พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,822 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 439/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทนายความทอดทิ้งคดี ทำให้ลูกความเสียหาย มีหน้าที่รับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
แม้พระราชบัญญัติทนายความพ.ศ.2528จะได้บัญญัติถึงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการมรรยาททนายความไว้โดยเฉพาะแล้วแต่ก็มิได้บัญญัติห้ามศาลที่จะวินิจฉัยว่าทนายความผู้มีพฤติกรรมที่ขัดต่อมรรยาททนายความตามข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความพ.ศ.2529เป็นผู้ประพฤติผิดมรรยาททนายความเพื่อวินิจฉัยความรับผิดทางแพ่งในกรณีละเมิดการที่ศาลอุทธรณ์ภาค3เห็นว่าจำเลยทั้งสองประพฤติผิดข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความพ.ศ.2529หมวดข้อ3ข้อ12(1)ศาลอุทธรณ์ภาค3ก็มีอำนาจที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการประพฤติผิดมรรยาททนายความอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ไม่เป็นการก้าวล่วงอำนาจของคณะกรรมการมรรยาททนายความของสภาทนายความ แม้จำเลยทั้งสองจะเป็นลูกจ้างของบริษัทป. และรับเข้าเป็นทนายความแก้ต่างให้โจทก์ในคดีแพ่งในฐานะลูกจ้างของบริษัทบ.ก็ตามแต่การที่โจทก์ลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายความแต่งตั้งให้จำเลยทั้งสองเป็นทนายความแก้ต่างให้คดีแพ่งดังกล่าวโดยนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา60วรรคหนึ่งถือได้ว่าโจทก์ได้แต่งตั้งจำเลยทั้งสองเป็นทนายความว่าความให้แล้วจำเลยทั้งสองมีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาคดีแทนโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา62เมื่อจำเลยทั้งสองทอดทิ้งคดีของโจทก์ทำให้โจทก์ตกเป็นผู้แพ้คดีโดยความผิดของจำเลยทั้งสองโจทก์ก็มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายเอาจากจำเลยทั้งสองได้ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค3มีอำนาจวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองประพฤติผิดมรรยาททนายความฐานทอดทิ้งคดีทำให้โจทก์เสียหายการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์เมื่อโจทก์ได้รับความเสียหายศาลอุทธรณ์ภาค3ก็ชอบที่จะพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ได้ไม่เป็นนอกฟ้องนอกประเด็น จำเลยทั้งสองตกลงรับเป็นทนายความของโจทก์ตามคำรับเป็นทนายความเมื่อจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดหรือทอดทิ้งคดีทำให้เสื่อมเสียประโยชน์ของโจทก์ผู้เป็นลูกความของจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์อยู่แล้วที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าการที่ศาลอุทธรณ์ภาค3วินิจฉัยว่าการทอดทิ้งคดีของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ไม่สามารถฟ้องไล่เบี้ยเอาจากบริษัทบ.ผู้รับประกันภัยได้เพราะบริษัทดังกล่าวได้ถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยไปแล้วโจทก์จึงได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยทั้งสองโดยตรงเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบเพราะผู้เอาประกันภัยรถยนต์ในคดีแพ่งคือห้างหุ้นส่วนจำกัดว. ไม่ใช่โจทก์โจทก์จึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับบริษัทบ.นั้นฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรจะได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งเพราะไม่อาจทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4366/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผิดสัญญาซื้อขายรถยนต์ และอายุความฟ้องเรียกค่าเสียหาย กรณีผู้ขายไม่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
การที่จำเลยนำรถยนต์มาขายให้แก่โจทก์ทั้งสองเท่ากับว่าจำเลยผู้ขายได้รับรองโดยปริยายแก่โจทก์ทั้งสองว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่นำมาขายเมื่อปรากฏว่าจำเลยไม่มีและไม่อาจโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ให้แก่โจทก์ทั้งสองได้จึงเป็นการผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ทั้งสองเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายเนื่องจากต้องชำระเงินคืนให้แก่ผู้ซื้อรถยนต์คันดังกล่าวไปจากโจทก์ทั้งสองโจทก์ทั้งสองย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยได้หาใช่การฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธิอันมีอายุความ3เดือนตามมาตรา481แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่การฟ้องคดีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความทั่วไป10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา164เดิม(มาตรา193/30ที่ตรวจชำระใหม่)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4265/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อ, การผิดนัดชำระ, ค่าเสียหาย, อายุความ, การประมูลทรัพย์
