ 2 ยังนำหนังสือมอบอำนาจซึ่งยังมิได้กรอกข้อความคงมีแต่ลายพิมพ์นิ้วมือของ ย.ในช่องผู้มอบอำนาจเรียบร้อยแล้วมาบอกให้ ส. กรอกข้อความ ส.กรอกข้อความว่า ย.มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ขายที่ดินแทน การกระทำของจำเลยที่ 2เป็นการกระทำโดยพลการ เพื่อให้จำเลยที่ 1 นำหนังสือมอบอำนาจไปใช้ในการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับผู้เสียหาย แม้เป็นการกระทำที่ตรงกับความประสงค์ของย.ก็ตาม แต่การมอบอำนาจยังไม่สมบูรณ์ เมื่อผู้มอบอำนาจถึงแก่ความตาย การมอบอำนาจก็สิ้นผล แต่จำเลยที่ 2 กลับทำให้การมอบอำนาจซึ่งยังมิได้เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ ดูเสมือนเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ด้วยการกรอกข้อความ การกระทำดังกล่าวแม้ผู้เสียหายจะไม่เสียหายแต่ก็อาจเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชนดังนี้การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 264 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6898/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกรอกเอกสารมอบอำนาจหลังผู้มอบอำนาจเสียชีวิต และเจตนาในการใช้เอกสารนั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่2มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา264,265,268วรรคสอง,341เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา268วรรคสองซึ่งเป็นบทหนักที่สุดจำคุก2ปีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่2มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา264วรรคสองประกอบมาตรา83จำคุก6เดือนคดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา219 จำเลยที่2และผู้เสียหายทราบแล้วว่าย. ถึงแก่ความตายแต่จำเลยที่2ยังนำหนังสือมอบอำนาจซึ่งยังมิได้กรอกข้อความคงมีแต่ลายพิมพ์นิ้วมือของย. ในช่องผู้มอบอำนาจเรียบร้อยแล้วมาบอกให้ส. กรอกข้อความส. กรอกข้อความว่าย. มอบอำนาจให้จำเลยที่1ขายที่ดินแทนการกระทำของจำเลยที่2เป็นการกระทำโดยพลการเพื่อให้จำเลยที่1นำหนังสือมอบอำนาจไปใช้ในการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับผู้เสียหายแม้เป็นการกระทำที่ตรงกับความประสงค์ของย. ก็ตามแต่การมอบอำนาจยังไม่สมบูรณ์เมื่อผู้มอบอำนาจถึงแก่ความตายการมอบอำนาจก็สิ้นผลแต่จำเลยที่2กลับทำให้การมอบอำนาจซึ่งยังมิได้เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ดูเสมือนเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ด้วยการกรอกข้อความการกระทำดังกล่าวแม้ผู้เสียหายจะไม่เสียหายแต่ก็อาจเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชนดังนี้การกระทำของจำเลยที่2จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา264วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 687/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายต่อเนื่องจากการวิวาท การป้องกันตัว และเจตนาในการกระทำความผิด ศาลลดโทษตามอายุและให้รอการลงโทษ
ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมิได้สมัครใจวิวาทกับผู้เสียหายนั้นเมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยสมัครใจวิวาทกับผู้เสียหายจำเลยมิได้อุทธรณ์ปัญหาข้อนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นฎีกาของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นมาว่ากันมาแล้วแต่ในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา15 หลังจากวิวาทชกต่อยกันแล้วผู้เสียหายได้วิ่งไล่ตามและเข้าไปชกต่อยจำเลยในร้านของป. อีกจำเลยจึงแทงเอาอันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในการวิวาทกันนั่นเองหาใช่การวิวาทได้ขาดตอนลงแล้วไม่จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยแทงผู้เสียหายขณะผู้เสียหายปล้ำชกต่อยจำเลยจำเลยย่อมไม่มีโอกาสเลือกแทงเนื่องจากเป็นระยะประชิดตัวอาวุธที่ใช้ก็เป็นเพียงเหล็กกลมปลายแบนด้านหนึ่งที่ใช้แทนไขควงไม่มีความแหลมคมเหมือนมีดปลายแหลมบาดแผลเป็นเพียงบาดแผลฉีดขาดขอบเรียบแพทย์ผู้ตรวจรักษาลงความเห็นว่าบาดแผลจะหายได้ภายในเวลาประมาณ10วันเท่านั้นแสดงว่าจำเลยแทงผู้เสียหายไม่รุนแรงมากนักเมื่อแทงแล้วก็ผลักผู้เสียหายล้มแล้ววิ่งหนีไปโดยไม่แทงซ้ำอีกพฤติการณ์แห่งคดีเห็นได้ชัดเจนว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายมีเพียงเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา295เท่านั้นซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในข้อหานี้ตามที่พิจารณาได้ความมาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6405/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพรากผู้เยาว์: เจตนาและความสำคัญของอายุผู้เสียหาย
จำเลยสำคัญผิดโดยเข้าใจว่าผู้เสียหายอายุ 17 ปี ย่อมมีผลให้จำเลยไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าผู้เสียหายอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยไม่รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงถือว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดฐานนี้ ตาม ป.อ.มาตรา 59 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6352/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนที่ดินโดยปราศจากอำนาจและเจตนาที่แท้จริง ถือเป็นเอกสารปลอม สิทธิยังเป็นของเจ้าของเดิม
โจทก์เป็นหนี้จำเลยที่ 1 จำนวนหนึ่ง จึงมอบ น.ส.3ของที่ดินพิพาทและลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1ยึดถือไว้ แต่ก็ได้แสดงความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและไม่เคยมอบอำนาจให้ผู้ใดขายที่ดินพิพาท การที่มีการกรอกข้อความในหนังสือ มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3จึงเป็นการกรอกข้อความโดยปราศจากอำนาจและเป็นเอกสารปลอม ต้องถือว่านิติกรรมซื้อขายมิได้เกิดขึ้น สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ยังเป็นของโจทก์ประกอบกับสามีจำเลยที่ 1 เป็นพี่เขย ของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 เป็นสามีของจำเลยที่ 3 ย่อม รู้ว่าโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้ขายที่ดินพิพาท ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 รับโอนที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริตจึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6293/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: ทำไม้ในเขตป่าสงวน ความผิดต่อเนื่องเจตนาเดียว
แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยลักทรัพย์และทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติเป็นสองกรรมแยกต่างหากจากกัน แต่เมื่ออ่านรวมกันแล้วได้ความว่าจำเลยเข้าไปตัดต้นยูคาลิปตัสในเขตป่าสงวนแห่งชาติจำนวน 38 ต้น แล้วทอนออกเป็นท่อนได้ 250 ท่อน และใช้รถยนต์บรรทุกออกจากป่าไปในวันเวลาเดียวกันไม้ที่จำเลยตัดฟันและลักเอาไปจึงเป็นไม้จำนวนเดียวกัน และได้กระทำคราวเดียวพร้อมกันต่อเนื่องกันไปโดยมีเจตนาเพียงเพื่อประสงค์ต้องการไม้เท่านั้น จึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ. มาตรา 90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 621/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานบุกรุก: เจตนาสำคัญ หากเข้าใจผิดโดยสุจริตว่าเป็นการรักษาผลประโยชน์ของราชการ ย่อมไม่มีความผิด
แม้จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันใช้ให้ ว. นำป้ายซึ่งมีข้อความว่า"สถานที่ราชการห้ามบุกรุกโดยเด็ดขาด"เข้าไปติดไว้ที่ศาลาร้างซึ่งอยู่ในที่ดินพิพาทก็ตามแต่จำเลยทั้งสามซึ่งรับราชการในกระทรวงศึกษาธิการหลงเข้าใจโดยสุจริตคิดว่าบริเวณที่เกิดเหตุเป็นของโรงเรียนบ้าน เกาะบูโหลนในสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสตูลโดยจำเลยทั้งสามเชื่อว่าโจทก์ทั้งสี่ปักแนวรั้วบุกรุกที่ดินของโรงเรียนการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการรักษาผลประโยชน์ของทางราชการจึงขาดเจตนาที่จะถือการครอบครองหรือรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยปกติสุขอันจะเป็นความผิดฐานบุกรุกจำเลยทั้งสามย่อมไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา362,365(2),83
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5987/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักกลบลบหนี้และการกระทำโดยทุจริตตาม พ.ร.บ. เช็ค: การที่โจทก์รับรู้หนี้ของคู่กรณีทำให้จำเลยไม่มีเจตนาทุจริต
จำเลยทั้งสองห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คโดยเข้าใจว่ามีสิทธิหักกลบลบหนี้กับห้างหุ้นส่วนจำกัดท.เนื่องจากโจทก์มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องรับรู้หนี้ที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดท.จะต้องชดใช้ให้แก่จำเลยทั้งสองดังนี้ย่อมมิใช่เป็นการกระทำโดยทุจริตจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯมาตรา4(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 590/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รับของโจร: พฤติการณ์ช่วยเหลือพาข้ามแดน-รับเงิน จี้ความรู้เจตนาจากเหตุแวดล้อม
การกระทำความผิดฐานรับของโจรนั้นเป็นการยากที่จะนำสืบด้วยประจักษ์พยาน จึงจำเป็นต้องอาศัยเหตุผลจากกรณีแวดล้อมและพิรุธแห่งการกระทำการที่จำเลยที่1ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ด่านทหารไทยและทหาร กัมพูชาแล้วพาคนร้ายนำรถยนต์บรรทุกสิบล้อข้ามแดนไปขายในประเทศ กัมพูชาโดยไม่มีการจดทะเบียนและต้องจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ด่านชี้ให้เห็นว่าจำเลยที่1รู้อยู่แล้วว่ารถยนต์บรรทุกสิบล้อที่จำเลยที่1ช่วยพาไปจำหน่ายนั้นเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดการกระทำของจำเลยที่1จึงเป็นความผิดฐานรับ ของโจร แม้คำให้การในชั้นสอบสวนจะเป็น พยานบอกเล่า แต่ไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนบันทึกคำให้การของ ส. ไว้โดยไม่ถูกต้องและคำให้การของผู้รู้เห็นเหตุการณ์ในชั้นสอบสวนก็ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังประกอบพยานอื่นทั้งได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนหลังเกิดเหตุเพียง5วันคำให้การชั้นสอบสวนของ ส. จึงมีน้ำหนักรับฟังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5758/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำมั่นจะซื้อขาย+สัญญาเช่า: การโอนที่ดินติดจำนอง-สิทธิค่าเช่า-เจตนาไม่ติดจำนอง
ตามสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยระบุว่าหากผู้เช่าประสงค์จะซื้อที่ดินแปลงที่เช่านี้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเวลาใดที่สัญญาเช่านี้ยังมีผลบังคับผู้ให้เช่ายินยอมขายที่ดินดังกล่าวให้ผู้เช่าในราคายุติธรรมซึ่งจะได้เจรจาทำความตกลงกันแต่ราคาที่ดินตามโฉนดทั้งแปลงต้องไม่สูงกว่ายี่สิบห้าล้านบาทถ้วนและสัญญาให้ใช้สิทธิเหนือพื้นดินระหว่างโจทก์จำเลยระบุว่าหากผู้ใช้ประสงค์จะซื้อที่ดินแปลงทำสัญญานี้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเวลาใดที่สัญญานี้ยังมีผลบังคับผู้ให้เช่ายินยอมขายที่ดินดังกล่าวให้ผู้ใช้ในราคายุติธรรมซึ่งจะได้เจรจาทำความตกลงกันแต่ราคาที่ดินจะต้องเป็นไปตามสัญญาเช่าที่ดินข้อความดังกล่าวมีลักษณะเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวที่จำเลยได้แสดงเจตนาผูกมัดตนเองว่าจะขายที่พิพาทกันให้แก่โจทก์การแสดงเจตนาของจำเลยดังกล่าวมีลักษณะแน่นอนไม่มีเงื่อนไขหรือทางเลือกสำหรับจำเลยที่จะบิดพลิ้วไม่ปฏิบัติตามเจตนาที่แสดงไว้จึงมีผลเป็นคำมั่นผูกพันจำเลยที่จะต้องขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ในราคาไม่สูงกว่า25,000,000บาทเมื่อโจทก์แสดงเจตนาจะซื้อที่พิพาทไปถึงจำเลยจึงก่อให้เกิดเป็นสัญญาผูกพันจำเลยที่จะต้องขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา456วรรคสองเมื่อจำเลยผิดสัญญาโจทก์จึงมีสิทธิขอให้บังคับจำเลยโอนขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ได้ แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่าสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจะซื้อจะขายแต่โจทก์ก็ได้แนบสัญญาดังกล่าวมาท้ายฟ้องซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องและในชั้นชี้สองสถานศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทด้วยว่าจำเลยต้องผูกพันตามสัญญาเช่าและสัญญาให้ใช้สิทธิเหนือพื้นดินในอันที่จะต้องขายที่ดินให้แก่โจทก์หรือไม่เพียงใดการที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยถูกผูกพันที่จะต้องขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาดังกล่าวเพราะสัญญาดังกล่าวเป็นคำมั่นของจำเลยที่จะขายที่พิพาทให้แก่โจทก์จึงหาใช่เป็นการพิพากษานอกเหนือคำฟ้องไม่ เมื่อสัญญาเช่าและสัญญาให้ใช้สิทธิเหนือพื้นดินระหว่างโจทก์จำเลยเป็นคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา456วรรคสองและโจทก์ก็ได้แสดงเจตนาจะซื้อที่พิพาทไปถึงจำเลยเป็นผลให้เกิดสัญญาผูกพันจำเลยที่จะต้องโอนขายที่พิพาทให้แก่โจทก์และเมื่อกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโอนไปเป็นของโจทก์แล้วโจทก์ย่อมรับโอนไปทั้งสิทธิและหน้าที่ซึ่งรวมทั้งสิทธิที่จะเก็บค่าเช่าด้วยบุคคลหาอาจเป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ของตนเองได้ไม่กรณีเช่นนี้กฎหมายให้ถือว่าหนี้เป็นอันระงับด้วยเกลื่อนกลืนกันไปตามมาตรา353โดยโจทก์และจำเลยไม่ต้องมีการตกลงกันหรือแสดงเจตนาต่อกันเมื่อคำมั่นในการซื้อขายเกิดเป็นสัญญาและสิทธิจะเก็บค่าเช่าจากที่พิพาทของจำเลยระงับแล้วจึงไม่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าคำมั่นในการซื้อขายขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา569และตกเป็นโมฆะ คำมั่นจะขายที่ดินพิพาทกำหนดราคาซื้อขายกัน25,000,000บาทโดยไม่มีข้อความระบุว่าการจดทะเบียนการโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์จะต้องติดจำนองไปด้วยหรือไม่ดังนั้นการที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์จำเลยมีข้อตกลงให้โอนที่พิพาทโดยไม่ติดจำนองจึงเป็นการนำสืบว่ามีข้อตกลงในเรื่องการโอนที่พิพาทต่างหากจากคำมั่นจะขายอีกส่วนหนึ่งถือไม่ได้ว่าเป็นการนำสืบพยานบุคคลเพื่อเพิ่มเติมหรือแก้ไขคำมั่นจะซื้อขายที่พิพาท