พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,111 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5178/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การพิสูจน์ผู้ขับรถจริงเพื่อรับผิดละเมิด แม้คดีอาญายกฟ้อง
คดีอาญาที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส ถึงที่สุด โดยศาลพิพากษายกฟ้องด้วยเหตุผลว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยว่าจำเลยจะเป็นผู้ขับรถคันเกิดเหตุหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยศาลในคดีแพ่งที่โจทก์ ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยจึงจำต้องวินิจฉัยให้ได้ความชัดว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถคันเกิดเหตุและเป็นผู้ก่อเหตุ ละเมิดหรือไม่ เนื่องจากคำพิพากษาคดีส่วนอาญามิได้ชี้ขาด ว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์โดยประมาทหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5178/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิด: การพิสูจน์ตัวผู้ขับขี่ในคดีแพ่งเชื่อมโยงคดีอาญา
เมื่อคดีอาญาที่โจทก์ที่1กับพวกฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยที่1กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัสถึงที่สุดโดยศาลพิพากษายกฟ้องด้วยเหตุผลว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อน่าสงสัยว่าจำเลยที่1จะเป็นผู้ขับรถคันเกิดเหตุหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่1ศาลในคดีแพ่งที่โจทก์ที่1กับพวกฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสองจึงจำต้องวินิจฉัยให้ได้ความชัดว่าจำเลยที่1เป็นผู้ขับรถคันเกิดเหตุและเป็นผู้ก่อเหตุละเมิดหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5106/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับการพิจารณาคดีแพ่งอาญาและการแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยเป็นไม่รอการลงโทษจำคุกให้นั้น เป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219
การที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งก่อนแล้วจึงพิจารณาพิพากษาคดีส่วนอาญา ไม่มีกฎหมายบัญญัติบังคับไว้ แต่ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 42 และ 46 มุ่งหมายที่จะให้ศาลที่พิจารณาคดีส่วนแพ่งรอฟังผลคดีส่วนอาญาก่อนแล้วจึงพิพากษาคดีส่วนแพ่งไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีส่วนอาญา ฉะนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีส่วนอาญาก่อนโดยไม่ฟังผลในคดีส่วนแพ่งจึงชอบแล้ว
ฎีกาของจำเลยที่ขอให้ศาลฎีกาพิจารณาคดีใหม่ ไม่ปรากฏว่าจำเลยโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริง จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งก่อนแล้วจึงพิจารณาพิพากษาคดีส่วนอาญา ไม่มีกฎหมายบัญญัติบังคับไว้ แต่ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 42 และ 46 มุ่งหมายที่จะให้ศาลที่พิจารณาคดีส่วนแพ่งรอฟังผลคดีส่วนอาญาก่อนแล้วจึงพิพากษาคดีส่วนแพ่งไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีส่วนอาญา ฉะนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีส่วนอาญาก่อนโดยไม่ฟังผลในคดีส่วนแพ่งจึงชอบแล้ว
ฎีกาของจำเลยที่ขอให้ศาลฎีกาพิจารณาคดีใหม่ ไม่ปรากฏว่าจำเลยโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริง จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5106/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีอาญาและแพ่งควบคู่กัน ศาลฎีกาชี้ว่าไม่จำเป็นต้องพิจารณาคดีแพ่งก่อน และการไม่รอการลงโทษจำคุกอาจไม่เหมาะสม
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน2ปีและให้รอการลงโทษจำคุกไว้ศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาแก้เป็นว่าไม่รอการลงโทษจำคุกเป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลยจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา219 ไม่มีกฎหมายบังคับให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งก่อนแล้วจึงพิจารณาพิพากษาคดีอาญาการที่ศาลมีคำพิพากษาคดีอาญาก่อนโดยไม่ฟังผลในคดีแพ่งจึงเป็นการชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5106/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับการพิจารณาคดีแพ่งและอาญา และการโต้แย้งข้อเท็จจริงในฎีกา
ศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยเป็นไม่รอการลงโทษจำคุกให้นั้นเป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลยจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา219 การที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งก่อนแล้วจึงพิจารณาพิพากษาคดีส่วนอาญาไม่มีกฎหมายบัญญัติบังคับไว้แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา42และ46มุ่งหมายที่จะให้ศาลมีพิจารณาคดีส่วนแพ่งรอฟังผลคดีส่วนอาญาก่อนแล้วจึงพิพากษาคดีส่วนแพ่งไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎในคดีส่วนอาญาฉะนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาส่วนอาญาก่อนโดยไม่ฟังผลในคดีส่วนแพ่งจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ขอให้ศาลฎีกาพิจารณาคดีใหม่ไม่ปรากฎว่าจำเลยโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค2ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 498/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดสิทธิการฟ้องคดีอาญาในชั้นฎีกาเนื่องจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น
ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ.มาตรา 288 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ยกฟ้องโจทก์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 498/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำกัดสิทธิฎีกาในคดีอาญาที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ยกฟ้อง
ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ยกฟ้องโจทก์และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4978/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาคดีอาญาต่อการพิจารณาคดีแพ่ง: ลายมือชื่อปลอมในหนังสือมอบอำนาจ
ประเด็นในคดีอาญามีว่าลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจของจำเลยที่ 4 เป็นลายมือชื่อปลอมหรือไม่ ซึ่งจะต้องวินิจฉัยอย่างเดียวกับคดีนี้ หากศาลในคดีอาญาวินิจฉัยว่า ลายมือชื่อของจำเลยที่ 4 ในหนังสือมอบอำนาจเป็นลายมือชื่อปลอม อาจทำให้การตัดสินคดีนี้เปลี่ยนแปลงไป จึงสมควรงดการพิจารณาคดีนี้ไว้รอฟังข้อเท็จจริงที่จะปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาก่อน
การจะรอฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล
การจะรอฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4978/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดการพิจารณาคดีแพ่งรอผลคดีอาญาเกี่ยวกับการปลอมลายมือชื่อในเอกสารโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของโจทก์โดยจำเลยทั้งสี่โอนให้เพื่อชำระหนี้จำนองจำเลยทั้งสี่ให้การต่อสู้ว่าจำเลยทั้งสี่เป็นเจ้าของโดยจำเลยทั้งสี่ได้ยื่นฟ้องโจทก์กับพวกเป็นคดีอาญาสินไหมว่าร่วมกันปลอมลายมือชื่อจำเลยที่4ในหนังสือมอบอำนาจและนำไปขอจดทะเบียนโอนที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของโจทก์และขอให้เพิกถอนการโอนประเด็นในคดีอาญามีว่าลายมือชื่อของจำเลยที่4ในหนังสือมอบอำนาจปลอมหรือไม่เช่นเดียวกับคดีนี้ซึ่งคำวินิจฉัยในคดีอาญาอาจทำให้การชี้ขาดตัดสินคดีนี้เปลี่ยนแปลงไปทั้งจำเลยทั้งสี่ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นงดการอ่านคำพิพากษาคดีนี้ไว้แล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา39เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งประทับฟ้องคดีอาญาแล้วจึงมีเหตุสมควรที่จะงดรอฟังข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4877/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญา, การนับโทษต่อกัน, และองค์ประกอบความผิดฐานออกเช็คไม่มีเงิน
ตามหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีระบุว่า โจทก์โดยส.และ บ.กรรมการ มอบอำนาจให้ก.เป็นผู้มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย เป็นการมอบอำนาจเฉพาะการเพื่อฟ้องคดีอาญาและหนังสือมอบอำนาจนี้มิได้ระบุเจาะจงว่าให้ฟ้องได้เพียงคดีใดคดีหนึ่งโดยเฉพาะ ก. ผู้รับมอบอำนาจโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาเป็นหลายสำนวนได้ ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยออกเช็คพิพาททั้งหกฉบับเพื่อชำระหนี้ค่ากระป๋องและฝา กระป๋อง ให้แก่โจทก์จำเลยฎีกาโต้แย้งว่าพยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยออกเช็คเพื่อค้ำประกันหนี้ให้ล.เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสองจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ. 2499 มาตรา 4 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยออกเช็คให้โจทก์รวม 6 ฉบับ เมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนด ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องโดยยกฟ้องเป็นสามสำนวน สำนวนแรกโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวน 1 ฉบับ สำนวนที่ 2 บรรยายฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวน 3 ฉบับ สำนวนที่ 3 บรรยายฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวน 2 ฉบับ คำขอท้ายฟ้องแต่ละสำนวนไม่ขอให้นับโทษจำเลยต่อ จึงนับโทษต่อกันไม่ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้นับโทษจำเลยแต่ละสำนวนต่อกันจึงไม่ชอบ เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอ