พบผลลัพธ์ทั้งหมด 719 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1882/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาษีอากร: สิทธิประเมินภาษีค้าง, การยกเว้นภาษี, ค่าใช้จ่ายหักลดหย่อน, และช่วงทรัพย์มรดก
คำสั่งตามมติคณะรัฐมนตรีในสมัยปฏิวัติ ไม่ใช่คำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิวัติ จึงไม่ใช่กฎหมายที่จะลบล้างประมวลรัษฎากรที่ให้ตรวจสอบภาษีค้างจ่ายได้
เจ้าพนักงานประเมินเรียกไต่สวนได้ตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา 23 และแจ้งจำนวนภาษีค้างได้ภายใน 10 ปี ตาม มาตรา 24 เมื่อมีอุทธรณ์ต่อไปโดยชำระภาษีแล้ว และโจทก์ฟ้องคดีนี้คัดค้านการประเมินไม่เกิน 10 ปี ตั้งแต่วันเรียกให้โจทก์ชำระภาษี สิทธิเรียกร้องค่าภาษีอากรไม่ขาดอายุความ
ขายที่ดินและทรัพย์อื่นที่ได้รับมรดกมา นำเงินไปซื้อที่ดินมาจัดสรร ไม่ใช่ช่วงทรัพย์ตาม มาตรา 226 วรรค 2
ขายที่ดินจัดสรรเป็นการค้าไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ แม้จะขายที่ดิน โดยมิใช่การค้าก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบที่อธิบดีกำหนดไว้โดยอนุมัติรัฐมนตรี มิฉะนั้นไม่ได้รับยกเว้นตาม มาตรา 42(9)
ผู้มีเงินได้ยื่นประเมินแล้วเจ้าพนักงานเรียกไต่สวนได้ภายใน 5 ปีนับแต่วันยื่นรายการตาม มาตรา 19 กรณีที่ไม่ได้ยื่นประเมินเจ้าพนักงานเรียกมาไต่สวนได้ตาม มาตรา 23,24 ไม่อยู่ในบังคับ 5 ปีนั้น
ค่าใช้จ่ายหักได้ในการขายสิ่งอุปโภค ฯลฯ และสิ่งอื่นนอกจากที่ระบุไว้ร้อยละ 95 ตามพระราชกฤษฎีกา พ.ศ.2496 มาตรา 3(32)นั้น "สิ่ง" หมายความถึงสังหาริมทรัพย์ตามพจนานุกรม ไม่หมายถึงที่ดิน
เจ้าพนักงานประเมินเรียกไต่สวนได้ตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา 23 และแจ้งจำนวนภาษีค้างได้ภายใน 10 ปี ตาม มาตรา 24 เมื่อมีอุทธรณ์ต่อไปโดยชำระภาษีแล้ว และโจทก์ฟ้องคดีนี้คัดค้านการประเมินไม่เกิน 10 ปี ตั้งแต่วันเรียกให้โจทก์ชำระภาษี สิทธิเรียกร้องค่าภาษีอากรไม่ขาดอายุความ
ขายที่ดินและทรัพย์อื่นที่ได้รับมรดกมา นำเงินไปซื้อที่ดินมาจัดสรร ไม่ใช่ช่วงทรัพย์ตาม มาตรา 226 วรรค 2
ขายที่ดินจัดสรรเป็นการค้าไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ แม้จะขายที่ดิน โดยมิใช่การค้าก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบที่อธิบดีกำหนดไว้โดยอนุมัติรัฐมนตรี มิฉะนั้นไม่ได้รับยกเว้นตาม มาตรา 42(9)
ผู้มีเงินได้ยื่นประเมินแล้วเจ้าพนักงานเรียกไต่สวนได้ภายใน 5 ปีนับแต่วันยื่นรายการตาม มาตรา 19 กรณีที่ไม่ได้ยื่นประเมินเจ้าพนักงานเรียกมาไต่สวนได้ตาม มาตรา 23,24 ไม่อยู่ในบังคับ 5 ปีนั้น
ค่าใช้จ่ายหักได้ในการขายสิ่งอุปโภค ฯลฯ และสิ่งอื่นนอกจากที่ระบุไว้ร้อยละ 95 ตามพระราชกฤษฎีกา พ.ศ.2496 มาตรา 3(32)นั้น "สิ่ง" หมายความถึงสังหาริมทรัพย์ตามพจนานุกรม ไม่หมายถึงที่ดิน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1793/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีเงินได้: หน้าที่การพิสูจน์ของโจทก์, เงินได้พึงประเมิน, และข้อยกเว้นภาษี
โจทก์บรรยายฟ้อง ความว่า หนังสือแจ้งภาษีเงินได้ตามเอกสารหมายเลข 1 ถึง 5 ท้ายฟ้อง ไม่ถูกต้องตรงกับความจริง เพราะมีเงินได้ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ปะปนอยู่ โจทก์ได้อ้างประมวลรัษฎากร มาตรา 42 ถึงมาตรา 47 และอ้างรายการประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่ (ก) ถึง (ฌ) แม้โจทก์จะมิได้กล่าวว่าเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นประเภทใด มีจำนวนเท่าใด ก็เป็นรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องของโจทก์เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรค 2 แล้ว การนำสืบของโจทก์ไม่เป็นการสืบนอกฟ้องนอกประเด็น
โจทก์ซึ่งถูกเรียกเก็บภาษีเงินได้เป็นฝ่ายกล่าวอ้างขึ้นว่า โจทก์ได้รับยกเว้นตามกฎหมาย ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ เพราะจำนวนเงินที่เจ้าพนักงานประเมินของกรมสรรพากรจำเลยประเมินมานั้นมิใช่เงินได้พึงประเมิน หรือแม้เป็นเงินได้พึงประเมินก็ได้รับยกเว้นภาษี ดังนี้ เป็นหน้าที่ของโจทก์ผู้กล่าวอ้างจะต้องพิสูจน์ว่า เงินจำนวนนั้น ๆ ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้เพราะเหตุใด กล่าวอีกนัยหนึ่ง โจทก์จะต้องพิสูจน์ให้เห็นชัดว่า เงินจำนวนนั้น ๆ มิใช่เงินได้พึงประเมิน หรือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นภาษีนั่นเอง
โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่า โจทก์ได้รับยกเว้นตามกฎหมาย ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้สำหรับเงินที่เรียกกันว่าค่าพาหนะ จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบว่าเงินนี้เข้าลักษณะเงินค่าพาหนะตามความในประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (1) หาใช่หน้าที่จำเลยที่จะต้องนำสืบไม่
เงินที่โจทก์ได้รับในชื่อค่าพาหนะจำนวน 295,500 บาท โดยจำนวน วิธีการจ่ายและพฤติการณ์ที่แท้จริง มีลักษณะเป็นเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 หาเข้าลักษณะค่าพาหนะซึ่งโจทก์ได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของโจทก์และได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้นตามมาตรา 42 (1) ไม่ ฉะนั้น เงินจำนวน 295,500 บาทนี้ จำเลยจึงมีอำนาจตามกฎหมายที่จะรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ของโจทก์
โจทก์ได้หุ้นซึ่งเรียกกันว่าหุ้นฟรีรวมเป็นเงิน 341,250 บาทมา เพราะโจทก์ทำงานให้ ส. ส. จึงให้หุ้นตอบแทน เห็นได้ว่าโจทก์ได้หุ้นมาเป็นประโยชน์ตอบแทนกับการที่โจทก์ได้ทำงานให้แก่ผู้ให้ ประโยชน์นั้นมีมูลค่าเป็นเงิน จึงถือได้ว่าเป็นเงินที่โจทก์ได้รับมาตามความในมาตรา 40 (2) (8) แห่งประมวลรัษฎากร หาใช่ว่าโจทก์ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาของผู้ให้หุ้นแก่โจทก์ไม่ กรณีหุ้นที่เรียกว่าหุ้นฟรีจึงไม่ได้รับยกเว้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (10)
โจทก์ได้รับเช็คมาโดยตรงจากบริษัท ส. มิใช่บริษัท ส.จ่ายให้บุคคลอื่นแล้วบุคคลนั้นมอบให้โจทก์อีกต่อหนึ่งเพื่อให้โจทก์ทำธุระแทน เงิน 150,000 บาทตามเช็คจึงเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร
การที่พ่อค้าให้เงินจำนวนมากแก่ข้าราชการ แม้ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ จะถือว่าเป็นการให้ตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีได้หรือไม่นั้น กรณีอย่างนี้ยากที่จะถือเป็นกฎเกณฑ์ตายตัวได้ การณ์ย่อมแล้วแต่คติร่วมกันของฝ่ายผู้ให้และผู้รับ ฉะนั้น เช็ค 4 ฉบับ จำนวนเงิน 70,000 บาทที่โจทก์ได้รับเป็นของขวัญในวันขึ้นปีใหม่จากบริษัท ส. ก. จึงเข้าลักษณะเงินได้พึงประเมินประเภทที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ เพราะเป็๋นเงินที่ได้จากการให้โดยเสน่หาตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (10)
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19,20 กฎหมายเพียงแต่บัญญัติให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจออกหมายเรียกตัวผู้ยื่นรายการและพยานมาให้การไต่สวน ในเมื่อเจ้าพนักงานประเมินมีเหตุอันควรเชื่อว่ารายการตามแบบที่ยื่นไม่ถูกต้องตามความจริง เป็นการให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานประเมินในอันที่จะใช้ดุลพินิจว่าสมควรจะไต่สวนหรือไม่ หาได้บัญญัติบังคับเจ้าพนักงานประเมินให้จำต้องกระทำไม่
เช็คฝากธนาคารซึ่งบริษัท ก.สั่งจ่ายให้โจทก์ ที่จำเลยนำไปคำนวณภาษีเงินได้นั้น เป็นเงินทดรองจากเงินส่วนตัวของโจทก์เองที่โจทก์ได้รับคืนมา หาใช่เงินได้พึงประเมินไม่
โจทก์ซึ่งถูกเรียกเก็บภาษีเงินได้เป็นฝ่ายกล่าวอ้างขึ้นว่า โจทก์ได้รับยกเว้นตามกฎหมาย ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ เพราะจำนวนเงินที่เจ้าพนักงานประเมินของกรมสรรพากรจำเลยประเมินมานั้นมิใช่เงินได้พึงประเมิน หรือแม้เป็นเงินได้พึงประเมินก็ได้รับยกเว้นภาษี ดังนี้ เป็นหน้าที่ของโจทก์ผู้กล่าวอ้างจะต้องพิสูจน์ว่า เงินจำนวนนั้น ๆ ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้เพราะเหตุใด กล่าวอีกนัยหนึ่ง โจทก์จะต้องพิสูจน์ให้เห็นชัดว่า เงินจำนวนนั้น ๆ มิใช่เงินได้พึงประเมิน หรือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นภาษีนั่นเอง
โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่า โจทก์ได้รับยกเว้นตามกฎหมาย ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้สำหรับเงินที่เรียกกันว่าค่าพาหนะ จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบว่าเงินนี้เข้าลักษณะเงินค่าพาหนะตามความในประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (1) หาใช่หน้าที่จำเลยที่จะต้องนำสืบไม่
เงินที่โจทก์ได้รับในชื่อค่าพาหนะจำนวน 295,500 บาท โดยจำนวน วิธีการจ่ายและพฤติการณ์ที่แท้จริง มีลักษณะเป็นเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 หาเข้าลักษณะค่าพาหนะซึ่งโจทก์ได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของโจทก์และได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้นตามมาตรา 42 (1) ไม่ ฉะนั้น เงินจำนวน 295,500 บาทนี้ จำเลยจึงมีอำนาจตามกฎหมายที่จะรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ของโจทก์
โจทก์ได้หุ้นซึ่งเรียกกันว่าหุ้นฟรีรวมเป็นเงิน 341,250 บาทมา เพราะโจทก์ทำงานให้ ส. ส. จึงให้หุ้นตอบแทน เห็นได้ว่าโจทก์ได้หุ้นมาเป็นประโยชน์ตอบแทนกับการที่โจทก์ได้ทำงานให้แก่ผู้ให้ ประโยชน์นั้นมีมูลค่าเป็นเงิน จึงถือได้ว่าเป็นเงินที่โจทก์ได้รับมาตามความในมาตรา 40 (2) (8) แห่งประมวลรัษฎากร หาใช่ว่าโจทก์ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาของผู้ให้หุ้นแก่โจทก์ไม่ กรณีหุ้นที่เรียกว่าหุ้นฟรีจึงไม่ได้รับยกเว้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (10)
โจทก์ได้รับเช็คมาโดยตรงจากบริษัท ส. มิใช่บริษัท ส.จ่ายให้บุคคลอื่นแล้วบุคคลนั้นมอบให้โจทก์อีกต่อหนึ่งเพื่อให้โจทก์ทำธุระแทน เงิน 150,000 บาทตามเช็คจึงเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร
การที่พ่อค้าให้เงินจำนวนมากแก่ข้าราชการ แม้ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ จะถือว่าเป็นการให้ตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีได้หรือไม่นั้น กรณีอย่างนี้ยากที่จะถือเป็นกฎเกณฑ์ตายตัวได้ การณ์ย่อมแล้วแต่คติร่วมกันของฝ่ายผู้ให้และผู้รับ ฉะนั้น เช็ค 4 ฉบับ จำนวนเงิน 70,000 บาทที่โจทก์ได้รับเป็นของขวัญในวันขึ้นปีใหม่จากบริษัท ส. ก. จึงเข้าลักษณะเงินได้พึงประเมินประเภทที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ เพราะเป็๋นเงินที่ได้จากการให้โดยเสน่หาตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (10)
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19,20 กฎหมายเพียงแต่บัญญัติให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจออกหมายเรียกตัวผู้ยื่นรายการและพยานมาให้การไต่สวน ในเมื่อเจ้าพนักงานประเมินมีเหตุอันควรเชื่อว่ารายการตามแบบที่ยื่นไม่ถูกต้องตามความจริง เป็นการให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานประเมินในอันที่จะใช้ดุลพินิจว่าสมควรจะไต่สวนหรือไม่ หาได้บัญญัติบังคับเจ้าพนักงานประเมินให้จำต้องกระทำไม่
เช็คฝากธนาคารซึ่งบริษัท ก.สั่งจ่ายให้โจทก์ ที่จำเลยนำไปคำนวณภาษีเงินได้นั้น เป็นเงินทดรองจากเงินส่วนตัวของโจทก์เองที่โจทก์ได้รับคืนมา หาใช่เงินได้พึงประเมินไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1793/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีเงินได้: การพิสูจน์ภาระหน้าที่ของผู้เสียภาษี และการรับรองความถูกต้องของรายการเงินได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ความว่า หนังสือแจ้งภาษีเงินได้ตามเอกสารหมายเลข 1 ถึง 5 ท้ายฟ้อง ไม่ถูกต้องตรงกับความจริง เพราะมีเงินได้ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ปนอยู่โจทก์ได้อ้างประมวลรัษฎากร มาตรา 42 ถึงมาตรา 47 และอ้างรายการประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่ (ก) ถึง (ณ) แม้โจทก์จะมิได้กล่าวว่าเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นประเภทใด มีจำนวนเท่าใด ก็เป็นรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องของโจทก์เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง แล้วการนำสืบของโจทก์ไม่เป็นการสืบนอกฟ้องนอกประเด็น
โจทก์ซึ่งถูกเรียกเก็บภาษีเงินได้เป็นฝ่ายกล่าวอ้างขึ้นว่า โจทก์ได้รับยกเว้นตามกฎหมาย ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ เพราะจำนวนเงินที่เจ้าพนักงานประเมินของกรมสรรพากรจำเลยประเมินมานั้นมิใช่เงินได้พึงประเมิน หรือแม้เป็นเงินได้พึงประเมินก็ได้รับยกเว้นภาษีดังนี้ เป็นหน้าที่ของโจทก์ผู้กล่าวอ้างจะต้องพิสูจน์ว่า เงินจำนวนนั้น ๆได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้เพราะเหตุใด กล่างอีกนัยหนึ่ง โจทก์จะต้องพิสูจน์ให้เห็นชัดว่า เงินจำนวนนั้น ๆ มิใช่เงินได้พึงประเมินหรือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นภาษีนั่นเอง
โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่า โจทก์ได้รับยกเว้นตามกฎหมาย ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้สำหรับเงินที่เรียกกันว่าค่าพาหนะ จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบว่าเงินนี้เข้าลักษณะเงินค่าพาหนะตามความในประมวลรัษฎากร มาตรา 42(1) หาใช่หน้าที่จำเลยนที่จะต้องนำสืบไม่
เงินที่โจทก์ได้รับในชื่อค่าพาหนะจำนวน 295,500 บาท โดยจำนวน วิธีการจ่ายและพฤติการณ์ที่แท้จริง มีลักษณะเป็นเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 หาเข้าลักษณะค่าพาหนะซึ่งโจทก์ได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของโจทก์และได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้นตามมาตรา 42(1) ไม่ ฉะนั้น เงินจำนวน 295,500บาทนี้ จำเลยจึงมีอำนาจตามกฎหมายที่จะรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ของโจทก์
โจทก์ได้หุ้นซึ่งเรียกกันว่าหุ้นฟรีรวมเป็นเงิน 341,250 บาทมาเพราะโจทก์ทำงานให้ ส.ส. จึงให้หุ้นตอบแทน เห็นได้ว่าโจทก์ได้หุ้นมาเป็นประโยชน์ตอบแทนกับการที่โจทก์ได้ทำงานให้แก่ผู้ให้ ประโยชน์นั้นมีมูลค่าเป็นเงิน จึงถือได้ว่าเป็นเงินที่โจทก์ได้รับมาตามความในมาตรา 40(2)(8) แห่งประมวลรัษฎากร หาใช่ว่าโจทก์ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาของผู้ให้หุ้นแก่โจทก์ไม่ กรณีหุ้นที่เรียกว่าหุ้นฟรีจึงไม่ได้รับยกเว้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(10)
โจทก์ได้รับเช็คมาโดยตรงจากบริษัท ส.มิใช่บริษัทส. จ่ายให้บุคคลอื่นแล้วบุคคลนั้นมอบให้โจทก์อีกต่อหนึ่งเพื่อให้โจทก์ทำธุระแทนเงิน 150,000 บาทตามเช็คจึงเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8)แห่งประมวลรัษฎากร
การที่พ่อค้าให้เงินจำนวนมากแก่ข้าราชการ แม้ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่จะถือว่าเป็นการให้ตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีได้หรือไม่นั้น กรณีอย่างนี้ยากที่จะถือเป็นกฎเกณฑ์ตายตัวได้ การณ์ย่อมแล้วแต่คติร่วมกันของฝ่ายผู้ให้และผู้รับ ฉะนั้นเช็ค 4 ฉบับ จำนวนเงิน 70,000 บาทที่โจทก์ได้รับเป็นของขวัญในวันขึ้นปีใหม่จากบริษัท ส.ก. จึงเข้าลักษณะเงินได้พึงประเมินประเภทที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้เพราะเป็นเงินที่ได้จากการให้โดยเสน่หาตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(10)
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19,20 กฎหมายเพียงแต่บัญญัติให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจออกหมายเรียกตัวผู้ยื่นรายการและพยานมาให้การไต่สวน ในเมื่อเจ้าพนักงานประเมินมีเหตุอันควรเชื่อว่ารายการตามแบบที่ยื่นไม่ถูกต้องตามความจริง เป็นการให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานประเมินในอันที่จะใช้ดุลพินิจว่สมควรจะไต่สวนหรือไม่หาได้บัญญัติบังคับเจ้าพนักงานประเมินให้จำต้องกระทำได้
เช็คฝากธนาคารซึ่งบริษัท ก. สั่งจ่ายให้โจทก์ ที่จำเลยนำไปคำนวณเสียภาษีเงินได้นั้น เป็นเงินทดรองจากเงินส่วนตัวของโจทก์เองที่โจทก์ได้รับคืนมา หาใช่เงินได้พึงประเมินไม่
โจทก์ซึ่งถูกเรียกเก็บภาษีเงินได้เป็นฝ่ายกล่าวอ้างขึ้นว่า โจทก์ได้รับยกเว้นตามกฎหมาย ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ เพราะจำนวนเงินที่เจ้าพนักงานประเมินของกรมสรรพากรจำเลยประเมินมานั้นมิใช่เงินได้พึงประเมิน หรือแม้เป็นเงินได้พึงประเมินก็ได้รับยกเว้นภาษีดังนี้ เป็นหน้าที่ของโจทก์ผู้กล่าวอ้างจะต้องพิสูจน์ว่า เงินจำนวนนั้น ๆได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้เพราะเหตุใด กล่างอีกนัยหนึ่ง โจทก์จะต้องพิสูจน์ให้เห็นชัดว่า เงินจำนวนนั้น ๆ มิใช่เงินได้พึงประเมินหรือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นภาษีนั่นเอง
โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่า โจทก์ได้รับยกเว้นตามกฎหมาย ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้สำหรับเงินที่เรียกกันว่าค่าพาหนะ จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบว่าเงินนี้เข้าลักษณะเงินค่าพาหนะตามความในประมวลรัษฎากร มาตรา 42(1) หาใช่หน้าที่จำเลยนที่จะต้องนำสืบไม่
เงินที่โจทก์ได้รับในชื่อค่าพาหนะจำนวน 295,500 บาท โดยจำนวน วิธีการจ่ายและพฤติการณ์ที่แท้จริง มีลักษณะเป็นเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 หาเข้าลักษณะค่าพาหนะซึ่งโจทก์ได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของโจทก์และได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้นตามมาตรา 42(1) ไม่ ฉะนั้น เงินจำนวน 295,500บาทนี้ จำเลยจึงมีอำนาจตามกฎหมายที่จะรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ของโจทก์
โจทก์ได้หุ้นซึ่งเรียกกันว่าหุ้นฟรีรวมเป็นเงิน 341,250 บาทมาเพราะโจทก์ทำงานให้ ส.ส. จึงให้หุ้นตอบแทน เห็นได้ว่าโจทก์ได้หุ้นมาเป็นประโยชน์ตอบแทนกับการที่โจทก์ได้ทำงานให้แก่ผู้ให้ ประโยชน์นั้นมีมูลค่าเป็นเงิน จึงถือได้ว่าเป็นเงินที่โจทก์ได้รับมาตามความในมาตรา 40(2)(8) แห่งประมวลรัษฎากร หาใช่ว่าโจทก์ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาของผู้ให้หุ้นแก่โจทก์ไม่ กรณีหุ้นที่เรียกว่าหุ้นฟรีจึงไม่ได้รับยกเว้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(10)
โจทก์ได้รับเช็คมาโดยตรงจากบริษัท ส.มิใช่บริษัทส. จ่ายให้บุคคลอื่นแล้วบุคคลนั้นมอบให้โจทก์อีกต่อหนึ่งเพื่อให้โจทก์ทำธุระแทนเงิน 150,000 บาทตามเช็คจึงเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8)แห่งประมวลรัษฎากร
การที่พ่อค้าให้เงินจำนวนมากแก่ข้าราชการ แม้ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่จะถือว่าเป็นการให้ตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีได้หรือไม่นั้น กรณีอย่างนี้ยากที่จะถือเป็นกฎเกณฑ์ตายตัวได้ การณ์ย่อมแล้วแต่คติร่วมกันของฝ่ายผู้ให้และผู้รับ ฉะนั้นเช็ค 4 ฉบับ จำนวนเงิน 70,000 บาทที่โจทก์ได้รับเป็นของขวัญในวันขึ้นปีใหม่จากบริษัท ส.ก. จึงเข้าลักษณะเงินได้พึงประเมินประเภทที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้เพราะเป็นเงินที่ได้จากการให้โดยเสน่หาตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(10)
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19,20 กฎหมายเพียงแต่บัญญัติให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจออกหมายเรียกตัวผู้ยื่นรายการและพยานมาให้การไต่สวน ในเมื่อเจ้าพนักงานประเมินมีเหตุอันควรเชื่อว่ารายการตามแบบที่ยื่นไม่ถูกต้องตามความจริง เป็นการให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานประเมินในอันที่จะใช้ดุลพินิจว่สมควรจะไต่สวนหรือไม่หาได้บัญญัติบังคับเจ้าพนักงานประเมินให้จำต้องกระทำได้
เช็คฝากธนาคารซึ่งบริษัท ก. สั่งจ่ายให้โจทก์ ที่จำเลยนำไปคำนวณเสียภาษีเงินได้นั้น เป็นเงินทดรองจากเงินส่วนตัวของโจทก์เองที่โจทก์ได้รับคืนมา หาใช่เงินได้พึงประเมินไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1292/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สินค้าสำเร็จรูป vs. ไม่สำเร็จรูป ภาษีอากร การประเมินภาษี และเบี้ยปรับ
น้ำมันสะระแหน่และน้ำมันระกำนั้น แม้ก่อนจะใช้รับประทานหรือทา ต้องนำไปผสมกับแอลกอฮอล์หรือวัสลินเสียก่อน แต่การใช้แอลกอฮอล์หรือวัสลินผสมก็เพื่อจะลดหรือบรรเทาความเข้มของตัวยาและเพื่อสะดวกในการใช้เท่านั้น จึงถือว่าเป็นยาที่อาจอุปโภคบริโภคได้ทันทีโดยไม่จำต้องเปลี่ยนหรือดัดแปลงหรือผสมกับสิ่งอื่นอีก และเป็นสินค้าสำเร็จรูป
ยาระงับความรู้สึกบาบิตอล ควินิน และควินินซัลเฟตผง ซึ่งเป็นยาผงนั้น การเอาสิ่งอื่นมาผสมเพื่อให้ตัวยาเกาะแน่นเป็นยาเม็ด หรือเอายาผง 3 ประเภทนี้ละลายในน้ำกลั่นก่อนเพื่อใช้เป็นยาฉีด แต่การผสมหรือใช้ละลายดังกล่าวก็เพื่อความสะดวกในการอุปโภคบริโภคเท่านั้น แม้ไม่ผสมกับสิ่งอื่นหรือละลายกับน้ำกลั่น ยา 3 ประเภทนี้ก็อยู่ในสภาพที่อาจอุปโภคและบริโภคได้ทันที จึงเป็นสินค้าสำเร็จรูป
ชะเอมแท่งนั้น การสะกัดโดยใช้แอลกอฮอล์และน้ำ หรือทำน้ำยาสะกัดชะเอม ก็เพื่อความสะดวกในการใช้ จึงเป็นสินค้าสำเร็จรูป
ประมวลรัษฎากร มาตรา 87 (2) และ 85 (3) มิได้เพ่งเล็งว่า ผู้ประกอบการค้าขัดขืนหรือมีเจตนาจะหลีกเลี่ยงภาษีการค้าหรือไม่ การที่โจทก์ผู้ประกอบการค้ายื่นแบบแสดงรายการสินค้าโดยคาดหมายเอาว่าเป็นสินค้าไม่สำเร็จรูป ทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อน เจ้าพนักงานประเมินย่อมมีอำนาจทำการประเมินแล้วสั่งให้โจทก์ชำระภาษีตามที่ประเมินพร้อมด้วยเบี้ยปรับ และเมื่อโจทก์โต้แย้งไม่ยอมชำระภายในกำหนด เช่นนี้ โจทก์ต้องเสียทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 (3) และมาตรา 89 ทวิ ไม่มีเหตุที่ศาลจะสั่งยกเลิกเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การประเมินภาษีและคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินที่สั่งให้ผู้ประกอบการค้าชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่มได้
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การประเมินภาษี และคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินที่สั่งให้โจทก์ชำระค่าภาษีการค้า เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีบำรุงเทศบาล สำหรับสินค้าหลายชนิดซึ่งโจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยโจทก์ถือว่าสินค้าเหล่านั้นเป็นสินค้าไม่สำเร็จรูป โจทก์เสียค่าขึ้นศาลแต่ละศาลมาตามจำนวนทุนทรัพย์ตามฟ้องเดิม ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สินค้าตามฟ้องบางชนิดไม่ใช่สินค้าสำเร็จรูป แต่มิได้สั่งไว้ว่าเงินภาษีเพิ่มเบี้ยปรับ และเงินเพิ่มเอากับสินค้าชนิดนั้นควรถูกเพิกถอนไปด้วยหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์และฎีกาขอให้ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกายกเลิกเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่สั่งให้โจทก์ชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่มทั้งหมดเสียนั้น แต่โจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้องหรือนำสืบให้ปรากฏว่าสินค้าที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าเป็นสินค้าไม่สำเร็จรูปนั้น เจ้าพนักงานประเมินและจำเลยสั่งให้โจทก์เสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเป็นจำนวนเท่าใด เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการคิดหักเงินค่าขึ้นศาลให้โจทก์ เมื่อไม่มีทางคิดเงินเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเกี่ยวกับสินค้าที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าเป็นสินค้าสำเร็จรูปนั้นว่าเป็นจำนวนเงินเท่าใดแล้ว จึงคืนเงินค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาจากจำนวนทุนทรัพย์ดังกล่าวให้โจทก์ไม่ได้
ยาระงับความรู้สึกบาบิตอล ควินิน และควินินซัลเฟตผง ซึ่งเป็นยาผงนั้น การเอาสิ่งอื่นมาผสมเพื่อให้ตัวยาเกาะแน่นเป็นยาเม็ด หรือเอายาผง 3 ประเภทนี้ละลายในน้ำกลั่นก่อนเพื่อใช้เป็นยาฉีด แต่การผสมหรือใช้ละลายดังกล่าวก็เพื่อความสะดวกในการอุปโภคบริโภคเท่านั้น แม้ไม่ผสมกับสิ่งอื่นหรือละลายกับน้ำกลั่น ยา 3 ประเภทนี้ก็อยู่ในสภาพที่อาจอุปโภคและบริโภคได้ทันที จึงเป็นสินค้าสำเร็จรูป
ชะเอมแท่งนั้น การสะกัดโดยใช้แอลกอฮอล์และน้ำ หรือทำน้ำยาสะกัดชะเอม ก็เพื่อความสะดวกในการใช้ จึงเป็นสินค้าสำเร็จรูป
ประมวลรัษฎากร มาตรา 87 (2) และ 85 (3) มิได้เพ่งเล็งว่า ผู้ประกอบการค้าขัดขืนหรือมีเจตนาจะหลีกเลี่ยงภาษีการค้าหรือไม่ การที่โจทก์ผู้ประกอบการค้ายื่นแบบแสดงรายการสินค้าโดยคาดหมายเอาว่าเป็นสินค้าไม่สำเร็จรูป ทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อน เจ้าพนักงานประเมินย่อมมีอำนาจทำการประเมินแล้วสั่งให้โจทก์ชำระภาษีตามที่ประเมินพร้อมด้วยเบี้ยปรับ และเมื่อโจทก์โต้แย้งไม่ยอมชำระภายในกำหนด เช่นนี้ โจทก์ต้องเสียทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 (3) และมาตรา 89 ทวิ ไม่มีเหตุที่ศาลจะสั่งยกเลิกเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การประเมินภาษีและคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินที่สั่งให้ผู้ประกอบการค้าชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่มได้
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การประเมินภาษี และคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินที่สั่งให้โจทก์ชำระค่าภาษีการค้า เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีบำรุงเทศบาล สำหรับสินค้าหลายชนิดซึ่งโจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยโจทก์ถือว่าสินค้าเหล่านั้นเป็นสินค้าไม่สำเร็จรูป โจทก์เสียค่าขึ้นศาลแต่ละศาลมาตามจำนวนทุนทรัพย์ตามฟ้องเดิม ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สินค้าตามฟ้องบางชนิดไม่ใช่สินค้าสำเร็จรูป แต่มิได้สั่งไว้ว่าเงินภาษีเพิ่มเบี้ยปรับ และเงินเพิ่มเอากับสินค้าชนิดนั้นควรถูกเพิกถอนไปด้วยหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์และฎีกาขอให้ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกายกเลิกเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่สั่งให้โจทก์ชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่มทั้งหมดเสียนั้น แต่โจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้องหรือนำสืบให้ปรากฏว่าสินค้าที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าเป็นสินค้าไม่สำเร็จรูปนั้น เจ้าพนักงานประเมินและจำเลยสั่งให้โจทก์เสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเป็นจำนวนเท่าใด เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการคิดหักเงินค่าขึ้นศาลให้โจทก์ เมื่อไม่มีทางคิดเงินเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเกี่ยวกับสินค้าที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าเป็นสินค้าสำเร็จรูปนั้นว่าเป็นจำนวนเงินเท่าใดแล้ว จึงคืนเงินค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาจากจำนวนทุนทรัพย์ดังกล่าวให้โจทก์ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1292/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สินค้าสำเร็จรูป-ไม่สำเร็จรูปทางภาษีอากร การประเมินภาษี เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และการคืนค่าขึ้นศาล
น้ำมันสะระแหน่และน้ำมันระกำนั้น แม้ก่อนจะใช้รับประทานหรือทา ต้องนำไปผสมกับแอลกอฮอล์หรือวัสลินเสียก่อน แต่การใช้แอลกอฮอล์หรือวัสลินผสมก็เพื่อจะลดหรือบรรเทาความเข้มของตัวยาและเพื่อสะดวกในการใช้เท่านั้น จึงถือว่าเป็นยาที่อาจอุปโภคบริโภคได้ทันที โดยไม่จำต้องเปลี่ยนหรือดัดแปลงหรือผสมกับสิ่งอื่นอีก และเป็นสินค้าสำเร็จรูป
ยาระงับความรู้สึกบาบิตอล ควินิน และควินินซัลเฟตผง ซึ่งเป็นยาผงนั้น การเอาสิ่งอื่นมาผสมเพื่อให้ตัวยาเกาะแน่นเป็นยาเม็ด หรือเอายาผง 3 ประเภทนี้ละลายในน้ำกลั่นก่อนเพื่อใช้เป็นยาฉีด แต่การผสมหรือใช้ละลายดังกล่าวก็เพื่อความสะดวกในการอุปโภคบริโภคเท่านั้นแม้ไม่ผสมกับสิ่งอื่นหรือละลายกับน้ำกลั่น ยา 3ประเภทนี้ก็อยู่ในสภาพที่อาจอุปโภคและบริโภคได้ทันทีจึงเป็นสินค้าสำเร็จรูป
ชะเอมแท่งนั้น การสะกัดโดยใช้แอลกอฮอล์และน้ำ หรือทำน้ำยาสะกัดชะเอม ก็เพื่อความสะดวกในการใช้ จึงเป็นสินค้าสำเร็จรูป
ประมวลรัษฎากร มาตรา 87(2) และ 89(3) มิได้เพ่งเล็งว่า ผู้ประกอบการค้าขัดขืนหรือมีเจตนาจะหลีกเลี่ยงภาษีการค้าหรือไม่ การที่โจทก์ผู้ประกอบการค้ายื่นแบบแสดงรายการสินค้าโดยคาดหมายเอาว่าเป็นสินค้าไม่สำเร็จรูปทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อน เจ้าพนักงานประเมินย่อมมีอำนาจทำการประเมินแล้วสั่งให้โจทก์ชำระภาษีตามที่ที่ประเมินพร้อมด้วยเบี้ยปรับ และเมื่อโจทก์โต้แย้งไม่ยอมชำระภายในกำหนด เช่นนี้ โจทก์ต้องเสียทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89(3) และมาตรา89ทวิ ไม่มีเหตุที่ศาลจะสั่งยกเลิกเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การประเมินภาษี และคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินที่สั่งให้ผู้ประกอบการค้าชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่มได้
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การประเมินภาษี และคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินที่สั่งให้โจทก์ชำระค่าภาษีการค้า เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีบำรุงเทศบาล สำหรับสินค้าหลายชนิดซึ่งโจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยโจทก์ถือว่าสินค้าเหล่านั้นเป็นสินค้าไม่สำเร็จรูป โจทก์เสียค่าขึ้นศาลแต่ละศาลมาตามจำนวนทุนทรัพย์ตามฟ้องเดิม ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สินค้าตามฟ้องบางชนิดไม่ใช่สินค้าสำเร็จรูป แต่มิได้สั่งไว้ว่าเงินภาษีเพิ่มเบี้ยปรับ และเงินเพิ่มเอากับสินค้าชนิดนั้นควรถูกเพิกถอนไปด้วยหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์และฎีกา ขอให้ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกายกเลิกเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่สั่งให้โจทก์ชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่มทั้งหมดเสียนั้น แต่โจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้องหรือนำสืบให้ปรากฏว่าสินค้าที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟัง มาว่าเป็นสินค้าไม่สำเร็จรูปนั้น เจ้าพนักงานประเมินและจำเลยสั่งให้โจทก์เสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเป็นจำนวนเท่าใด เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการคิดหักเงินค่าขึ้นศาลให้โจทก์ เมื่อไม่มีทางคิดเงินเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม เกี่ยวกับสินค้าที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าเป็นสินค้าสำเร็จรูปนั้น ว่าเป็นจำนวนเงินเท่าใดแล้ว จึงคืนเงินค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาจากจำนวนทุนทรัพย์ดังกล่าวให้โจทก์ไม่ได้
