คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อำนาจศาล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,218 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2337/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลวินิจฉัยความประมาทเลินเล่อของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเพื่อกำหนดค่าเสียหายที่ถูกต้อง
ศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยขับรถโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่ และค่าเสียหายมีเพียงใด ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่า ว. คนขับรถยนต์ของโจทก์ขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนกับรถที่จำเลยขับด้วยหรือไม่เพื่อกำหนดค่าเสียหายตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 ซึ่งให้นำบทบัญญัติ มาตรา 223 มาใช้โดยอนุโลม เมื่อเหตุที่เกิดรถชนกันทำให้ รถยนต์ของโจทก์เสียหายเป็นเพราะ ว. ประมาทเลินเล่อด้วยซึ่งโจทก์ต้องร่วมรับผิดค่าเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย แม้ศาลมิได้ กำหนดประเด็นไว้ว่าว.คนขับรถยนต์ของโจทก์ประมาทเลินเล่อด้วยหรือไม่ ศาลก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2337/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลวินิจฉัยความประมาทเลินเล่อของผู้ขับขี่ทั้งสองฝ่ายเพื่อกำหนดค่าเสียหายที่ถูกต้อง
ศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยขับรถโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่และค่าเสียหายมีเพียงใดศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่าว. คนขับรถยนต์ของโจทก์ขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนกับรถที่จำเลยขับด้วยหรือไม่เพื่อกำหนดค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา443ซึ่งให้นำบทบัญญัติมาตรา223มาใช้โดยอนุโลมเมื่อเหตุที่เกิดรถชนกันทำให้รถยนต์ของโจทก์เสียหายเป็นเพราะว. ประมาทเลินเล่อด้วยซึ่งโจทก์ต้องร่วมรับผิดค่าเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยแม้ศาลมิได้กำหนดประเด็นไว้ว่าว.คนขับรถยนต์ของโจทก์ประมาทเลินเล่อด้วยหรือไม่ศาลก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2302/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลลดค่าปรับในสัญญาประกันตัวผู้ต้องหา: เบี้ยปรับเป็นดุลพินิจศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
โจทก์ฟ้องเรียกค่าปรับจากจำเลยที่ทำสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนแม้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ว่าค่าปรับสูงเกินไปเมื่อศาลเห็นว่ามีเหตุสมควรลดค่าปรับก็ย่อมทำได้เพราะค่าปรับตามสัญญาประกันชั้นสอบสวนเป็นเบี้ยปรับจึงเป็นดุลพินิจของศาลที่มีอำนาจจะลดค่าปรับให้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา383

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2145/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในคดีอาวุธปืน และอำนาจศาลฎีกาในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเพื่อความสงบเรียบร้อย
ความผิดฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 6 เดือน และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้พาอาวุธปืนเข้าไปในห้องอาหารที่เกิดเหตุ เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามกฎหมายข้างต้น
ความผิดฐานพาอาวุธปืนนั้นแม้จะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้
เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าและทำให้เสียทรัพย์ อาวุธปืนของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด และแม้ว่าจำเลยจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371ซึ่งศาลอาจสั่งริบอาวุธปืนของกลางได้ก็ตาม แต่ข้อหาความผิดตามมาตรา 371 นี้เป็นกรรมเดียวกับความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคสอง,72 ทวิ วรรคสอง เมื่อศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดแล้ว ย่อมจะอาศัยบทที่มีโทษเบา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 มาสั่งริบอาวุธปืนของกลางไม่ได้ และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1872/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดโทษและลงโทษปรับในคดีอาญาหลายกระทง: ศาลฎีกามีอำนาจจำกัดเมื่อโจทก์มิได้ฎีกา
เมื่อวางโทษประหารชีวิตกระทงหนึ่งในคดีที่จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันแล้วย่อมวางโทษปรับในความผิดกระทงอื่นอีกได้แต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกาศาลฎีกาก็ไม่อาจลงโทษปรับจำเลยได้เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา212ประกอบมาตรา225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1670/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ข้อหาลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงเป็นรับของโจร ศาลมีอำนาจลงโทษได้หากโจทก์ไม่โต้แย้ง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐาน ลักทรัพย์ จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธและนำสืบอ้างฐานที่อยู่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอฟังลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานลักทรัพย์แต่มิได้วินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาจำเลยทั้งสี่กระทำความผิดฐานรับของโจรหรือไม่เมื่อโจทก์เห็นว่าข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานที่นำสืบจำเลยที่1ถึงที่3มีความผิดฐานรับของโจร ก็ชอบจะอุทธรณ์ให้ศาลลงโทษจำเลยที่1ถึงที่3ในความผิดฐานดังกล่าวได้ โจทก์นำสืบพยานหลักฐานว่าจำเลยทั้งสี่กระทำผิดฐานลักทรัพย์ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่ามีคนร้ายลักทรัพย์จริงแต่พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอฟังลงโทษจำเลยทั้งสี่แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โจทก์ไม่อุทธรณ์ในข้อหาความผิดฐานลักทรัพย์ต้องถือว่าจำเลยทั้งสี่มิได้กระทำผิดฐานลักทรัพย์คงมีปัญหาในชั้นอุทธรณ์ตามที่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยที่1ถึงที่3กระทำผิดฐานรับของโจรหรือไม่เท่านั้นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค2พิจารณาว่าพฤติการณ์ของจำเลยที่1ถึงที่3ฟังได้ว่าเป็นการช่วยพาเอาไปเสียซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์และพิพากษาลงโทษฐานรับของโจรจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสามแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1670/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ขยายข้อกล่าวหาจากลักทรัพย์เป็นรับของโจร ศาลมีอำนาจลงโทษได้ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานลักทรัพย์จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธและนำสืบอ้างฐานที่อยู่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอฟังลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานลักทรัพย์แต่มิได้วินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาจำเลยทั้งสี่กระทำความผิดฐานรับของโจรหรือไม่เมื่อโจทก์เป็นว่าข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานที่นำสืบจำเลยที่1ถึงที่3มีความผิดฐานรับของโจรซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสามโจทก์จึงอุทธรณ์ให้ลงโทษจำเลยที่1ถึงที่3ในความผิดฐานรับของโจรได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1443/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินคดีตามคำท้าของคู่ความและการขอพิจารณาคดีใหม่ หากเห็นว่าศาลไม่มีอำนาจต้องอุทธรณ์ ไม่ใช่ขอพิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาไปตามคำท้าของคู่ความมิใช่เป็นกรณีการพิจารณาโดยขาดนัดอันจะเป็นเหตุให้คู่ความร้องขอให้มีการพิจารณาใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา207ถ้าจำเลยเห็นว่าศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจวินิจฉัยไปตามคำท้าก็จะต้องอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานต่อไปจะขอให้พิจารณาใหม่ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1287/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลเยาวชนฯ ในการรอการกำหนดโทษเกิน 2 ปี และการพิจารณาปัจจัยเยาวชนเพื่อโอกาสกลับตน
พระราชบัญญัติญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯมาตรา106ให้อำนาจศาลพิพากษารอการกำหนดโทษได้แม้ว่าจะกำหนดโทษจำคุกเกินกว่า2ปีและปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีไม่อาจรอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษได้จึงไม่ชอบส่วนที่จำเลยทั้งสามฎีกาขอให้ศาลฎีการอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษแม้จะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยให้เนื่องจากเป็นฎีกาที่เกี่ยวพันกับปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1039/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตอำนาจศาลอุทธรณ์, หนังสือมอบอำนาจ, หลักฐานเอกสารต่างประเทศ: การพิจารณาคดีค่าเสียหายและการรับฟังพยานหลักฐาน
โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ฟ้องขอให้จำเลยผู้ทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามใช้ค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 91,380 บาท โดยโจทก์ที่ 2เรียกร้องเป็นเงิน 8,275 บาท โจทก์ที่ 3 เรียกร้องเป็นเงิน 12,921 บาทและโจทก์ที่ 4 เรียกร้องค่าเสียหายเกี่ยวกับรถของตนเองเป็นเงิน 70,184 บาทดังนี้ไม่ใช่โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นเจ้าหนี้ร่วม แต่เป็นเรื่องที่โจทก์แต่ละคนฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายแยกจากกัน จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนเงินที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องให้จำเลยรับผิดมาดังกล่าวเท่านั้น เมื่อคดีในส่วนของโจทก์ที่ 2 ที่ 3 มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 20,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาจำเลยไม่มีสิทธิที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงในส่วนของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ต่อมาได้แม้จำเลยจะให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงมาแล้วก็ตาม
โจทก์ที่ 2 ผู้มอบอำนาจจะลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแต่ฝ่ายเดียว โจทก์ที่ 1 มิได้ลงชื่อในฐานะผู้รับมอบอำนาจด้วยก็ใช้ได้เพราะไม่มีกฎหมายบังคับให้ผู้รับมอบอำนาจต้องลงชื่อด้วย และแม้ขณะที่โจทก์ที่ 1ยื่นฟ้องคดีแทนโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ตามหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ที่ 2 และที่ 3นั้นจะมิได้ปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์ตามกฎหมาย แต่เมื่อโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ได้อ้างส่งเอกสารดังกล่าวเป็นพยาน ก็ได้ปิดแสตมป์ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานว่าโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ได้มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ฟ้องคดีนี้ มิใช่กรณีที่หนังสือมอบอำนาจไม่สมบูรณ์มาแต่ต้นอันจะทำให้ฟ้องสำหรับคดีโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายแต่อย่างใด โจทก์ที่ 1จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยแทนโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ตามหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ที่ 2และที่ 3 ได้
แม้ใบเสร็จรับเงินจะเป็นภาษาต่างประเทศบางส่วน ไม่มีคำแปลภาษาต่างประเทศดังกล่าวให้เป็นภาษาไทย ก็เป็นเรื่องที่ศาลเห็นสมควรจะสั่งให้ทำคำแปลตาม ป.วิ.พ.มาตรา 46 วรรคสาม หรือไม่ เมื่อศาลมิได้สั่งให้โจทก์ที่ 2 ทำคำแปล โจทก์ที่ 2 ก็ไม่จำเป็นต้องทำคำแปล ศาลรับฟังเอกสารดังกล่าวได้ หาขัดต่อกฎหมายดังกล่าวข้างต้นไม่
of 222