การที่โจทก์รับเงินค่าภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อรถยนต์แล้วนำไปจ่ายให้แก่รัฐเป็นการปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการเท่านั้นดังนั้นภาษีมูลค่าเพิ่มจึงไม่เป็นส่วนหนึ่งของราคารถยนต์ที่ประมูลขายได้ ในสัญญาเช่าซื้อมีข้อสัญญาว่าจำเลยที่1ต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่งซึ่งเมื่อรวมกับจำนวนที่จ่ายเป็นค่าเช่าซื้อแล้วจะเท่ากับครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินทั้งหมดที่จะต้องจ่ายถ้าหากว่าการเช่าซื้อดำเนินต่อไปตลอดระยะเวลาแห่งสัญญานั้นข้อตกลงเช่นนี้เป็นข้อกำหนดค่าตอบแทนการใช้ทรัพย์ไว้ล่วงหน้ากรณีเลิกสัญญาเป็นการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับและในกรณีฟ้องเรียกราคารถยนต์เช่าซื้อที่ยังขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อเช่นนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา190/30
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4265/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อ, ค่าเสียหาย, เบี้ยปรับ, อายุความ, ดอกเบี้ย - การกำหนดค่าเสียหายที่เหมาะสมและอายุความ
จำเลยเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์แต่ผิดสัญญาโจทก์ยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อออกประมูลขายไปตามใบเสร็จรับเงินซึ่งระบุว่าค่าประมูลรถยนต์365,000บาทภาษีมูลค่าเพิ่ม25,550บาทยอมรวม390,550บาทเมื่อปรากฏว่าโจทก์กับจำเลยที่1ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ตามฟ้องกันเมื่อวันที่14กันยายน2533ก่อนที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร(ฉบับที่30)พ.ศ.2534ซึ่งเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มจะใช้บังคับการที่โจทก์ได้รับเงินค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม25,550บาทจากผู้ซื้อนำไปจ่ายให้แก่รัฐเป็นการปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการเท่านั้นภาษีมูลค่าเพิ่ม25,550บาทจึงถือไม่ได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของราคารถยนต์ที่ประมูลขายได้ ข้อสัญญาที่ว่าผู้เช่าซื้อต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่งซึ่งเมื่อรวมกับจำนวนที่จ่ายเป็นค่าเช่าซื้อแล้วจะเท่ากับครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินทั้งหมดที่จะต้องจ่ายถ้าหากว่าการเช่าซื้อดำเนินต่อไปตลอดระยะเวลาแห่งสัญญานั้นข้อตกลงเช่นนี้เป็นข้อกำหนดค่าตอบแทนการใช้แทนการใช้ทรัพย์ไว้ล่วงหน้ากรณีเลิกสัญญาเป็นการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับและในกรณีฟ้องเรียกราคารถยนต์เช่าซื้อที่ยังขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อเช่นนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา190/30มิใช่อายุความหกเดือนตามมาตรา563 ราคารถยนต์ที่เช่าซื้อที่ยังขาดอยู่ค่าติดตามยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนและค่าใช้ทรัพย์หรือค่าขาดประโยชน์มิใช่เงินอื่นใดที่ค้างชำระตามสัญญาเช่าซื้อโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้ใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15ต่อปีตามที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้อโจทก์คงมีสิทธิเรียกร้องให้ใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5ต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา224เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4263/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากประกันภัย: เพียงพอต่อการเข้าใจถึงความรับผิดของผู้รับประกันภัย แม้ไม่ได้ระบุรายละเอียดนิติสัมพันธ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถบรรทุกซึ่งได้ประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 2 ชนกับรถบรรทุกของโจทก์โดยประมาท เป็นเหตุให้รถบรรทุกของโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยทั้งสองต้องร่วมรับผิดในความเสียหายดังกล่าว โดยจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัย แม้ตามคำฟ้องจะมิได้กล่าวถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้เอาประกันภัยก็ตาม แต่ในบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารท้ายคำฟ้องมีข้อความระบุว่า ในเบื้องต้นผู้รับประกันภัยรถของทั้งสองฝ่ายมารับรู้ โดยผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกซึ่งมีจำเลยที่ 1เป็นคนขับยินดีเป็นฝ่ายรับผิดชอบในค่าเสียหายเนื่องจากความประมาทของผู้ขับรถและนัดหมายให้ไปรับเงินกับจำเลยที่ 2 เป็นการเพียงพอที่จะทำให้เข้าใจได้แล้วว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยรถบรรทุกคันที่จำเลยที่ 2 ได้รับประกันภัย จึงไม่จำเป็นต้องบรรยายว่า จำเลยที่ 2 ได้รับประกันภัยจากผู้ใด และผู้ใดเป็นผู้เอาประกันภัย หรือจำเลยที่ 1 ผู้ขับรถบรรทุกคันที่ประกันภัยนั้นมีนิติสัมพันธ์อย่างใดกับผู้เอาประกัน เพราะเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถจะนำสืบในชั้นพิจารณาต่อไป ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นข้อพิพาทจำกัด ผลกระทบต่อการเรียกร้องค่าเสียหาย และดอกเบี้ยจากสัญญาประกันภัย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยตกลงกับโจทก์ว่า จะจัดซ่อมรถให้เสร็จภายใน 20 วัน นับแต่วันเกิดเหตุ แต่จำเลยซ่อมไม่เสร็จ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาการซ่อม และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การต่อสู้ว่าได้ทำการซ่อมรถยนต์ให้เป็นที่เรียบร้อยใช้การได้ดีเหมือนเดิม เป็นการปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญากรมธรรม์ประกันภัยครบถ้วน ไม่ได้ผิดสัญญา ซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้เฉพาะว่า จำเลยได้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย โดยไม่จัดซ่อมรถคันพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่เท่านั้น มิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยผิดสัญญาไม่ซ่อมรถให้เสร็จภายใน 20 วัน นับแต่วันเกิดเหตุตามที่ตกลงกับโจทก์ไว้ด้วยคำสั่งของศาลชั้นต้นในการชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์มิได้โต้แย้งไว้ ประเด็นข้อพิพาทจึงยุติตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 เมื่อไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยผิดสัญญาซ่อมรถกับโจทก์หรือไม่จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนที่เกี่ยวกับค่ารถแท็กซี่ที่โจทก์ฟ้องเรียกโดยอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถ
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาประกันภัย มิใช่เป็นการฟ้องในมูลละเมิด โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยนับแต่วันเกิดเหตุ เมื่อจำเลยผิดสัญญาประกันภัย และเป็นกรณีที่เวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ แม้ตามป.พ.พ. มาตรา 203 วรรคหนึ่ง โจทก์จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ได้โดยพลันก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ซ่อมรถและเรียกให้จำเลยชำระหนี้เมื่อใดศาลก็ชอบที่จะกำหนดให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องได้
โจทก์เรียกค่าเสียหายในส่วนที่จำเลยซ่อมรถล่าช้า ทำให้ราคารถยนต์ต่ำลงเนื่องจากรัฐบาลประกาศลดการเก็บภาษีรถยนต์นั้น เป็นการอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถไม่เสร็จภายในกำหนด เมื่อไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถกับโจทก์หรือไม่ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนนี้
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาประกันภัย มิใช่เป็นการฟ้องในมูลละเมิด โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยนับแต่วันเกิดเหตุ เมื่อจำเลยผิดสัญญาประกันภัย และเป็นกรณีที่เวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ แม้ตามป.พ.พ. มาตรา 203 วรรคหนึ่ง โจทก์จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ได้โดยพลันก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ซ่อมรถและเรียกให้จำเลยชำระหนี้เมื่อใดศาลก็ชอบที่จะกำหนดให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องได้
โจทก์เรียกค่าเสียหายในส่วนที่จำเลยซ่อมรถล่าช้า ทำให้ราคารถยนต์ต่ำลงเนื่องจากรัฐบาลประกาศลดการเก็บภาษีรถยนต์นั้น เป็นการอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถไม่เสร็จภายในกำหนด เมื่อไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถกับโจทก์หรือไม่ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2822/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อจะขาย, ทางเข้าออกที่ดิน, การทำละเมิด, ค่าเสียหาย, สิทธิเรียกร้อง
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับจำเลยเพื่อให้ที่ดินของส. บุตรชายของโจทก์มีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะเมื่อที่ดินของจำเลยมีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะและจำเลยพร้อมที่จะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์แต่โจทก์ไม่ยอมรับโอนที่ดินโดยอ้างว่าที่ดินของจำเลยไม่มีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะโจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทมีข้อตกลงว่าจำเลยยอมให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทนับแต่วันทำสัญญาจำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์ไถหน้าดินในที่ดินของจำเลยออกไปถมที่ดินของโจทก์เป็นการทำละเมิดต่อจำเลยกรณีเป็นผลสืบเนื่องมาจากข้อตกลงดังกล่าวฟ้องแย้งจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับฟ้องเดิม โจทก์ไถไร่อ้อยในที่ดินพิพาทเพื่อปรับสภาพที่ดินทำให้ไร่อ้อยได้รับความเสียหายอันเป็นไปตามสัญญาที่จำเลยตกลงยอมให้โจทก์เข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแม้จำเลยจะได้รับความเสียหายก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายส่วนนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2606/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการผิดสัญญาซื้อขายเกียร์รถ
คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงิน 18,500 บาท อันเป็นราคาเกียร์รถที่โจทก์ซื้อมาใหม่เนื่องจากจำเลยทั้งสองผิดสัญญาซื้อขายส่งเกียร์รถที่ชำรุดแล้วไม่ยอมซ่อมให้ ทำให้โจทก์ต้องไปซื้อเกียร์รถมาใช้ใหม่ จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยทั้งสองผิดสัญญาซื้อขายนั่นเอง ในกรณีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายเรื่องอายุความบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 164 เดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2556/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสัญญาเช่าซื้อ: เบี้ยปรับ vs ค่าเสื่อมสภาพ
โจทก์ติดตามยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนมาได้ รถยนต์อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม หลังจากนั้นโจทก์นำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกประมูลขายได้ราคาต่ำกว่าราคารถยนต์ที่เช่าซื้ออันแท้จริงจึงฟ้องเรียกเงินส่วนที่ยังขาดอยู่นั้น เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายในระหว่างที่จำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อในลักษณะเป็นเบี้ยปรับ หาใช่ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสื่อมสภาพรถยนต์ที่เช่าซื้อ เนื่องจากชำรุดบกพร่องจากการใช้ของจำเลยแต่อย่างใดไม่ ฉะนั้น การฟ้องเรียกค่าเสียหายเช่นนี้เป็นผลจากการเลิกสัญญาตกอยู่ในบังคับอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/30
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2556/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสัญญาเช่าซื้อ: เบี้ยปรับ vs ค่าเสื่อมสภาพ
โจทก์ติดตามยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนมาได้รถยนต์อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมหลังจากนั้นโจทก์นำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกประมูลขายได้ราคาต่ำกว่าราคารถยนต์ที่เช่าซื้ออันแท้จริงจึงฟ้องเรียกเงินส่วนที่ยังขาดอยู่นั้นเป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายในระหว่างที่จำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อในลักษณะเป็นเบี้ยปรับหาใช่ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสื่อมสภาพรถยนต์ที่เช่าซื้อเนื่องจากชำรุดบกพร่องจากการใช้ของจำเลยแต่อย่างใดไม่ฉะนั้นการฟ้องเรียกค่าเสียหายเช่นนี้เป็นผลจากการเลิกสัญญาตกอยู่ในบังคับอายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/30