ยาระงับความรู้สึกบาบิตอล ควินิน และควินินซัลเฟตผง ซึ่งเป็นยาผงนั้น การเอาสิ่งอื่นมาผสมเพื่อให้ตัวยาเกาะแน่นเป็นยาเม็ด หรือเอายาผง 3 ประเภทนี้ละลายในน้ำกลั่นก่อนเพื่อใช้เป็นยาฉีด แต่การผสมหรือใช้ละลายดังกล่าวก็เพื่อความสะดวกในการอุปโภคบริโภคเท่านั้นแม้ไม่ผสมกับสิ่งอื่นหรือละลายกับน้ำกลั่น ยา 3ประเภทนี้ก็อยู่ในสภาพที่อาจอุปโภคและบริโภคได้ทันทีจึงเป็นสินค้าสำเร็จรูป
ชะเอมแท่งนั้น การสะกัดโดยใช้แอลกอฮอล์และน้ำ หรือทำน้ำยาสะกัดชะเอม ก็เพื่อความสะดวกในการใช้ จึงเป็นสินค้าสำเร็จรูป
ประมวลรัษฎากร มาตรา 87(2) และ 89(3) มิได้เพ่งเล็งว่า ผู้ประกอบการค้าขัดขืนหรือมีเจตนาจะหลีกเลี่ยงภาษีการค้าหรือไม่ การที่โจทก์ผู้ประกอบการค้ายื่นแบบแสดงรายการสินค้าโดยคาดหมายเอาว่าเป็นสินค้าไม่สำเร็จรูปทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อน เจ้าพนักงานประเมินย่อมมีอำนาจทำการประเมินแล้วสั่งให้โจทก์ชำระภาษีตามที่ที่ประเมินพร้อมด้วยเบี้ยปรับ และเมื่อโจทก์โต้แย้งไม่ยอมชำระภายในกำหนด เช่นนี้ โจทก์ต้องเสียทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89(3) และมาตรา89ทวิ ไม่มีเหตุที่ศาลจะสั่งยกเลิกเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การประเมินภาษี และคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินที่สั่งให้ผู้ประกอบการค้าชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่มได้
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การประเมินภาษี และคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินที่สั่งให้โจทก์ชำระค่าภาษีการค้า เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีบำรุงเทศบาล สำหรับสินค้าหลายชนิดซึ่งโจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยโจทก์ถือว่าสินค้าเหล่านั้นเป็นสินค้าไม่สำเร็จรูป โจทก์เสียค่าขึ้นศาลแต่ละศาลมาตามจำนวนทุนทรัพย์ตามฟ้องเดิม ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สินค้าตามฟ้องบางชนิดไม่ใช่สินค้าสำเร็จรูป แต่มิได้สั่งไว้ว่าเงินภาษีเพิ่มเบี้ยปรับ และเงินเพิ่มเอากับสินค้าชนิดนั้นควรถูกเพิกถอนไปด้วยหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์และฎีกา ขอให้ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกายกเลิกเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่สั่งให้โจทก์ชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่มทั้งหมดเสียนั้น แต่โจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้องหรือนำสืบให้ปรากฏว่าสินค้าที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟัง มาว่าเป็นสินค้าไม่สำเร็จรูปนั้น เจ้าพนักงานประเมินและจำเลยสั่งให้โจทก์เสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเป็นจำนวนเท่าใด เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการคิดหักเงินค่าขึ้นศาลให้โจทก์ เมื่อไม่มีทางคิดเงินเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม เกี่ยวกับสินค้าที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าเป็นสินค้าสำเร็จรูปนั้น ว่าเป็นจำนวนเงินเท่าใดแล้ว จึงคืนเงินค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาจากจำนวนทุนทรัพย์ดังกล่าวให้โจทก์ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1617/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาษีการค้า: การนำเข้าสมุดเช็คจากต่างประเทศถือเป็นการขายสินค้า ต้องเสียภาษีการค้า
โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าประเภทธนาคาร ได้สั่งสมุดเช็คจากประเทศอังกฤษเข้ามาในประเทศไทย เพื่อใช้ในกิจการของโจทก์ โดยมอบให้ลูกค้าที่เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารโจทก์ใช้สั่งจ่ายเงินสมุดเช็คนั้นเป็นสินค้าอย่างหนึ่งตามประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2504 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเกิดข้อพิพาทมาตรา 79 ทวิ (1) การนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าตามประเภทการค้า 1 ชนิด 1 (ก) โดยมิใช่นำมาขายหรือผลิตเพื่อขายและสินค้าเหล่านั้นมิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร ถือว่าเป็นการขายสินค้า สมุดเช็คที่โจทก์สั่งเข้ามามีราคาถึงสามแสนบาทเศษ มิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้ตามปกติและตามสมควร โจทก์ย่อมเป็นผู้ประกอบการค้าสินค้าสมุดเช็คซึ่งตาม ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้า (ฉบับที่ 3) ให้ถือว่าผู้ประกอบการค้าที่เป็นผู้นำเข้าซึ่งสินค้าทุกชนิดได้ขายสินค้าในวันนำเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อคำนวณมูลค่าของสินค้าเป็นรายรับในการที่จะประเมินภาษีการค้า โจทก์จึงต้องเสียภาษีการค้าตามมูลค่าของสมุดเช็คซึ่งคำนวณได้ดังกล่าวในประเภทการค้า 1 การขายของ รายการที่ประกอบการค้าการขายสินค้าชนิด 1 (ก)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 109/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน: เจ้าหน้าที่สามารถปรับค่ารายปีตามพฤติการณ์จริงได้ แม้มีค่ารายปีเดิม
การคำนวณภาษีโรงเรือนและที่ดินซึ่งต้องเสียในปีต่อมานั้นไม่จำต้องถือค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วแต่อย่างเดียวเป็นหลักพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ประเมินมีอำนาจที่จะแก้หรือคำนวณค่ารายปีของปีต่อมาเสียให้ถูกต้องตามพฤติการณ์และความเป็นจริงได้เมื่อโจทก์ได้ใช้ประโยชน์อาคารเพิ่มขึ้นจากชั้นเดียวเป็นสามชั้นค่ารายปีแห่งทรัพย์สินก็ย่อมเพิ่มขึ้นตามตัว
อาคารของโจทก์ โจทก์ใช้ประโยชน์เองโดยมิได้ให้ผู้อื่นเช่าการที่จะทราบถึงจำนวนเงินซึ่งอาคารของโจทก์สมควรจะให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ อันถือเป็นค่ารายปีนั้นจะต้องพิจารณาเทียบเคียงกับทรัพย์สินอื่นที่มีผู้เช่าอยู่และอยู่ใกล้เคียงกัน ทั้งมีสภาพและลักษณะคล้ายคลึงกันด้วย
อาคารของโจทก์ โจทก์ใช้ประโยชน์เองโดยมิได้ให้ผู้อื่นเช่าการที่จะทราบถึงจำนวนเงินซึ่งอาคารของโจทก์สมควรจะให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ อันถือเป็นค่ารายปีนั้นจะต้องพิจารณาเทียบเคียงกับทรัพย์สินอื่นที่มีผู้เช่าอยู่และอยู่ใกล้เคียงกัน ทั้งมีสภาพและลักษณะคล้ายคลึงกันด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2960/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจประเมินภาษี เจ้าพนักงานเดิมยังทำได้ แม้มีกฎกระทรวงใหม่ กำหนดคณะบุคคลสามฝ่าย
ปัญหาที่ว่าเจ้าพนักงานของรัฐมีอำนาจกระทำการประเมินภาษีโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
โจทก์ยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับระหว่างที่กฎกระทรวง ฉบับที่ 99 (พ.ศ. 2497) และ 112 (พ.ศ. 2500) ใช้บังคับซึ่งเจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้เพียงคนเดียวมีอำนาจพิจารณารายการที่ยื่นเพื่อประเมินภาษีเงินได้ ในระหว่างการพิจารณาของเจ้าพนักงานประเมินดังกล่าว มีกฎกระทรวง ฉบับที่ 119 (พ.ศ. 2502) ออกใช้บังคับ กำหนดให้บุคคลสามฝ่ายเป็นเจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้ แต่กฎกระทรวงฉบับนี้มิได้กล่าวถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานประเมินตามกฎกระทรวงฉบับก่อนไว้อย่างใด ดังนั้น ย่อมไม่เป็นเหตุให้อำนาจและหน้าที่ของเจ้าพนักงานประเมินที่มีอยู่แล้วเกี่ยวกับการพิจารณารายการเงินได้พึงประเมินที่ได้ยื่นไว้ก่อนมีกฎกระทรวงฉบับใหม่ใช้บังคับ ต้องยกเลิกเปลี่ยนแปลงไปเจ้าพนักงานประเมินนั้นยังมีอำนาจที่จะประเมินภาษีเงินได้แจ้งจำนวนค่าภาษีที่ต้องชำระไปยังผู้รับประเมินได้
โจทก์ยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับระหว่างที่กฎกระทรวง ฉบับที่ 99 (พ.ศ. 2497) และ 112 (พ.ศ. 2500) ใช้บังคับซึ่งเจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้เพียงคนเดียวมีอำนาจพิจารณารายการที่ยื่นเพื่อประเมินภาษีเงินได้ ในระหว่างการพิจารณาของเจ้าพนักงานประเมินดังกล่าว มีกฎกระทรวง ฉบับที่ 119 (พ.ศ. 2502) ออกใช้บังคับ กำหนดให้บุคคลสามฝ่ายเป็นเจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้ แต่กฎกระทรวงฉบับนี้มิได้กล่าวถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานประเมินตามกฎกระทรวงฉบับก่อนไว้อย่างใด ดังนั้น ย่อมไม่เป็นเหตุให้อำนาจและหน้าที่ของเจ้าพนักงานประเมินที่มีอยู่แล้วเกี่ยวกับการพิจารณารายการเงินได้พึงประเมินที่ได้ยื่นไว้ก่อนมีกฎกระทรวงฉบับใหม่ใช้บังคับ ต้องยกเลิกเปลี่ยนแปลงไปเจ้าพนักงานประเมินนั้นยังมีอำนาจที่จะประเมินภาษีเงินได้แจ้งจำนวนค่าภาษีที่ต้องชำระไปยังผู้รับประเมินได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1125/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับประเมินภาษีมีหน้าที่ชำระภาษีก่อนฟ้องคดี หากไม่พอใจการประเมินตาม พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน
เมื่อเจ้าพนักงานแจ้งรายการประเมินภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 24 ไปยังผู้ใด บุคคลผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้รับประเมินโดยเป็นบุคคลผู้พึงชำระค่าภาษีตามที่ประเมินมานั้น ถ้าไม่พอใจการประเมินจะโดยอ้างว่า เพราะเจ้าพนักงานประเมินผิดให้เสียภาษี ในกรณีไม่ต้องเสียหรือประเมินให้เสียมากกว่าที่ควรต้องเสีย บุคคลนั้นต้องฟ้องคดีต่อศาลว่าการประเมินไม่ถูก จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 39ซึ่งบัญญัติให้ชำระค่าภาษีทั้งสิ้นก่อนศาลประทับฟ้อง หากมิได้ชำระค่าภาษีเสียก่อน ศาลย่อมจะรับฟ้องไว้พิจารณามิได้ (วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 12-13/2512)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1125/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับประเมินภาษีต้องชำระภาษีตามประเมินก่อนฟ้องคดี หากไม่พอใจการประเมิน
เมื่อเจ้าพนักงานแจ้งรายการประเมินภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 24 ไปยังผู้ใด.บุคคลผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้รับประเมินโดยเป็นบุคคลผู้พึงชำระค่าภาษีตามที่ประเมินมานั้น. ถ้าไม่พอใจการประเมินจะโดยอ้างว่า.เพราะเจ้าพนักงานประเมินผิดให้เสียภาษี.ในกรณีไม่ต้องเสียหรือประเมินให้เสียมากกว่าที่ควรต้องเสีย. บุคคลนั้นต้องฟ้องคดีต่อศาลว่าว่าการประเมินไม่ถูก. จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 39ซึ่งบัญญัติให้ชำระค่าภาษีทั้งสิ้นก่อนศาลประทับฟ้อง. หากมิได้ชำระค่าภาษีเสียก่อน.ศาลย่อมจะรับฟ้องไว้พิจารณามิได้. (วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 12-13/2512).